หลังจากที่หลิวเต้าเซียงซ่อนห่อเนื้อวัว จากนั้นก็หิ้วกระดูกอันใหญ่ไปในห้องครัว
จางกุ้ยฮัวเห็นนางเดินเข้ามา ปากก็ยิ้มไม่หุบ “พ่อของเ้ายังกังวลอยู่ว่าเ้าจะจำทางไม่ได้”
นี่คือคำโกหก อันที่จริงคือเป็ห่วงเื่อื่น
“ท่านแม่ ข้าแค่ช่วยไปทำงานในตำบลให้คุณชายน้อยเท่านั้น”
“คุณชายน้อยสั่งให้เ้าไปที่ตำบลจริงหรือ” หลิวเสี่ยวหลันแอบฟังอยู่ในห้องครัว คราวนี้ชะโงกเข้ามาทางหน้าต่างและเอ่ยถาม
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขำในใจ ซูจื่อเยี่ยต้องเป็ลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงแน่นอน อีกทั้งยังได้รับการฝึกปรืออย่างหนัก มิเช่นนั้นจะมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่น่าขันที่หลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันมองไม่ออก หรือบางที พวงนางแค่ไม่เคยสืบสาวให้ลึกมากกว่า
“เมื่อวานเขาบอกกับท่านแม่ข้า” หลิวเต้าเซียงพูดโกหกหน้าตาย
จางกุ้ยฮัวไม่้าให้หลิวเสี่ยวหลันถามคําถาม จึงเอ่ยอยู่ข้างๆ “อาเล็ก ก่อนหน้านี้ข้าไปขุดมันเทศป่ามา เอามาตุ๋นกระดูกกำลังดี”
“วันนี้แม่ของข้าไม่กลับมาทานอาหารกลางวัน” หลิวเสี่ยวหลันนึกถึงหลิวฉีซื่ออยู่บ้าง
หลิวเต้าเซียงรีบเอ่ย “เราค่อยทำตอนค่ำ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่า ท่านพ่อไปจับปลา อาจจะได้กินกันตอนมื้อกลางวัน”
เมื่อนึกถึงเื่นี้ นางก็ยื่นกระดูกให้จางกุ้ยฮัว แล้วบอกว่าตอนที่นางกลับมาจากปากทางหมู่บ้าน ไม่ได้สังเกตตรงลำธาร นางจึงอยากไปดูพ่อที่นั่น
จางกุ้ยฮัวจะไม่ห้ามนาง หรือจริงๆ ้าให้นางรีบหลบไปไกลๆ หลิวเสี่ยวหลันจะได้ไม่เรียกใช้
ใช่ว่าจางกุ้ยฮัว้าเลี้ยงดูลูกให้กลายเป็คนขี้คร้าน แต่ไม่ชอบใจที่หลิวเสี่ยวหลันใช้งานลูกของตนราวกับคนใช้
หลิวเสี่ยวหลันยังไม่ได้คิดว่าจะห้ามหลิวเต้าเซียงอย่างไร หลิวเต้าเซียงก็พุ่งออกจากประตูไป
นางทําตามแบบอย่างของผู้หญิงในหมู่บ้าน คือยืนอยู่ใต้หน้าต่างบ้านทางทิศตะวันออก เอามือเท้าสะเอว แล้วบ่นด่า “นางเด็กเสเพล มารดาเถอะ ไม่เอาไหนเสียจริง”
หลังจากที่จางกุ้ยฮัวได้ยิน ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
แต่ก็ก่อไฟในห้องครัวอย่างเงียบๆ ขืนนางไปก่อเื่กับหลิวเสี่ยวหลัน คนที่เสียเปรียบจะเป็ตัวนางเอง สู้ทำเป็ไม่ได้ยิน และไม่ถือสาแล้วกัน
อันที่จริง นี่คือสิ่งที่หลิวเต้าเซียงสอนนางก่อนหน้านี้ แต่ก่อนจางกุ้ยฮัวเคยโมโหกับคำพูดเหล่านี้ไม่น้อย ต่อมาหลิวเต้าเซียงโน้มน้าวว่าอย่าโมโหจนเสียสุขภาพ
หลิวเต้าเซียงไปที่ปากทางหมู่บ้านเพื่อตามหาพ่อ เห็นว่าเขาจับปลาหลี่อวี๋ได้สี่ห้าตัวซึ่งมีน้ำหนักราวครึ่งกิโลกรัมกว่า นางมองจนน้ำลายไหล เมื่อคิดว่าในท้องของปลามีไข่มากมาย ทำเป็ปลาน้ำแดงคงกำลังดี
ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านที่พากันมาซักผ้าก็แยกย้ายกลับบ้าน ส่วนบรรดาผู้ชายหากไม่ใช่ทำนาอยู่ก็ออกไปรับงานนอกทำ
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ จึงหยิบตะกร้าและนั่งบนฝั่งเพื่อพักผ่อน ปล่อยให้ลูกรองของตนมองเข้าไปในตะกร้า แล้วเขาก็มองดูนางน้ำลายไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดูอย่างไรก็น่าสุขใจ
“ลูกรัก พ่อมีเื่จะปรึกษาเ้า”
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ นางไม่ได้จำอะไรผิดใช่ไหม วันนี้พระอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันออกนี่นา
นางหันหลังกลับและถามอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านพ่อ มีเื่อันใด ขอเพียงไม่ใช่เื่เอาเงินให้ท่านย่า เื่อะไรก็หารือได้”
เด็กเ้าเล่ห์ นับวันยิ่งฉลาดหลักแหลม
หลิวซานกุ้ยมีความสุขมาก ไม่มีบุตรชายแล้วอย่างไร? บุตรสาวของตนนั้นทำหน้าที่ได้ดีกว่าบุตรชายสิบคนของผู้อื่นเสียอีก
“ลูกรัก พ่อคิดอยู่ว่า ต่อไปจะไม่ไปทำงานข้างนอกแล้ว” หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าไปทำก็ทำเสียเปล่า เงินที่ได้มาก็ต้องยกให้หลิวฉีซื่อ
หลิวเต้าเซียงเองก็นึกเื่นี้ได้ เื่ที่เสียเปรียบให้หลิวฉีซื่อ นางคัดค้านหัวชนฝา อีกอย่างนางเองก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูพ่อผู้แสนดีไม่ได้ กระนั้นจึงตอบรับอย่างรวดเร็ว
หลิวซานกุ้ยกังวลเล็กน้อย กำลังคิดว่าปกติเด็กน้อยคนนี้ฉลาดหลักแหลมไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ราวกับสมองไม่ทำงานล่ะ?
ด้วยความหน่ายใจ เขาจึงได้แต่เอ่ยว่า “เ้าว่าปลานี้เอาไปแลกเงินในตำบลได้หรือไม่?”
หา ไม่ได้กินหรอกหรือ?
หลิวเต้าเซียงดูสับสน แล้วปลาน้ำแดงที่คุยกันไว้
“ท่านพ่อ บ้านเราไม่ได้กินเนื้อปลามานานแล้ว”
หลิวซานกุ้ยพูดไม่ออก เพิ่งกินไปสามวันก่อนไม่ใช่หรือ?
ช่างเถิด ในเมื่อบุตรสาวชอบกิน เช่นนั้นก็เก็บไว้ก่อน
“ตกลง เช่นนั้นวันนี้ก็ทำปลากิน”
“อื้อ กลางวันกินน้ำแกงปลาหลี่อวี๋ กลางคืนกินปลาน้ำแดงกับน้ำแกงกระดูก” หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาพริ้ม และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ดังนี้
หลิวซานกุ้ยพูดไม่ออก เดิมทีเขา้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อแลกเงิน
ขณะที่กำลังลังเลก็ได้ยินหลิวเต้าเซียงเอ่ยออกมา ทันใดนั้นราวกับว่าเก็บเงินได้และดีใจยิ่งนัก
“ท่านพ่อ บ้านที่ข้าไปขายของป่าให้ ต่อจากนี้บอกว่าหากมีปลาอะไรก็ตาม นางก็จะรับไว้”
ในความเป็จริง แม่เฒ่าจางไม่ได้คาดหวังว่านางจะหาได้มากมาย เพียงแต่อยากได้มากินเองไม่กี่ตัว
ส่วนที่หลิวเต้าเซียงคิดไว้คือ สามีของแม่เฒ่าก็เป็พ่อครัว มีวัตถุดิบอะไรเข้ามาก็คงไม่ได้อยู่ที่เขาเป็คนกำหนด
ดังนั้นนางจึงช่วยแม่เฒ่าจางตัดสินใจตามนี้
หลิวซานกุ้ยไม่ได้คิดมาก ฤดูกาลนี้ปลาหลี่อวี๋กำลังโต กุ้งแม่น้ำก็เยอะมาก
“บ้านนั้นยินดีรับไว้หรือ?” หลิวซานกุ้ยยังไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
หลิวเต้าเซียงเห็นพ่อผู้แสนดีมีท่าทีระวังตัว เกรงว่าเงินจะบินหายไปอย่างไรอย่างนั้น แต่ในใจนางก็ยังเบิกบาน จึงโบกมือแล้วตอบ “ท่านพ่อ วางใจได้ ท่านป้าบอกแล้ว ว่าสามีของนางเป็พ่อครัว”
พ่อครัวใหญ่? หมายถึงคนที่ดูแลจัดการอาหารในห้องครัวสินะ? หลิวซานกุ้ยรู้สึกโล่งใจ
“ครอบครัวนั้นใจกว้างยิ่งนัก หนหน้าข้าจะจับปลาไปส่งที่บ้านนาง”
ดวงตาคู่สวยของหลิวเต้าเซียงเปล่งประกาย ที่แท้พ่อผู้แสนดีของตนก็ไม่ได้โง่เขลา
แค่คิดก็เข้าใจได้ ในโลกยุคที่มีความกตัญญูเป็ที่ตั้ง การกระทำของหลิวซานกุ้ยก็เป็คนกตัญญูในสายตาของผู้อื่น
การมีชื่อเสียงเื่ความกตัญญู แต่กลับต้องใช้ความอดอยากของครอบครัวมาแลก
หลิวเต้าเซียงไม่้าใช้ชีวิตเช่นนี้ เดิมทีนางคือคนโลกยุคหลัง รู้สึกว่าเงินที่หลิวซานกุ้ยหาได้ สามารถให้จางกุ้ยฮัวใช้ได้ แต่ต้องไม่ใช่ของหลิวฉีซื่อ
“ตกลง ท่านพ่อ ท่านมีหน้าที่จับปลา แล้วเราหาที่ซ่อนไว้ก่อน
นางมีความคิดขึ้นมา แต่คิดไปคิดมา ในหมู่บ้านที่ไปมาหาสู่กันก็มีเพียงหลี่ชุ่ยฮัวกับป้าหลี่ เดิมทีเลี้ยงไก่ก็ต้องรบกวนนางมากอยู่แล้ว หลิวเต้าเซียงไม่อยากเอาเื่นี้ไปขอความช่วยเหลือจากนางอีก
“พ่อจะหาที่ซ่อนให้ดีเอง เ้าน่ะ ขอเพียงกินข้าวให้มาก รีบเติบโตก็พอ”
คําพูดของหลิวซานกุ้ยนั้นง่ายมาก แต่หลิวเต้าเซียงนั้นรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก คงเพราะสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนในโลกล้วนคาดหวังมีเพียงให้ลูกเติบโตแข็งแรง
วันนี้หลิวเต้าเซียงกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ตอนค่ำก็ทำปลาน้ำแดง แล้วแอบทำอีกสองตัวเก็บไว้
หลังจากที่ครอบครัวได้รับประทานอาหารเย็น หลิวฉีซื่อกำลังเตรียมจะสั่งหลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ไปล้างจาน แต่กลับเห็นซูจื่อเยี่ยเดินเข้ามาจากห้องทิศตะวันตก
“คุณชายน้อย อาหารถูกปากหรือไม่?”
หลิวฉีซื่อลุกขึ้นยืนและเดินไปทันทีด้วยความเคารพ ท่าทีนั้นราวกับเวลาที่นางคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านฮูหยินในจวนตระกูลหวง
หลิวจูเอ๋อร์แอบเบะปากดูแคลน ซูจื่อเยี่ยหน้าตาหล่อเหลา แต่นางรู้และประเมินตัวเองได้ดี
ส่วนหลิวเสี่ยวหลันได้รับการสอนที่ผิดเพี้ยนของหลิวฉีซื่อ ขณะนี้กำลังขยับเข้าใกล้ไปทางด้านหลังหลิวฉีซื่อด้วยความเขินอาย
“คุณชายน้อย ้าสิ่งใด บอกกล่าวมาได้เลย”
ดุจดั่งนกกระจิบสีเหลืองส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ฟังแล้วคันหู
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองหลิวเสี่ยวหลันด้วยใบหน้าแปลกๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด มักรู้สึกว่าลูกไม้ของนางนั้นอ่อนหัดยิ่งนัก
ฮึ!
ลำพังลูกไม้แค่นี้ยังอยากจะดึงดูดสายตาซูจื่อเยี่ย รอชาติหน้าเถิด!
ซูจื่อเยี่ยชะงักเล็กน้อย รู้สึกพูดไม่ออกเมื่อคนทั้งสองมาขวางตรงหน้าประตู หากไม่จำเป็ เขาเองก็ไม่ได้้าออกมาจากห้อง
“อืม!”
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยืนอยู่ที่ประตูและมองไปที่คนทั้งสองที่เป็เทพเฝ้าประตูอยู่อย่างเ็า
สายตาเปรียบดั่งใบมีดคมกริบ หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกราวกับถูกกรีดไปทั้งร่าง เ็ปยิ่งนัก
นางหดตัวอยู่ข้างหลังหลิวฉีซื่อ พอถอยไปเช่นนี้ จึงเป็การเปิดทางให้ซูจื่อเยี่ย
“รบกวนแล้ว!”
ร้ายกาจมาก!
หลิวเต้าเซียงได้ยินคําพูดและยกย่องเขาในใจ
ซูจื่อเยี่ยเดินไปทางหลิวต้าฟู่ ในสายตาของเขาหลิวต้าฟู่เป็หัวหน้าของตระกูลหลิว
เขาเดาว่าอายุวัยของหลิวต้าฟู่ เดิมทีควรเรียกท่านอา แต่พอนึกถึงแม่สาวน้อยเ้าเล่ห์ที่อยู่ข้างๆ จึงเปลี่ยนคำพูดแล้วเรียก “ท่านลุง!”
หลิวต้าฟู่ตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ พอซูจื่อเยี่ยเรียกเช่นนี้ ทำเอาเขานั่งไม่ติด เขารีบลุกขึ้น แล้วล้วงเอาปล้องยาสูบที่ถูกเช็ดถูจนเป็ประกายหิมะยื่นไปทางซูจื่อเยี่ย เพียงแต่ต้องหดกลับมา ใช้แขนเสื้อเช็ดตรงปลายที่สูบ
“ข้าไม่สูบบุหรี่” ซูจื่อเยี่ยเห็นหลิวต้าฟู่สูบยาสูบนี่อยู่บ่อยครั้ง คิดอยู่ว่าบนนั้นมีแต่น้ำลาย เขาก็รู้สึกสกปรก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ชอบอะไรเทือกนี้
“คุณ คุณชายน้อย นั่งเร็ว” หลิวต้าฟู่ใช้เสื้อของตนเช็ดเก้าอี้ที่เคยนั่งก่อนหน้านี้
ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวปนขาวปักด้วยลายดอกท้อที่สะอาดยื่นมา น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้น “ท่านพ่อ ปล่อยให้เป็หน้าที่”
หลิวฉีซื่อเดินตามหลังมา ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้
“หลันเอ๋อร์ รีบไปเชิญคุณชายน้อยนั่งลง”
หลิวเต้าเซียงมองดูทั้งสองคนแสดงอย่างพูดไม่ออก ไม่สิ แกล้งตายมากกว่า
ซูจื่อเยี่ยยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากรอหลิวเสี่ยวหลันเช็ดเก้าอี้ให้ เขาถึงได้นั่งลงอย่างมีมาดอาชาฟาดฟัน
“คุณ คุณชายน้อยมีอะไรรับสั่งหรือ?” หลิวต้าฟู่นั้นทำไร่ทำนามาทั้งชีวิต เมื่ออยู่ร่วมบรรยากาศกับซูจื่อเยี่ย จึงรู้สึกขาอ่อนและหวาดหวั่น
“อืม!” ซูจื่อเยี่ยมองต่ำพร้อมกับไตร่ตรอง กระทั่งเปลือกตายังขี้คร้านกระดิก
เขากังวลว่าจะพูดอย่างไรดีเกี่ยวกับการจากไป
เขาไม่ได้สนใจคนอื่นๆ เพียงแต่รู้สึกขอโทษแม่สาวน้อยหลิวเต้าเซียง บอกไว้ว่าจะช่วยนางขจัดอุปสรรค แต่ได้รับข่าวเร่งด่วนจากทางเมืองหลวง ทำให้เขาจำต้องตัดสินใจเดินทางเช้าวันรุ่งขึ้น
นี่เป็ระยะเวลาที่เขาสามารถยืดเยื้อได้นานที่สุดแล้ว
“คุณชายน้อย?” เมื่อหลิวฉีซื่อเห็นว่าเขาเงียบ จึงคาดเดาไม่ถูก
ซูจื่อเยี่ยมองไปรอบๆ สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของหลิวเต้าเซียงอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยกำลังคิดอะไรอยู่
“เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวจะมารับข้า”
“หา คุณชายน้อย จะจากไปแล้วหรือ?” หลิวเสี่ยวหลันที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สุดคิดว่านี่คือฝันไป ขณะนี้ใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทา เหมือนไม่เชื่อเื่นี้
และทำราวกับว่าซูจื่อเยี่ยกับนางมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งอย่างไรอย่างนั้น
-----
