แย่แล้ว!
เหยียนอู๋อวี้สีหน้าแปรเปลี่ยนทันใด นางตัดสินใจหนีออกมาทางหน้าต่างโดยจิตใต้สำนึก
องครักษ์ที่บุกเข้ามาเห็นเพียงหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ ภายในห้องไร้ซึ่งเงาของผู้ใด
“ไล่ตามไป” องครักษ์กดเสียงต่ำพลางสาวเท้าไล่ตามออกไป
เหยียนอู๋อวี้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มองคำพูดและการกระทำขององครักษ์ด้วยสายตาเ็า หลังจากองครักษ์ออกไปแล้วจึงออกมาจากที่หลบซ่อน พร้อมกลับตำหนักเฟิ่งชัยตามเส้นทางเดิม
ขณะที่นางกำลังจะยืนได้มั่นคง ด้านนอกห้องพลันเกิดเสียงดังขึ้น สีหน้าของเหยียนอู๋อวี้พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบะโขึ้นเตียงพร้อมดึงผ้าห่มมาคลุมกายตนเองทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของซูอิ่งพลันดังมาจากด้านนอก “นายหญิง”
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยถามเสียงต่ำ “มีเื่อันใด?”
“เรียนนายหญิง มีมือสังหารหนีออกจากตำหนักอีหลาน องครักษ์จึงมาตรวจดู ทว่าตรวจไม่พบสิ่งใด ยามนี้จึงออกไปแล้วเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ตอบรับก่อนเอ่ยถามต่อ “มีข่าวป้าโฉ่วหรือไม่?”
“เรียนนายหญิง บ่าวให้คนไปรออยู่ หากกลับมาแล้วจะแจ้งนายหญิงทันทีเ้าค่ะ”
นางมิได้เอ่ยถามอันใดอีก ก่อนจะสั่งให้ซูอิ่งถอยออกไป พร้อมกับนอนตะแคงบนตั่งนอนพลางคิดถึงผลลัพธ์ของคืนนี้
ในเมื่อฮวารั่วซีทิ้งคนไว้ในตำหนักของลี่เจาอี๋ แล้วตำหนักของนางเล่า?
นางต้องหาโอกาสตรวจสอบดูให้ดีเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงของป้าโฉ่วพลันดังขึ้นมาจากด้านนอก “คุณหนู ข้าน้อยกลับมาแล้ว”
“เข้ามาเถิด” นางนั่งตัวตรงก่อนเอ่ยปากถาม “ซื้อขนมกลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
ป้าโฉ่วเปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เ้าค่ะ ขนมดอกท้อจากถนนตะวันออกเ้าค่ะ”
นางเอ่ยพลางหยิบขนมออกจากกล่องมาจัดแจงให้ดี เหยียนอู๋อวี้สั่งให้ซูอิ่งออกไปก่อน หลังป้าโฉ่วปิดประตูลง นางจึงหยิบขนมดอกท้อขึ้นมาชิ้นหนึ่งพร้อมกล่าวว่า “แม่นางลองชิมดูเถิด ยังร้อนๆ อยู่เลยเ้าค่ะ”
เมื่อบิดขนมออกจึงพบกระดาษหนึ่งแผ่นด้านในนั้น บนกระดาษเขียนว่า ‘เห็นด้วย’
มองปราดเดียวก็รู้ว่าคำนี้บุรุษเป็ผู้เขียนขึ้นมา
ป้าโฉ่วเอ่ยกระซิบข้างหูนาง “ตระกูลเซียวร้อนใจนัก ครั้นได้ยินบ่าวเอ่ยเช่นนั้นจึงรีบบอกทันทีว่าขอเพียงลี่เจาอี๋ปลอดภัย พวกเขาล้วนเต็มใจส่งคนไปช่วยคุณหนู”
นางบีบกระดาษในมือแน่น สายตาแน่วแน่พลันถูกส่งออกมา
นี่เป็การเคลื่อนไหวที่อันตรายอย่างยิ่ง ตระกูลเซียวต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเื่นี้ผิดปกติ เพียงแต่มือเอื้อมไปไม่ถึงในวังหลวง ลี่เจาอี๋เองยังแทบเอาตัวไม่รอด ยามนี้นางมอบเชือกให้พวกเขาเส้นหนึ่งแล้วพวกเขาจะไม่คว้าไว้ให้ดีๆ ได้อย่างไร?
เพียงแต่เดิมทีคดีนี้มีสิ่งผิดปกติยิ่งนัก ฮวารั่วซีลงมือจัดการกับนาง ทว่านางสามารถพลิกสถานการณ์กลับได้สำเร็จ จึงทำได้เพียงใช้อุบายทำร้ายตนเองแล้วดึงลี่เจาอี๋มาล้างความผิด
ลี่เจาอี๋นับว่าไม่ฉลาดเอาเสียเลย นางไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าถูกคนแอบทำที่ซ่อนลับไว้ในห้องพัก ดูจากฝุ่นที่สะสมอยู่ในที่ซ่อนลับ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้แตะต้องมานานแล้ว เกรงว่าลี่เจาอี๋คงไม่รู้แม้กระทั่งที่ซ่อนลับนั้นอยู่ที่ใดกระมัง
“คุณหนู องครักษ์พวกนั้นตามหาท่านกระมัง!” เห็นได้ชัดว่าป้าโฉ่วได้ยินเื่องครักษ์ ภายในใจจึงเข้าใจเื่ราวทุกอย่าง นางกระซิบข้างหูเหยียนอู๋อวี้ “เราเพิ่งเข้าวัง รากฐานยังไม่มั่นคง จากที่บ่าวสังเกตมา เื่นี้ไม่อาจเข้าไปยุ่งได้”
“แต่เ้าบอกว่าข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว” นางต้องเดิมพันเื่นี้ เดิมพันว่าตระกูลเซียวจะติดหนี้น้ำใจนี้หรือไม่
แววตานางหยุดอยู่บนแผ่นกระดาษ เหยียนอู๋อวี้รู้ว่าตนเองเดิมพันถูกทางแล้ว เซียวซิ่งเสวี่ยยังไม่ใช่หมากเสีย
“ฝ่าาเสด็จ!”
ขันทีส่งเสียงแหลมดังอยู่ด้านนอก เหยียนอู๋อวี้สีหน้าเปลี่ยนทันที เว่ยหรูไห่กล่าวว่าคืนนี้ซ่งอี้เฉินจะไม่มาตำหนักนางมิใช่หรือ?
“คุณหนู?” ป้าโฉ่วเหลือบมองอาภรณ์บนร่างกายนางที่ยังไม่ได้เปลี่ยนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนรีบร้อนออกไปรับหน้า ด้านนอกพลันเอ่ยถามเสียงดัง
“นายหญิงของเ้าอยู่ที่ใด?”
“เดิมทีคุณหนู้าพักผ่อน ได้ยินว่าฝ่าาเสด็จมา ยามนี้จึงกำลังเปลี่ยนอาภรณ์อยู่เ้าค่ะ”
หัวค่ำเพียงนี้หรือ? ความสงสัยเคลื่อนผ่านในดวงตาของซ่งอี้เฉิน ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยามที่เปิดอ่านฎีกา เว่ยหรูไห่มาแจ้งว่าวันนี้เหยียนอู๋อวี้ไม่สบายจึงไม่รับอาหารเย็น
ราวกับถูกบางสิ่งเข้าสิงเมื่อเขาได้ยินว่านางไม่สบาย ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงได้รีบมาหานาง เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาจึงเข้าไปในตำหนักโดยไม่สนป้าโฉ่วที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
มองจากระยะไกลเขาเห็นเหยียนอู๋อวี้กำลังเปลือยไหล่เนียนเปลี่ยนอาภรณ์อยู่
“สนมที่รัก?” เขาส่งเสียงเรียกหยั่งเชิงพร้อมกับเดินไปข้างเตียงทีละก้าว
เหยียนอู๋อวี้ใ จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้นาง นางจึงหันศีรษะไปด้านข้างเผยให้เห็นดวงตาที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางกล่าวเสียงแ่เบาว่า “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าา เพราะวันนี้หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงออกไปต้อนรับไม่ทัน ฝ่าาโปรดให้อภัยด้วยเพคะ”
สตรีเลอโฉมเบื้องหน้าสวมอาภรณ์เพียงครึ่ง ผิว้าเปลือยเปล่า ผิวเนียนขาวประหนึ่งหยกงาม เมื่อผ่านสายตาทำให้เขาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ทันใดนั้นแววตาของเขาพลันหยุดอยู่ที่ผ้าสีดำผืนหนึ่งบนพื้น
สีดำถือเป็สิ่งอัปมงคลในวังหลวง ชุดของนางสนมย่อมไม่มีสีดำสักชิ้นอย่างแน่นอน
ตำหนักแห่งนี้มีผ้าสีดำได้อย่างไร?
แววตาของซ่งอี้เฉินพลันแปรเปลี่ยนทันใด ก่อนจะก้มลมไปหยิบผ้าสีดำนั้นขึ้นมา
“ฝ่าา!” เหยียนอู๋อวี้พลันเรียกเสียงแ่เบา มีความร้อนรนในน้ำเสียงอย่างเลี่ยงไม่ได้
คล้ายผู้ที่ถูกจับจุดอ่อนได้
ยิ่งเป็เช่นนี้ การเคลื่อนไหวของซ่งอี้เฉินจึงไร้ซึ่งความเชื่องช้าพร้อมกับหยิบผ้าสีดำชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ความจริงเขาคาดเดาไว้ในใจอยู่แล้วว่าผ้าชิ้นนี้อาจจะเป็เสื้อกลางคืนชุดหนึ่ง
ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่ายามที่เปิดผ้าสีดำชิ้นนี้ออกจะเห็นป้ายิญญาแผ่นหนึ่งวางอยู่ใต้ผ้าสีดำอย่างเรียบร้อย บนป้ายิญญาเขียนว่าป้ายิญญามารดาผู้ล่วงลับ
ไม่เขียนชื่อ มีเพียงประโยคสั้นๆ เรียบง่าย
ทว่าทำอย่างกะทัดรัด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของบุตรธิดาอย่างชัดเจน
เกินความคาดหมายอย่างยิ่ง ซ่งอี้เฉินแสดงหน้างุนงงเล็กน้อย ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เคยพบเห็นผู้ที่ผ่านอุปสรรคมากมาย ไม่นานเขาจึงฟื้นสติกลับมาและวางผ้าสีดำนั้นกลับไป
“ในวังหลวงห้ามไม่ให้มีสิ่งของประเภทนี้ วันหลังสนมที่รักเก็บให้ดีๆ หน่อยเถิด!” ไม่ได้เรียกนางว่าอวี้เอ๋อร์เหมือนอย่างเคย เห็นได้ชัดว่าซ่งอี้เฉินอารมณ์ไม่ดี
“เป็ความผิดของหม่อมฉันเพคะ” นางเอ่ยตอบเสียงเบาก่อนจะเบนสายตามองไปทางเขาที่สวมเสื้อคลุมัอยู่เบื้องหน้า
เว่ยหรูไห่บอกว่าวันนี้จะไม่มา ไฉนวันนี้เขาถึงมาหานางเล่า?
“ได้ยินมาว่าวันนี้เ้าไม่เสวยอาหารเย็น เจิ้นจึงมาดูเ้าสักหน่อย” เขาตอบเหมือนเป็ห่วง ทว่าขณะที่แววตาของเขาหยุดอยู่ที่ผ้าดำผืนนั้น ในใจพลันรู้สึกเข้าใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“วันนี้เป็วันครบรอบการเสียชีวิตของมารดาผู้ให้กำเนิดเพคะ เมื่อครั้งยังเล็กหม่อมฉันเสวยขนมดอกท้อที่มารดาทำเองกับมืออยู่บ่อยครั้งจึงไม่ค่อยอยากเสวยอาหาร หม่อมฉันเลยสั่งให้คนข้างกายไปซื้อขนมดอกท้อกลับมาเพคะ” คำพูดของเหยียนอู๋อวี้ค่อนข้างเศร้าสร้อย ไม่คล้ายแสร้งทำแต่อย่างใด
ความจริงแล้วยามที่เห็นแผ่นป้ายิญญา ซ่งอี้เฉินก็พอรู้สาเหตุอยู่บ้าง
ในวันครบรอบการเสียชีวิตของผู้เป็ที่รักที่สุด ผู้คนโดยส่วนใหญ่ย่อมไม่มีความอยากอาหาร
ทว่าคำว่าที่รักสองคำนี้คล้ายกระแทกเข้าไปในใจของซ่งอี้เฉินอย่างรุนแรงจนทำให้เขารู้สึกหายใจอึดอัดขึ้นมา
‘อู๋เหยียน’ สองคำนี้โผล่ขึ้นมาในใจของเขาทันที เขาเกือบลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของนาง
“นอนเถิด!” คำพูดมากมายภายในใจเหลือเพียงสองคำ หลังจากเอ่ยจบเขากลับยื่นมือไปถอดอาภรณ์ที่นางสวมได้ครึ่งๆ กลางๆ ออก แววตาโศกเศร้าไม่ได้จางหายไป ทำให้เหยียนอู๋อวี้เกิดความสงสัยขึ้นมา
ซ่งอี้เฉินกำลังทุกข์ใจเพราะเื่ใด
ยังไม่ทันรอให้นางคิดออก ซ่งอี้เฉินพลันถอดอาภรณ์แล้วถือโอกาสอุ้มนางขึ้นเตียงพร้อมกัน
นางอยากกรีดร้องด้วยความใ ทว่ายังไม่รอให้ตั้งสติได้ แขนแข็งแรงข้างหนึ่งพลันดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น นางได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอชัดเจน
เขามีสีหน้าทุกข์ใจเล็กน้อย นานมาแล้วสตรีผู้หนึ่งก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้