ปี้จื่อ?
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสิบห้าปีของอวิ๋นจื่อ นางรู้จักคนที่ชื่นชอบทั้งไม้กฤษณาและปี้จื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น
นั่นคือ องค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวา
ปี้จื่อหาได้ยากในเมืองอวิ๋นเมิ่ง อย่างไรก็ตาม มันกลับเติบโตจนเขียวชอุ่มในตำหนักเหวินฮวา แต่ขุนนางส่วนใหญ่ในเมืองอวิ๋นเมิ่งไม่ชื่นชอบมันเท่าใดนัก
เพราะนอกจากมันจะมีราคาแพงมากแล้วยังปลูกยากอีกด้วย แน่นอนว่ารูปร่างหน้าตาของมันก็ธรรมดามากเช่นกัน มันไม่ใช่พืชที่แสดงถึงสถานะของผู้แต่อย่างใด
เหล่าทายาทของตระกูลขุนนางระดับสูงล้วนหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงองค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวาที่ชื่นชอบการปลูกปี้จื่อ แม้บางครั้งหัวข้อสนทนาจะพาดพิงถึงนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะมีใครบางคนเบี่ยงประเด็นไปเื่อื่นอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ใน่ที่องค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวาอยู่ในเมืองอวิ๋นเมิ่ง นางจึงเป็เพียงบุคคลในตำนานที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักและสนิทสนม
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินว่ามีคนผู้หนึ่งชมชอบปี้จื่อเช่นกัน”
เย่เช่อชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เ้ากำลังพูดถึงใคร?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าได้ยินจากท่านป้าอวิ๋นว่าองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ก่อนทรงโปรดปรานปี้จื่อมาก แต่ขุนนางในเมืองอวิ๋นเมิ่งกลับไม่ใคร่ชื่นชอบมันนัก”
เย่เช่อยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ ข้าก็เคยได้ยินเื่นี้เหมือนกัน เหตุผลที่ข้าไม่กลับไปเมืองอวิ๋นเมิ่งก็เพราะปี้จื่อเหล่านี้”
อวิ๋นจื่อแสร้งทำเป็ประหลาดใจ “คุณชายมาจากเมืองอวิ๋นเมิ่งหรือ?”
ขณะที่เย่เช่อกำลังจะตอบ ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นเขาก็หันกลับมาและกล่าวว่า “ข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปข้างในแล้วค่อยสนทนากัน”
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็พยายามนึกย้อนความทรงจำของตัวเอง
ตอนที่นางยังเป็องค์หญิงเหวินฮวา นางเคยพบเย่เช่อตอนไหน?
นางจำไม่ได้
นางรู้เพียงว่าเย่เช่อเติบโตขึ้นที่ชายแดน
ตอนนี้ตระกูลเย่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว แน่นอนว่าเย่เช่อกำลังจะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็ฮ่องเต้ใช่หรือไม่?
ดูเหมือนว่าเขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการเป็รัชทายาท
หรือนางจะต้องแต่งให้กับบุตรชายของขุนนางทรยศจริงๆ
เย่เช่อพาอวิ๋นจื่อเข้าไปในห้องโถงและกล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเป็เพราะบิดาของข้าสร้างคุณงามความดีจึงได้รับตำแหน่งใหญ่โต ข้าจึงทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไปเอง”
อวิ๋นจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางกล่าวด้วยท่าทีเลื่อนลอยว่า
“คุณชายเล่าเื่หญิงสาวผู้นั้นให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นเย่เช่อก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว
แต่อีกไม่นานหญิงสาวตรงหน้าย่อมไม่ใช่คนอื่นคนไกล การเล่าให้นางฟังอาจไม่ใช่เื่ใหญ่
สีหน้าของเย่เช่อค่อนข้างอ้างว้าง “เหวินฮวาเป็หญิงสาวที่สดใสที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”
อวิ๋นจื่อรู้สึกแปลกใจ หากในอดีตเขาเคยพบนางจริงๆ แล้วเหตุใดตลอดหลายปีที่ผ่านมานางจึงไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาเลย? นางรู้เพียงว่าเขาเติบโตขึ้นที่ชายแดนและแทบไม่เคยกลับเมืองอวิ๋นเมิ่งเลย?
ความประทับใจทั้งหมดของนางที่มีต่อเขาล้วนมาจากคำบอกเล่าของคนอื่น
จนกระทั่งการต่อสู้ครั้งนั้นนางจึงรู้ว่าหลานชายของแม่ทัพเจิ้นหนานและบุตรชายคนโตของเย่เซียงได้กลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
สิ่งที่นางได้ยินบ่อยที่สุดเกี่ยวกับเย่เช่อมีแต่เื่าเท่านั้น
แต่ด้วยสถานะในปัจจุบันอวิ๋นจื่อย่อมไม่อาจเอ่ยปากถามได้
อวิ๋นจื่อยิ้มเล็กน้อย “เหวินฮวา นั่นคือชื่อขององค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ก่อนใช่หรือไม่?”
ร่องรอยความอ่อนโยนฉายในดวงตาของเย่เช่อ “ชื่อของนางคืออวิ๋นจื่อ จื่อที่มาจากปี้จื่อ ส่วนเหวินฮวาเป็ชื่อตำหนักที่นางประทับ”
อวิ๋นจื่อถามเสียงต่ำ “ถ้าเช่นนั้นนางรู้หรือไม่ว่าท่านชอบนาง?”
คำถามง่ายๆ เช่นนี้ทำให้คลื่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นภายในใจของเย่เช่อ
นางรู้หรือไม่ว่าเขาชอบนาง?
เขาไม่แน่ใจ
แต่เขารู้สึกว่าเป็ไปได้มากที่นางจะไม่รู้
เพราะตอนเขาอยู่ที่ชายแดน เขาได้ข่าวว่าองค์หญิงเหวินฮวาและรัชทายาทแห่งซินหลัวมักสนทนากันอย่างมีความสุข
ตอนนั้นเขารู้สึกเ็ปและสิ้นหวัง
เพราะข่าวนั้นทำให้เขาที่ไม่ได้ดื่มสุรามาหลายปีต้องเมามายจนถูกท่านตาลงโทษอย่างหนัก
เขาเป็ห่วงนางเสมอ
เขาเป็ห่วงนางมากกว่าที่คิด
การเปลี่ยนราชวงศ์ในครั้งนี้เป็สิ่งที่เย่เช่อคาดไม่ถึง เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่นางถึงวัยปักปิ่น เขาจะขอให้ท่านตาถวายฎีกาสู่ขอนางกับฝ่าา
แต่หลังจากเปลี่ยนราชวงศ์แล้ว เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวของนางอีกเลย
เสียงของเย่เช่อเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“นางอาจไม่เคยรู้มาก่อน และในอนาคตนางก็ไม่อาจรู้ด้วย ข้าคิดว่านางน่าจะตายไปแล้ว”
อวิ๋นจื่อตกตะลึง
เนื่องจากเป็วันส่งท้ายปีเก่า นางจึงเอามือปิดปากเขาทันทีและกล่าวเสียงเบาว่า
“คุณชายอย่ากล่าวเื่ไม่เป็มงคล วันนี้เป็วันส่งท้ายปีเก่า"”
เย่เช่อััได้ถึงความอบอุ่นจากมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มนั้น หัวใจที่กระวนกระวายของเขาสงบลงเล็กน้อย “ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ ข้าเดาว่านางคงจะเกลียดข้ามาก”
อวิ๋นจื่อคือคนที่รู้เื่นี้ดีที่สุด นางจึงปฏิเสธทันที “จะเป็ไปได้อย่างไร? ด้วยพร์ของคุณชาย หญิงสาวที่ไหนจะไม่ชอบ?”
เย่เช่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ความรู้สึกที่ผู้อื่นมีต่อข้าย่อมไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับข้า”
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาทำให้อวิ๋นจื่อไม่พอใจเล็กน้อย
นางไม่คิดว่าขุนนางที่เสด็จพ่อไว้ใจมากที่สุดจะกลายเป็ขุนนางทรยศไปได้
แต่ในขณะเดียวกันอวิ๋นจื่อก็ไม่เคยรู้เช่นกันว่าเย่เช่อจะชอบนางถึงเพียงนี้ หรือว่านางจะมีโอกาสได้กลับไปยังตำหนักเหวินฮวาจริงๆ?
อวิ๋นจื่อเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
นางรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี
คล้ายกับมีมือลึกลับที่คอยช่วยเหลือนางจากเบื้องบน
หนึ่งปีข้างหน้านางอาจได้กลับไปตำหนักเหวินฮวาอีกครั้ง
เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มผู้อ่อนโยน จิตใจของอวิ๋นจื่อก็รู้สึกเ็ปเล็กน้อย
นางอยากละทิ้งทุกสิ่งเพื่อให้ได้อยู่กับเขา
แม้ว่านั่นจะหมายถึงการละทิ้งสถานะที่สูงส่งในอดีตก็ตาม
อารมณ์ความรู้สึกของนางเป็เหมือนกระแสน้ำที่ไหลวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ั้แ่เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ นางก็ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย เมื่อก่อนยังมีจินเหนียงที่คอยอยู่ข้างๆ และฟังสิ่งที่นางพูด
แต่นานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้พบจินเหนียง?
นางต้องพูดคุยเื่นี้กับจินเหนียงหรือไม่?
ถ้าจินเหนียงรู้ว่าความทะเยอทะยานที่อยากจะกลับไปยังตำหนักเหวินฮวาของนางถูกทำลายลงเช่นนี้ จินเหนียงจะคิดอย่างไร?
และที่สำคัญที่สุดคือ ตัวการที่ทำลายมันกลับเป็เย่เช่อ
จินเหนียงไม่มีทางทนรับเื่นี้ได้แน่
หรือบางทีนางควรพูดคุยเื่นี้กับชิงซี?
อวิ๋นจื่อเชื่อว่าชิงซีจะต้องหาทางออกได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเศร้าโศกในใจของอวิ๋นจื่อก็จางหายไป
เย่เช่อมองใบหน้าเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ของอวิ๋นจื่อ ใบหน้าของนางบอบบางราวกับไม่เคยต้องลมฝุ่น ความงดงามนี้ทำให้หัวใจของเขาได้ัักับความอบอุ่นอีกครั้ง
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “บางทีข้าอาจตกหลุมรักเ้าแล้ว”
‘เขาบอกว่าบางทีเขาอาจตกหลุมรักข้าแล้ว’
อารมณ์ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในใจของอวิ๋นจื่อ ในขณะเดียวกันนางก็แอบกัดลิ้นของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“แล้ว...แล้วองค์หญิงใหญ่ล่ะ ท่านเอานางไปไว้ที่ใด?”