หลิวเหรินกุ้ยที่มาหาด้วยจุดประสงค์นั้นกระสับกระส่ายเล็กน้อย เมื่อเห็นหลิวซานกุ้ยกับจางอวี้เต๋อกำลังพูดคุยกันเื่บุตรสาว เหมือนว่าลืมหัวข้อที่เขาเปิดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
“ใช่ๆ หลานสาวของข้าน่ารักน่าเอ็นดู ดีที่ตอนนี้น้องสามได้เล่าเรียนมากขึ้น ต่อไปการหมั้นหมายก็คงง่าย ไม่ว่าจะเื่สินเ้าสาว เห็นทีน้าชายอย่างเ้าก็คงไม่มีทางใจร้ายกับหลานสาว” หลิวเหรินกุ้ยเอ่ย
จางอวี้เต๋อซ่อนความดูถูกดูแคลนในสายตา คิดว่าเขาดูไม่ออกหรือว่าหลิวเหรินกุ้ยมาด้วยจุดประสงค์อะไร?
แต่เขาก็พยายามจะไม่เอ่ยถึงเื่นั้น
“ใช่ ตราบใดที่น้าชายอย่างข้ายังอยู่ ต้องเตรียมสินเ้าสาวให้หลานสาวทั้งสามคนอยู่แล้ว หลานสาวข้าล้ำค่ายิ่งนัก ครั้งนี้ข้าไปทำการค้า จะต้องหาสินเ้าสาวกลับมาให้หลานสาวของข้าให้มากๆ”
หลิวเต้าเซียงได้ยินก็ดีใจ “ท่านน้า ระวังท่านยายจะจัดการท่านนะ ท่านรีบหาเงินและทรัพย์สินไปสู่ขอน้าสะใภ้ดีๆ สักคนกลับมาให้ท่านยายได้สุขใจดีกว่า”
“โอ้ หลานรัก ไม่เสียแรงที่ย่ารักและเอ็นดูเ้าจริงๆ” คำพูดนี้ถูกใจเฉินซื่อยิ่งนัก
หลิวเหรินกุ้ยยกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมอง นางเด็กตัวดี ตั้งใจแน่นอน
เขาพูดเปิดประเด็นหลายครั้ง แต่ก็ถูกคนทำลายทุกครั้ง
หากพูดวกไปวนมาเช่นนี้ เกรงว่าตกดึกก็คงไม่มีโอกาสได้เอ่ยอีก
เขาจึงถามว่า “อวี้เต๋อ ได้ยินทุกคนบอกว่า ก่อนหน้านี้เ้าทำการค้าอยู่ข้างนอกตลอดหรือ?”
จางอวี้เต๋อได้คาดคะเนอยู่ในใจ หลิวเต้าเซียงเหลือบมองเนื้อแก้มหมูเค็มที่แขวนห้อยอยู่บนขอบเก้าอี้ จริงตามคาด โลกนี้ไม่มีอาหารเที่ยงที่ได้มาเปล่าๆ ลุงรองของเขามีจุดประสงค์ั้แ่แรก
“ใช่แล้ว!”
ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเขาก็้ายกระดับสถานะของพี่สาวอยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่าอวี้เต๋อพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ เพราะว่าหลายปีมานี้ข้าเองก็ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมในตำบล เคยพบเจอพ่อค้ามากหน้าหลายตา ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงเื่ค้าขาย แต่ก็ไม่เคยได้ยินเื่ราวเหล่านี้ได้ง่ายๆ”
จางอวี้เต๋อมองเขาด้วยใบหน้าไม่กระจ่าง
หลิวเหรินกุ้ยกล่าวต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เดิมทีไม่ควรให้อวี้เต๋อเป็กังวล เพียงแต่ว่า ในบ้านข้ายังมีเมียและลูกๆ ที่ต้องเลี้ยงดู และคงไม่สามารถคาดหวังกับสมบัติน้อยนิดที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้ จึงอยากสอบถามเื่ราวการค้าขายกับอวี้เต๋อ”
ที่แท้หลิวเหรินกุ้ยก็อิจฉาที่จางอวี้เต๋อหาเงินได้
วิสัยทัศน์ของหลิวเหรินกุ้ยนั้นกว้างไกลกว่าคนในหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าจางอวี้เต๋อมีรถม้ามาด้วย ว่ากันว่าม้านั้นซื้อง่ายแต่ดูแลยาก การซื้อม้าไม่เพียงแค่ต้องเตรียมเสบียงไว้อย่างละเอียดอ่อน แต่ยังต้องจ้างคนมาดูแลม้าโดยเฉพาะ
เมื่อหลิวเหรินกุ้ยเข้ามาที่ลานบ้าน ก็สังเกตเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมองจางอวี้เต๋อด้วยสายตาเคารพและยำเกรง นี่คือสายตาของบ่าวรับใช้ที่เชื่อฟังและไม่กล้าคัดค้านเ้านาย
เมื่อเห็นว่ารถม้าใช้ผ้าไหมจิ่นชั้นดีทำม่าน กระทั่งคนติดตามก็ยังสวมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด เห็นได้ว่าจางอวี้เต๋อนั้นมีสมบัติไม่น้อยแล้ว
จึงยิ่งมั่นใจว่าการทำค้าขายนั้นหาเงินได้ไม่น้อย
จางอวี้เต๋อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยแววตาประชดประชัน “การทำค้าขายมีได้มีขาดทุน ตอนได้ก็แค่วิ่งไม่กี่เที่ยว ก็สามารถหาเงินได้หลายร้อยหลายพันตำลึง และใช้เวลาเพียงครึ่งปี แต่หากขาดทุน หากบางครั้งจับทางไม่ถูก เมื่อสินค้าส่งมา แต่สินค้าชิ้นนั้นในท้องที่ก็อาจจะราคาตกอย่างน่าใจหาย เท่ากับขาดทุน”
นอกจากนี้ บนหนทางก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้นหากไม่มีคนสนิทช่วยคลำทางให้ หลิวเหรินกุ้ยนั้นหรือคิดอยากหาเงิน เฮอะ คงต้องเอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวด้วย?!
“นี่เป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวเหรินกุ้ยฟังออกว่าเขาไม่ได้โกหก จึงน้อมรับคำพูดของจางอวี้เต๋อ
จางอวี้เต๋อบอกเล่าเื่ราวที่พบเจอข้างนอกออกมาอย่างละเอียด และมีเื่ที่หลิวเหรินกุ้ยไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย
ทั้งสองพูดคุยกันจวบจนตอนบ่าย จางอวี้เต๋อพูดจนพอประมาณจึงกระหายน้ำและหาห้องพักเพื่อพักผ่อน
จางกุ้ยฮัวได้พาสองพี่น้องเก็บกวาดห้องปีกตะวันตกทางด้านทิศใต้ที่ตอนแรกเตรียมจะใช้ทำโรงเก็บของ
เมื่อเห็นห้องที่เก็บกวาดเรียบร้อย จางกุ้ยฮัวยิ้มแล้วเอ่ย “โชคดีที่ตอนนั้นฟังคำพูดของนายช่างไม้ แล้วทำเตียงไม้ไว้อีกหนึ่งอัน”
“นั่นสิ ใครจะคิดว่าท่านน้าจะกลับมา!” หลิวชิวเซียงเองก็ดีใจเช่นกัน
หลิวเต้าเซียงได้ยินการเคลื่อนไหวในบ้านหลังใหญ่และยิ้ม “ท่านน้าคงดื่มเยอะจนต้องหาที่พักแล้ว!”
หลิวชิวเซียงมองไปทางเรือนหลัก แล้วเอ่ยด้วยความเป็กังวล “ท่านแม่ ท่านว่าลุงรองเอาแต่ไล่ถามเื่การทำค้าขายกับท่านน้า คงไม่ใช่ว่าเขา้าจะเดินทางค้าขายจริงๆ หรอกใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้คิดเช่นนั้น “ท่านพี่ หากทำค้าขายง่ายดายเพียงนั้น จะต้องให้ท่านน้ามาชี้แนะหรือ? เกรงว่าคนละแวกนี้ แต่ละคนคงไปทำค้าขายกันหมด”
จางกุ้ยฮัวคิดตาม ก็จริง ในตำบลเหลียนซานมีแต่คนทำค้าขายแบบสัญจรไปมาไม่ใช่หรือ?
หลายปีมานี้ ไม่เคยเห็นคนในละแวกนี้ไปทำการค้าขายต่างแดน
“กุ้ยฮัว กุ้ยฮัว ยังปูเตียงไม่เสร็จอีกหรือ? อวี้เต๋อดื่มเยอะแล้ว!” หลิวซานกุ้ยร้องะโอยู่ตรงประตูห้องโถง
จางกุ้ยฮัวรีบตอบ แล้วสั่งให้บุตรสาวทั้งสองเลิกพูดเื่นี้
หลังอาหารค่ำ เฉินซื่ออดไม่ได้เป็คนแรกจึงเอ่ยว่า “อวี้เต๋อ เ้าจากบ้านไปหลายปีคงไม่รู้ ตระกูลหลิว…”
นางเหลือบมองหลิวซานกุ้ยแล้วรู้สึกว่าไม่ควรพูดต่อหน้าเขา จึงปล่อยให้คำพูดหายไปอย่างนั้น
“ท่านแม่ การทำค้าขายนั้นไม่ถึงหมื่นก็มีแปดพัน มีเขาหรือไม่มีเขาก็เท่ากัน ไม่เป็ไรหรอก”
จางอวี้เต๋อไม่ได้บอกมารดาตนเอง อันที่จริงเขาใจแคบยิ่งนัก ทั้งยังเ้าคิดเ้าแค้น คนตระกูลหลิวไม่เคยดีกับพี่สาวของเขา ตอนนี้เขาได้ดีก็รีบมาตอแย คิดว่าครอบครัวเขารังแกง่ายเพียงนั้นหรือ
ฮึ หลิวเหรินกุ้ย้าทำมาค้าขาย ไม่มีคนชักนำเข้าสายงานนี้ ฝันกลางวันไปเถิด คิดจะหาเงินก้อน ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงก็ดีแค่ไหนแล้ว
แต่จางอวี้เต๋อไม่มีทางบอกกล่าวเื่ที่สำคัญต่อชีวิตมากที่สุด
เขายังเป็ห่วงความรู้สึกของหลิวซานกุ้ย ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เขาพูดจึงพูดแบบกำกวม หากว่าหลิวเหรินกุ้ยวาสนาไม่ดีพบเจอกับโจรูเาแล้วสูญเสียทรัพย์สินหรือชีวิต นั่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขา
“เราเลิกคุยเื่นี้กันเถิด วันนี้กลับมาก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวาย จนลืมเื่สำคัญไป”
จางอวี้เต๋อเรียกผู้ติดตามของตน แล้วสั่งด้วยเสียงค่อย
เฉินซื่อเอ่ยถามเขาว่าเื่ใด เขาจึงยิ้มแล้วตอบว่า “กลับมาแล้วก็ควรมอบของดีๆ ให้แก่หลานสาว พี่เขย ท่านพี่ แล้วก็ท่านแม่ด้วย”
ไม่นานนัก ในบรรดาคนติดตามของจางอวี้เต๋อสี่คน มีคนหนึ่งอุ้มกล่องไม้ที่ใส่พุทราจีนไว้สองสามกล่อง จางอวี้เต๋อชี้ไปทางกล่องเ่าั้ “ก่อนหน้านี้ข้าไปในเมืองหลวง ได้เลือกของเล่นที่ไม่ได้แพงอะไรมาให้หลานๆ ท่านพี่ อย่าได้ปฏิเสธเป็พอ”
ตามคาด สองพี่น้องได้ผ้าชั้นดีกันคนละส่วน เครื่องประดับผมลายดอกและเครื่องเงินหลากหลาย ทั้งยังมีผ้าอีกสี่ม้วน หลิวชุนเซียงอายุยังน้อย จางอวี้เต๋อยังเตรียมเครื่องเงินมงคลให้นางด้วยหนึ่งชุด ซึ่งประกอบไปด้วยสร้อยเงิน กระดิ่งมือ กระดิ่งเท้าอย่างละคู่ ชุดกันเปื้อนเด็ก เครื่องทำผม กำไลหยกแกะสลัก ทำเอาคนทั้งหมดหลงรักเต็มเปา
หลิวซานกุ้ยได้ผ้าฝ้ายละเอียดสี่ม้วน จางกุ้ยฮัวได้เครื่องประดับสี่ชุดพร้อมกับผ้า แล้วก็ปิ่นปักผมทองสองชิ้น ปิ่นปักผมเงินสองชิ้น ส่วนเฉินซื่อได้ผ้ากับเครื่องประดับศีรษะเงินสี่ชุด แล้วก็ยี่สิบตำลึงเงินขาว
“เ้าเด็กคนนี้ ออกไปข้างนอกก็ไม่ง่าย หญิงชราอย่างข้าจะสวมใส่สิ่งเหล่านี้ไปไย หากรู้ว่าเ้าจะใช้เงินแบบนี้ สู้เอาเงินไปซื้อที่นาดีกว่า ข้าจะบอกให้ว่า เงินห้าสิบตำลึงที่เ้าส่งมาคราวที่แล้ว ข้าซื้อที่นาดีได้ตั้งสิบไร่ แล้วก็ที่ดินรกร้างห้าไร่”
เฉินซื่อบอกกับบุตรชายอย่างภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยต่อ “ที่นาดีปล่อยเช่าให้คนอื่น จะได้เก็บค่าเช่าอย่างเดียว ที่ดินรกร้างก็นับว่าอาศัยพี่เขยเ้า ให้คนช่วยปลูกมันเทศให้ข้า พี่เขยเ้าเลี้ยงหมูไว้สองร้อยกว่าตัว ไก่ห้าพันกว่าตัว ทุกวันต้องให้คนไปเก็บใบมันเทศจากสวนมา ของเ่าั้งอกเงยง่าย พอเก็บเสร็จก็งอกขึ้นมาใหม่ ทั้งสองบอกว่ารอจนสิ้นปีจะคิดให้ข้าเป็เงิน และไม่เอาใบมันเทศของข้าเปล่าๆ ให้ข้ารอรับเงินตอบแทนของเขาได้”
ั้แ่สามีของเฉินซื่อจากไป ชีวิตของนางก็ขมขื่นยิ่งกว่าแตงขม ไม่ง่ายเลยกว่าบุตรชายจะได้ดี กระทั่งชีวิตของบุตรสาวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ วันเวลาของนางช่างมีความสุขยิ่งนัก กระทั่งรอยเหี่ยวย่นก็ลดน้อยไปกว่าครึ่ง
ดังนั้นพอได้โอกาสจู้จี้ก็บ่นไม่หยุด
จางอวี้เต๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าก็วางใจ รอครั้งหน้าข้ากลับมาจากการค้าขาย ค่อยให้ท่านซื้อที่นาเพิ่มอีกร้อยไร่ จากนั้นหาเด็กรับใช้สองคนมาปรนนิบัติ ถึงตอนนั้นทั่วละแวกนี้ก็จะเรียกท่านว่าคนรวยเ้าของที่ดิน”
“ท่านยายคือคนรวยเ้าของที่ดิน เช่นนั้นข้าก็เป็คนรวยจิ๋วใช่หรือไม่? ท่านน้า ข้าเองก็อยากมีเด็กรับใช้ด้วย” หลิวเต้าเซียงเห็นเฉินซื่อชอบใจก็จงใจทำตัวน่ารักเอาใจ หยอกให้เฉินซื่อหัวเราะขำขัน จากนั้นโอบนางไว้แล้วเรียกเ้าก้อนเนื้อ ไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดู
จางอวี้เต๋อเห็นว่ามารดามีชีวิตที่ใช้ได้ ในที่สุดจึงวางใจ
ั้แ่น้าชายของหลิวเต้าเซียงกลับมา เฉินซื่อราวกับว่าอายุอ่อนลงไม่ใช่เพียงสิบปี วันๆ ตื่นแต่เช้าตรู่นำลาไปซื้อของที่ตำบล ส่วนหลิวซานกุ้ยที่ต้องไปเรียนทุกวันก็กลายเป็ว่าต้องนั่งเกวียนวัวของเหล่าหวังกลับมาทุกครั้ง
ตอนนี้หลิวซานกุ้ยมีเงินอยู่ในมือ จึงไม่เสียดายเงินเล็กน้อยนี้ ขอเพียงแม่ยายดีใจ เขายอมให้หน่อยก็ไม่เป็ไร
วันเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาจางอวี้เต๋อก็อยู่บ้านครบสิบวัน ่ระหว่างนี้หลิวเหรินกุ้ยก็มาเวลาอาหารเที่ยงทุกวัน ตกกลางคืนยังอาศัยอาหารค่ำของบ้านหลิวซานกุ้ย กินจนเมามายค่อยกลับไป
รุ่งเช้าวันนี้จางอวี้เต๋อบอกให้คนขนของขึ้นรถ เตรียมเดินทางไกลอีก
“อวี้เต๋อ เ้าอยู่ข้างนอกอย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลา แล้วก็อย่าดื่มน้ำในลำธาร ครั้งที่แล้วพี่เขยกับพี่สาวเ้าให้หมอจ้าวตรวจ บอกว่าน้ำที่ไม่ต้มห้ามดื่ม ดื่มแล้วจะไม่สบายได้ง่าย ต้องต้มก่อนจึงจะดื่มได้”
เฉินซื่อยังทำใจไม่ได้ที่บุตรชายจะเดินทางไกล แต่ก็รู้ว่ารั้งเขาไว้ไม่อยู่ จึงบ่นเื่เหล่านี้ซ้ำไปมา นางเอาห่อผ้าที่ถือไว้ให้จางอวี้เต๋อ “ตอนเด็กเ้ากินของมันแล้วมักจะถ่ายท้อง นี่เป็ยาที่เอามาจากหมอท้องถิ่น เก็บมาจากูเา แล้วก็มีโคลนที่ขุดจากมุมบ้าน หากว่าไปข้างนอกแล้วปรับตัวไม่ได้ ก็ให้นำมาชงน้ำดื่ม ได้ผลยิ่งนัก”
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว คราวก่อนที่จากไป ข้าลืมบอกท่านว่าข้าขุดดินโคลนตรงแปลงผักบ้านเราไปมาก โชคดีที่ฟังคำพูดของท่าน ตอนนั้นที่ร่างกายข้ายังปรับตัวไม่ได้ ก็อาศัยพวกมันผ่านมาได้ ท่านแม่ คำพูดของท่านข้าจำไว้หมด ของห่อนี้ข้าจะไม่ให้อยู่ห่างกายและพกไว้ติดตัวตลอด เสื้อผ้าไม่เอาก็ได้ แต่ชีวิตห้ามทิ้งไป ลูกจะดูแลตัวเองเพื่อกลับมาอยู่กับท่านแม่ และหาสะใภ้ดีๆ จากนั้นก็คลอดหลานชายตัวอ้วนให้ท่านอีกหลายๆ คน”
ความเศร้าโศกของการพรากจากกันถูกพัดพาไปเพราะคำพูดขบขันของจางอวี้เต๋อ
อารมณ์ของเฉินซื่อก็ผ่อนคลายลงอย่างน่าแปลกประหลาด
-----
