จะเลือกสำรับอาหารของหอไท่ไป๋หรือคมดาบเย็นเยียบ?
แน่นอนว่าย่อมต้องเลือกสำรับอาหารของหอไท่ไป๋อยู่แล้ว
อย่าว่าแต่รสชาติไม่เลวเลย นี่เป็มื้อที่เฉิงชิงกินอย่างเต็มอิ่มที่สุดมื้อหนึ่งั้แ่นางมาถึงราชวงศ์เว่ย
ไหนจะยังมีเมิ่งไหวจิ่นอยู่ด้วย กินอาหารไปพลางมองเมิ่งไหวจิ่นเป็อาหารตา ยิ่งทำให้อาหารอร่อยเลิศรสไปอีกขั้น!
เมื่อทั้งสองคนวางตะเกียบแล้ว เมิ่งไหวจิ่นก็พานางไปยังห้องด้านข้าง เมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็ได้กลิ่นอับชื้นรุนแรง บนพื้นมีตำราเย็บเล่มด้วยมือ สภาพเก่าเหลืองซีดอยู่เกลื่อนกลาด เฉิงชิงหยิบขึ้นมาพลิกดู สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ศิษย์พี่เมิ่ง นี่ไม่ใช่การแก้คำถามคำนวณนี่ขอรับ!”
เมิ่งไหวจิ่นมองนางด้วยความแปลกใจ “ศิษย์น้อง ข้าไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่ายที่มีเงินเหลือใช้จนไม่มีที่จะใช้จ่ายนะ ถึงได้เลี้ยงสำรับอาหารของหอไท่ไป๋แก่เ้าเพียงเพราะ้าจะดูเ้าแก้คำถามคำนวณ แต่การที่ศิษย์น้องมองออกว่าสิ่งนี้คืออะไรก็ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก... ธุระนี้ก็ต้องฝากศิษย์น้องดูแลแล้วนะ!”
ที่นางถืออยู่ในมือคือสมุดบัญชีภาษีที่นา
เมิ่งไหวจิ่นให้นางตรวจสอบบัญชี!
คนผู้นี้เกิดเป็บ้าอะไรขึ้นมาถึงเอาทั้งบัญชีมาให้นางชำระบัญชี เก่งคำนวณแล้วมีประโยชน์อะไรเล่า คนธรรมดามีความสามารถในการตรวจสอบบัญชีหรือ?
อย่างเมิ่งไหวจิ่นที่เป็บัณฑิตเจี้ยหยวน ถึงจะมีความสามารถแต่งความเรียงแปดขาได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ก็คงไม่เข้าใจสมุดบัญชีเล่มนี้กว่าครึ่ง หากเมิ่งไหวจิ่นสามารถทำได้แล้วไยต้องเรียกนางมาด้วย... เดี๋ยวนะ หากเมิ่งไหวจิ่นไม่อาจทำเองได้ก็สามารถเชิญพวกนายบัญชีมาได้นี่ ดีดลูกคิดก๊อกแก๊กก๊องแก๊งสักสองวัน ต่อให้มีสมุดบัญชีมากกว่านี้ก็สามารถตรวจสอบจนกระจ่างได้หมด เหตุใดจึงเจตนาใช้นาง!
เฉิงชิงเสนอความคิดเห็นอย่างจริงใจเป็พิเศษ แต่ถูกเมิ่งไหวจิ่นบอกปัดไป
“สามวันไม่ได้ก็ห้าวัน ห้าวันไม่ได้ก็สิบวัน เ้าไม่ต้องกังวลว่าไม่ได้ไปสถานศึกษาแล้วจะตามการเรียนไม่ทัน ข้าสามารถกลับมาสอนชดเชยให้เ้าเป็พิเศษได้”
ยากที่จะได้เรียนคาบของเมิ่งเจี้ยหยวนสักคาบหนึ่ง ทุกครั้งที่สอน ศิษย์ของสถานศึกษาก็จะมุงกันจนจบ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็การที่เขาสอนในที่สาธารณะให้กับทั้งห้องเรียน
หากเป็การสอนแบบพิเศษ ได้รับการชี้แนะแบบตัวต่อตัว โอกาสเช่นนี้เกรงว่าทุกคนที่อยู่ห้องเจี่ยลงไปต่าง้าจะตีหัวแย่งชิง
เฉิงชิงแทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
มีคำรับรองนี้ของเมิ่งไหวจิ่น นางก็ไม่กังวลเื่พัฒนาการด้านการเรียนของตนแล้ว ที่ทำให้เฉิงชิงลังเลคือเื้ัที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและน่าหวาดกลัวของการตรวจสอบบัญชี ั้แ่คืนนั้นที่ไม่ระวังไปเจอเมิ่งไหวจิ่นบนเรือลำใหญ่เข้า นางก็ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องในเื่ยุ่งยากแล้ว!
อีกทั้งนางยังคิดอย่างใสซื่อจริงๆ ว่าเพียงตนเองไม่ฟังไม่ยุ่ง ก็จะสามารถทำเป็ว่าเื่ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นได้... ช่างหลอกตัวเองเหลือเกิน
เมิ่งไหวจิ่นเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนกลับไปกลับมาก็จนปัญญาอย่างยิ่ง
หากมีผู้อื่นที่สามารถเชื่อถือได้เขาก็คงไม่ฝากความหวังเหล่านี้ไว้กับเฉิงชิง
ภายในงานชุมนุมวรรณกรรมมีบัณฑิตตั้งมากมายขนาดนั้น แต่ผู้ที่มีความสามารถด้านคำนวณโดดเด่นกลับมีเพียงเฉิงชิงวัยสิบสามปี
ยังมีชุยเยี่ยนที่การคำนวณเป็เลิศ แต่พอคำนึงถึงพื้นเพครอบครัวของอีกฝ่ายแล้ว เขารู้สึกว่าเฉิงชิงเป็ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
อีกทั้งในคืนนั้นก็ถูกเฉิงชิงพบเขาเข้าบนเรือโดยบังเอิญ บังเอิญถึงเพียงนี้ไม่เลือกเฉิงชิงก็คงจะไม่ได้
“เฉิงชิง บนโลกนี้มีเื่มากมายที่มีความเสี่ยง ต้องทุ่มเทไปจึงจะได้กลับคืนมา สำรับอาหารหอไท่ไป๋หนึ่งโต๊ะนั้นไม่นับว่าเป็อันใด ข้าสอนให้เ้าเป็พิเศษก็ไม่ใช่เื่สำคัญ เ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการช่วยเหลือผู้อื่นไม่ใช่การช่วยเหลือตัวเองด้วย? ข้ารู้ว่าเ้า้าสอบเข้ารับราชการเป็ขุนนางเพื่อล้างมลทินให้บิดา แต่หากราชสำนักตัดสินว่าใต้เท้าเฉิงมีความผิดจริง แม้แต่คุณสมบัติในการสอบเข้ารับราชการของเ้าก็ไม่มี ข้าพูดถึงเพียงนี้แล้ว หากเ้าไม่คิดจะช่วยเหลือจริงๆ ข้าก็จะส่งเ้ากลับหนานอี๋ตอนนี้”
สุดท้ายแล้วเมิ่งไหวจิ่นก็นำความจริงใจที่ใหญ่ที่สุดออกมา
เขาเพียงตบอกรับรองอย่างตรงไปตรงมาว่าสามารถช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีของเฉิงจือหย่วนได้!
เื่ที่ขนาดนายท่านห้าเฉิงยังไม่กล้ารับปาก เมิ่งไหวจิ่นเอาอะไรมารับรองกัน?
เมิ่งไหวจิ่นเป็บัณฑิตเจี้ยหยวนตกยากที่ต้องพึ่งเงินช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่งผู้นั้นจริงๆ น่ะหรือ—
เฉิงชิงหนีบสมุดบัญชีซีดเหลือง เมิ่งไหวจิ่นใช้การรับประกันเช่นนี้มาแลกเปลี่ยน นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธแล้ว!
“ข้าเชื่อในคุณธรรมของศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่เมิ่งไม่ต้องกล่าวให้มากความ ข้าจะช่วยตามนั้น”
นางมองห้องที่เต็มไปด้วยสมุดบัญชีแล้วพลันรู้สึกปวดหัว การใช้สมองก็ถือเป็การใช้แรงอย่างหนึ่ง หากมองข้ามความเสี่ยงที่ไม่รู้ทิ้งไป แม้จะเป็ปริมาณงานที่หนักกว่านี้แต่ก็ยังมีเวลาที่ทำเสร็จ ไม่ได้เกินขอบเขตความสามารถของนาง
คดีของเฉิงจือหย่วนนั้นเหลือบ่ากว่าแรงของนางจริงๆ หากเมิ่งไหวจิ่นสามารถช่วยได้จริง เฉิงชิงก็รู้สึกว่าคุ้มที่จะเสี่ยง!
ทั้งสองคนบรรลุข้อตกลงในการเจรจานี้ เฉิงชิงอยู่ในเมืองเป็นายบัญชี
เมิ่งไหวจิ่นตรวจสอบบัญชีไม่เป็และไม่รู้ว่ายุ่งกับเื่อะไรอยู่ ทุกวันจะออกไปแต่เช้าและกลับมาตอนค่ำ ดูแล้วเหนื่อยกว่านางที่เป็คนตรวจสอบบัญชีมากนัก แต่เขาก็ยังเอาใจใส่ความคืบหน้าของเฉิงชิงด้วยตนเอง
เฉิงชิงจัดการได้สามวันแล้วแต่ก็ตรวจสอบไปได้น้อยกว่าครึ่ง เพียงแต่รายการเข้าออกของบัญชีส่วนเล็กๆ นี้ช่างน่าใ
“ติดลบเก้าหมื่นกว่าตำลึงเงิน…”
ดังนั้นสรุปแล้วเมิ่งไหวจิ่นลากนางเข้ามาในเื่อันตรายอะไรกันแน่?
การติดลบเก้าหมื่นกว่าตำลึงเงินเป็เพียงรายการบัญชีที่น้อยกว่าครึ่ง
ทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเฉิงชิงรวมกันแล้วก็มีไม่ถึงเก้าสิบตำลึง เหอะๆ นางรู้สึกถึงความยากจนของตนเองอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่เฉิงชิงเป็นายบัญชีอยู่ในเมือง ที่อำเภอหนานอี๋ก็ยังมีคนกล่าวถึงนาง
หลังจากการหยุดประจำเดือนอันแสนสั้นแล้ว ผลการสอบประจำเดือนก็ประกาศออกมาแล้ว!
ห้องเรียนตัวอักษรติงมีสองร้อยหกสิบเจ็ดคน ครั้งที่แล้วเฉิงชิงได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ด ครั้งนี้ค่อนข้างมีพัฒนาการเล็กน้อย เปลี่ยนมาอยู่อันดับที่แปดสิบสี่แล้ว
เ้าอ้วนชุยจากอันดับที่หนึ่งร้อยสองเปลี่ยนมาอยู่อันดับที่เก้าสิบห้า ได้เข้ามาอยู่ในร้อยอันดับแรก เขาค่อนข้างภาคภูมิใจในตนเอง เมื่อไปดูอันดับของอวี๋ซานและเฉิงกุยก็ยิ่งรู้สึกยินดีทันที
ห้องเรียนตัวอักษรปิ่งมีหนึ่งร้อยแปดสิบห้าคน ครั้งที่แล้วอวี๋ซานได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด ครั้งนี้เปลี่ยนมาอยู่อันดับที่สามสิบสาม
ห้องเรียนตัวอักษรอี่มีเก้าสิบสองคน ครั้งที่แล้วเฉิงกุยได้อันดับที่สิบเก้า ครั้งนี้ได้อันดับที่ยี่สิบห้า
อันดับของทั้งสองคนต่างตกลงมาเล็กน้อย ระดับของคนผู้หนึ่งไม่มีทางจะเปลี่ยนไปมากเกินไปภายใน่ระยะเวลาสั้นๆ กล่าวได้เพียงว่าการสอบในครั้งนี้อวี๋ซานและเฉิงกุยต่างทำได้ไม่ดี
ส่วนเหตุผลนั้นจำเป็ต้องกล่าวด้วยหรือ กว่าครึ่งก็คือภายในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู ทั้งสองคนโดดเด่นไม่เท่าเฉิงชิง ตัวเองทำตัวเองโมโหเลยกระทบต่ออารมณ์ในการสอบไงล่ะ
ฮ่าๆๆ !
เมื่อเห็นใบหน้าอันเขียวคล้ำของอวี๋ซานแล้ว เ้าอ้วนชุยก็คิดอยากจะเงยหน้าหัวเราะเสียงดังสักหลายทีจริง ๆ
แน่นอนว่านี่เป็สิ่งที่เขาจินตนาการอยู่ภายในใจ อวี๋ซานคือคุณชายบุตรเ้าเมือง ส่วนเขาคือบุตรของพ่อค้า เ้าอ้วนชุยกล้าที่จะฝ่าฝืนการทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวที่อวี๋ซานตั้งขึ้นมา แล้วเป็สหายกับเฉิงชิงก็ถือว่ามีความกล้าหาญมากอยู่แล้ว แต่หากให้เขาไปเยาะเย้ยอวี๋ซานอย่างเปิดเผย เ้าอ้วนชุยก็ยังไม่มีความกล้าขนาดนั้น
เชิงกุยพอจะรู้ตัวอยู่ว่าตนเองทำได้ไม่ดีจึงไม่คิดแม้แต่เหลือบตามองลำดับคะแนน
ส่วนอวี๋ซานเมื่อเห็นว่าตนเองสอบได้อันดับที่สามสิบสามก็รู้สึกระคายสายตา อีกทั้งตั้งนานแล้วก็ยังไม่เห็นเฉิงชิง ร่างของเ้าอ้วนชุยไม่เล็กจึงถูกอวี๋ซานจ้องอีกครั้ง
“เฉิงชิงล่ะ?”
เ้าอ้วนชุนกลั้นหัวเราะ “่ไม่กี่วันนี้เฉิงชิงลาพักแล้ว ศิษย์พี่อวี๋เอาใจใส่ดูแลเฉิงชิงขนาดนี้กลับไม่รู้หรือ?”
ลาพักแล้ว?
สรุปคือลาพักหรือว่าไม่กล้ามาสถานศึกษากันแน่?
อวี๋ซานยิ้มหยัน เขายังไม่ถึงขนาดที่อีกฝ่ายสอบได้อันดับที่แปดสิบสี่ของห้องติงแล้วจะอิจฉาจนเป็บ้าทุบตีอีกฝ่าย เ้าเด็กหน้าเหลืองนั่นมีอะไรน่ากลัวกัน! ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอวี๋ซานให้คนไปจับตามองห้องติงเก้า รอให้เฉิงชิงปรากฏตัวออกมา แต่เฉิงชิงก็ดันไม่มาสถานศึกษาเลย
อวี๋ซานยิ่งทวีความโกรธขึ้นมามากมายอย่างไร้ที่มา เฉิงชิงทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่จริงจังเช่นนี้ยังคิดจะสอบเข้ารับราชการเป็ขุนนาง?
ถุย!
ไม่ต่างอะไรกับฝันกลางวัน!
——แต่เฉิงชิงเกียจคร้านการเรียนแล้วไยเขาต้องโมโหขนาดนี้ด้วยเล่า?
อวี๋ซานตกอยู่ในความงงงวย
เมื่อนางหลี่ของบ้านห้าได้ยินว่าผงการสอบครั้งที่สองมีพัฒนาการขึ้นสิบกว่าอันดับก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง เอ่ยอย่างอารมณ์ดีกับนายท่านห้าเฉิง
“ตามที่ข้าว่าไว้อย่างไรเล่า ชิงเกอเอ๋อร์เฉลียวฉลาด นี่ไม่ใช่ว่าสอบได้ดีกว่าครั้งที่แล้วหรือ! เด็กคนนั้นช่างเอาอกเอาใจดีจริงๆ ชนะได้โคมไฟมาจากงานชุมนุมวรรณกรรมก็ส่งมาให้ดวงหนึ่ง... ข้ายังนึกไปว่าถึงวันหยุดประจำเดือนแล้วเขาจะมาที่นี่สักรอบ แต่เหตุใดแม้แต่บ้านก็ไม่กลับเล่า?”
