ไม่ต่างจากที่เยวี่ยเจาหรานคาดการณ์ไว้ การแก้แค้นของอาจารย์อวี้น่าจะไม่นานหลังจากนี้ แต่ที่เยวี่ยเจาหรานคาดไม่ถึงก็คือ เขาไม่นึกว่าอาจารย์อวี้จะใช้วิธีที่ ‘โเี้’ พลิกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่าอาจารย์อวี้ท่านนี้มีความสามารถเหนือเมฆอันใด วันต่อมายังไม่ถึงยามบ่าย ราชโองการฉบับที่สองก็ส่งมายังจวนเยี่ยน ข้ามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและส่งตรงไปถึงมือแม่ทัพเยี่ยน...
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่รู้เื่รู้ราวคุกเข่าลงในห้องโถงใหญ่ รับราชโองการพร้อมกับพ่อแม่ของตนอย่างที่ควรจะเป็ ไม่คาดว่าราชโองการนี้จะมาเพื่อลงโทษตน
กงกงที่อ่านราชโองการขึ้นเสียงแหลมสูง หลังจากประกาศเนื้อความช้าๆ อย่างละเอียดครบถ้วนจบ ก็เรียกสติให้แม่ทัพเยี่ยนรีบรับราชโองการ และมองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีสีหน้ามึนงงอย่างมีความหมายลึกล้ำบางอย่างในใจ
เยวี่ยเจาหรานลอบเอ่ยไม่ได้การ เดาว่าอาจารย์อวี้ในตอนนี้คงจะกำลังแอบดูอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วเยาะเย้ยอยู่สินะ?
หลังส่งกงกงที่มาส่งมอบราชโองการกลับไปอย่างสงบนิ่งแล้ว แม่ทัพเยี่ยนก็โยนราชโองการมาตรงหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ยามที่ยกมือชี้ไปที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แทบอยากจะทิ่มทะลุเข้าไปในหน้าผากของนางเสียให้ได้ “เ้า เ้า เ้า...!”
แม่ทัพเยี่ยนตื่นตระหนกกับราชโองการที่มาอย่างกะทันหันนี้อย่างมาก ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกโยนลงบนตัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ก้มหน้าหลุบตาลงอย่างหวาดกลัว แม่ทัพเยี่ยนก็ยังไม่ปรานี “เ้าจะว่าอย่างไร ยั่วโมโหใครไม่ยั่ว ดันไปยั่วนักปราชญ์คร่ำครึที่ยุ่งยากวุ่นวายที่สุดเช่นนั้นเสียได้! แถมยังเป็ผู้ที่ทรงไว้วางพระทัยและทรงโปรดปรานที่สุดของฝ่าาอีก——!” แม่ทัพเยี่ยนสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างโมโห “เ้านะเ้า รีบไปขออภัยเขาเดี๋ยวนี้ พิธีคารวะอาจารย์ก็จัดการเสียด้วย!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบะปาก รู้สึกไม่เต็มใจอย่างที่สุด ทว่าทั่วใต้หล้าไม่มีแห่งหนใดไม่ใช่ดินแดนของกษัตริย์ ปฐีเหนือน้ำไม่มีที่ใดไม่ใช่อาณาเขตของาา แม้ว่าจะไม่เต็มใจเพียงใด นางก็ไม่อาจต่อต้านพระประสงค์ของฮ่องเต้อย่างไม่รักชีวิตได้ไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ย่นจมูกเล็กๆ ของตนแล้วรีบเดินไปอย่างตะลีตะลาน ปล่อยให้แม่ทัพเยี่ยนกระทืบเท้าก่นด่าอย่างรุนแรงอยู่ลำพัง “น่าโมโหเสียจริง น่าโมโหนักให้ตายสิ!”
บทสุดท้ายของเื่ราวนั้นก็คือ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วประคองยกถ้วยน้ำชา คุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยเรียกอาจารย์อวี้ว่าท่านอาจารย์ แล้วคำนับด้วยความเคารพ ทั้งยังตระเตรียมของขวัญขอบพระคุณอาจารย์อย่างขะมักเขม้นราวกับเตรียม ‘สามสื่อหกพิธี’ [1]
ส่วนอาจารย์อวี้ที่นั่งอยู่กลางห้องโถงนั้น ไม่แม้แต่จะชายตามอง เขารับชามาอย่างเกียจคร้าน ได้กลิ่นเพียงปลายจมูกก็รู้ว่านี่คือชาหลงจิ่งชั้นหนึ่งเมื่อวาน แล้วจิบชาคำหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ แม้เขาเองก็ดูแคลนนักเรียนที่ทั้งอายุเยอะทั้งด้อยพื้นฐานผู้นี้ แต่อย่างไรก็ต้องไว้หน้าฮ่องเต้และแม่ทัพเยี่ยนไว้บ้าง
นอกจากนี้แม้เขาจะเย่อหยิ่งอยู่มาก แต่ก็รู้จักประมาณตน รู้ว่าเวลาใดควรรุก เวลาใดควรถอย เื่เป็เช่นนี้แล้ว การแสดงอำนาจก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็ต้องทำเื่ให้วุ่นวายอีก
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคุกเข่าจนปวด ขาก็เมื่อย ถ้วยก็ยกค้างอยู่ตั้งนานแล้ว ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังต่อ ‘นักปราชญ์คร่ำครึ’ ผู้นี้ฝังลึกในใจตนยิ่งขึ้นไปอีก ในใจแอบสบถว่าสักวันหนึ่งจะต้องให้เขาชดใช้ให้ได้ สรุปแล้วก็คือนางจะป่วนการเรียน ให้เขาต้องยอมแพ้ไปเลย!
สุดท้ายเยวี่ยเจาหรานก็ประคองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับเรือนอย่างละอายใจ ฟังนางก่นด่าไปอีกค่อนคืน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงวันต่อมาที่จะถูกอาจารย์อวี้ใช้ไม้กระดานไล่ตีเข้าไปในห้องเรียนที่ปิดสนิทได้...
หลังจากการกดขี่และทรมานอย่างต่อเนื่องของอาจารย์อวี้มาสองสามวัน ความเจ็บแค้นในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยิ่งฝังลึก บวกกับอาจารย์อวี้เองก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสักเท่าไร ด้วยเหตุนี้ศิษย์อาจารย์คู่นี้ต่างก็แอบงัดข้อกันเื้ั ลอบก่นด่ากันสักหมื่นครั้ง แต่เบื้องหน้าก็ยังต้องรักษาความสามัคคีขั้นพื้นฐานเอาไว้ ด้วยกลัวว่าจะถูกรายการฝ่าา แล้วถูกจับมัดโบยกันทั้งคู่
วันนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับถึงเรือนด้วยความเหน็ดเหนื่อย นางหลบเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังฉากบังตาไปพลางฟังเยวี่ยเจาหรานเล่าเื่ราวภายในและภายนอกจวนใน่สองวันนี้ไปพลาง พร้อมกับเสียงแทะเมล็ดแตงที่เขานำมาจากข้างนอก นับได้ว่า ‘อบอุ่นสุขสันต์’ ทีเดียว
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยกมือขึ้นนวดคลึงหลังคอตนเอง แล้วนั่งลงข้างๆ เยวี่ยเจาหราน เอ่ยถามขึ้นราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “เอ พริบตาก็จะถึง่ของการทำขนมชิงถวน [2] อีกแล้ว นั่นเป็ขนมที่เพียงอย่างเดียวที่ท่านแม่ข้าจะลงมือทำด้วยตนเอง นางไม่ได้เรียกเ้าไปด้วยกันหรอกหรือ?”
เยวี่ยเจาหรานที่กำลังแทะเมล็ดแตงได้ยินเช่นนั้นมือก็ชะงักไป ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา แล้วพลันเอ่ยขึ้นอย่างตระหนักได้ “ถ้าเ้าไม่บอกข้าก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย! เมื่อวานเปี่ยวเม่ยผู้นั้นของเ้าก็เอ่ยกับข้าแล้ว นางบอกว่า… พรุ่งนี้ให้ไปชั่วยามไหนนี่แหละ”
เมื่อเห็นเยวี่ยเจาหรานทำท่าทางขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนักเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็กลอกตารอบหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ “เ้าค่อยๆ คิดเถอะ จะเวลาไหนพรุ่งนี้ข้าก็ไปไม่ได้ เ้าใส่ใจหน่อยก็แล้วกัน”
ใส่ใจอะไร? เยวี่ยเจาหรานพลันงงงัน แต่ชั่วครู่ต่อมาก็เข้าใจขึ้นมา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคงจะไม่ได้หวังดีกังวลว่าตนจะถูกสตรีสองผู้นั้นจะลอกเลียนแบบตนหรอกกระมัง? ดังนั้นแปดในสิบส่วนนางคงจะกังวลว่าสตรีสองผู้นั้นจะถูกตนลอกเลียนแบบเสียมากกว่า...
เยวี่ยเจาหรานไม่ได้เอ่ยต่อ เพียงแค่พยักหน้า แล้วจึงหันไปครุ่นคิดว่าเวลาที่สวี่ชิวเยวี่ยบอกนั้นคือเมื่อไหร่กันแน่ ในห้องพลันเงียบงัน ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา กระทั่งเยวี่ยเจาหรานตบหัวตนเอง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “อ๋อๆ นึกออกแล้ว เวลาที่สวี่ชิวเยวี่ยบอกคือยามอู่ [3] ใช่ ยามอู่!”
“ยามอู่?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน...
เยวี่ยเจาหรานเอียงศีรษะ แล้วใช้ข้อศอกสะกิดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังขมวดคิ้ว “ทำไมหรือ?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกว่าไม่อาจให้ความเคลือบแคลงของตนส่งผลต่อกำหนดการเดิมของเหล่า ‘สตรี’ ทั้งสามได้ ดังนั้นจึงเก็บความสงสัยในใจเอาไว้ เพียงส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ไม่มีอะไร ข้าเหนื่อยมาก ไปนอนก่อนนะ”
เยวี่ยเจาหรานไม่รู้เหตุผล แต่ก็ไม่อยากจะถามให้ ‘กวนใจ’ จึงได้แต่เงียบเสียงไม่เอ่ยอะไรอีก ปล่อยให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเข้านอนไป
ผ่านไปไม่นาน เยวี่ยเจาหรานที่กินเมล็ดแตงจนพอแล้วจึงสวมชุดนอนเบียดตัวขึ้นเตียง แสงไฟตะเกียงสลัววูบวาบ ก่อนจะดับไปอย่างเงียบเชียบ
ดวงอาทิตย์สายโด่ง ในที่สุดเยวี่ยเจาหรานก็ลืมดวงตาอันเหนื่อยล้าขึ้นมา คนข้างกายนั้นไม่เห็นเงาไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องคิดให้มากก็รู้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกอาจารย์อวี้ลากตัวไปเรียนอย่างบากบั่นแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจและไม่ได้เอ่ยอะไร
เมื่อจัดการตนเองเรียบร้อย เยวี่ยเจาหรานก็ถือลูกผิงกั่วแดงไว้อย่างเนิบนาบ กัดลงไปคำหนึ่งดังกร๊อบ แล้วยักย้ายส่ายสะโพกของตนไปยังสถานที่ที่นัดกันไว้ ลูกผิงกั่วในมือยังกินไม่ทันหมดก็เห็นฮูหยินเยี่ยนและสวี่ชิวเยวี่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไป เอ๊ะ เหตุใดสถานการณ์นี้จึงดูไม่ค่อยถูกต้องนัก?
เยวี่ยเจาหรานโยนลูกผิงกั่วในมือทิ้ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ทักทายฮูหยินเยี่ยนอย่างร่าเริงแจ่มใส แต่กลับได้เพียงเสียงตอบรับอันเฉยเมยของฮูหยินเยี่ยนตอบกลับมาคำหนึ่ง
ไม่ถูกสิ สถานการณ์นี้มีบางอย่างแปลกๆ เหตุใดอยู่ดีๆ ฮูหยินเยี่ยนถึงไม่แม้แต่จะมองเขาสักครั้งเลยล่ะ? ถึงแม้ว่ายามปกติความสัมพันธ์ ‘แม่ผัวลูกสะใภ้’ จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้...
ระหว่างที่กำลังลังเล เยวี่ยเจาหรานก็ย่นคิ้วเรียวโดยไม่รู้ตัว มือจับแขนเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น
เชิงอรรถ
[1] สามสื่อหกพิธี (三媒六聘) บ้างก็เรียกว่า สามหนังสือ หกพิธีการ (三书六礼) ขั้นตอนการสู่ขอเ้าสาวแบบจีนโบราณนั่นเอง โดยจะเป็การแลกเปลี่ยนหนังสือสามฉบับระหว่างตระกูล และการดำเนินตามพิธีการ 6 ข้อ
[2] ขนมชิงถวน (青团) เป็ขนมที่มีลักษณะเป็ลูกกลมๆ สีเขียวหยก ทำจากแป้งข้าวเหนียว ข้างในมีไส้หวาน ทำจากถั่วแดงหรือถั่วดำ
[3] ยามอู่ (午时) เป็การนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ ยามอู่คือ่เวลาเที่ยง ั้แ่เวลา 11.00 น. – 13.00 น.