หลังจากหลีกู่ถูกบีบให้ต้องถอยออกไปจนประชิดขอบเวทีประลองแล้ว ทันใดนั้นกลางฝ่ามือของมู่เฟิงก็พลันปรากฏพลังปราณสีขาวหลายสิบสายที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังของสายฟ้า และกำลังก่อตัวขึ้นเป็รูปร่างของกระบี่สีขาวที่มีสายฟ้าสีม่วงโอบล้อมอยู่รอบๆ
‘ร้อยกระบี่หวนคืน!’
มู่เฟิงแผดเสียงคำรามในใจ และเพียงเขาโบกมือ กระบี่สีขาวเล่มนั้นก็กลายเป็ลำแสงกระบี่พุ่งทะลวงไปทางหลีกู่อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางเปลวเพลิง สีหน้าของหลีกู่พลันเปลี่ยนไปทันที เขารีบดึงดาบสีทองออกมาจากด้านหลังและสกัดลำแสงกระบี่นี้เอาไว้
เคร้ง!
กระบี่ลายเส้นพุ่งกระแทกเข้ากับดาบสีทองของอีกฝ่ายทันที ฉับพลันนั้นพลังกระบี่ก็พลันะเิออกมา บีบให้หลีกู่ต้องถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบอยู่กลางอากาศ ส่วนร่างของเขาก็แทบจะร่วงลงจากเวทีประลองแล้ว
“ล่วงเกินศิษย์พี่แล้ว”
มู่เฟิงชะงักมือไปชั่วขณะ แผ่นยันต์กระบี่หิรัณย์จำนวนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา เมื่อเขาขว้างมันออกไป พวกมันก็กลายเป็ลำแสงกระบี่สีทองพุ่งเข้าหาหลีกู่อย่างรวดเร็วทันที
สีหน้าของหลีกู่เปลี่ยนเป็เคร่งเครียด สุดท้ายเขาก็ยอมขยับร่างกาย ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยลงจากเวทีประลองเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีเหล่านี้
ผู้ชมด้านล่างต่างก็ตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น
ชะ ชนะแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เหตุใดเ้าเด็กนั่นถึงมีแผ่นยันต์มากมายขนาดนั้นกัน?” หลายคนต่างก็รู้สึกใกับเื่นี้
การต่อสู้ครั้งนี้มู่เฟิงใช้กลอุบายที่ชาญฉลาดเป็อย่างยิ่ง สำหรับการต่อสู้ระยะใกล้เขาใช้แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ออกมาโจมตี บีบให้หลีกู่ต้องถอยออกไปจนประชิดถึงขอบเวทีประลอง และเมื่ออยู่ในระยะไกลเขาก็ใช้แผ่นยันต์กระบี่หิรัณย์ออกมาอีกครั้ง ทำให้หลีกู่ต้องลงจากเวทีในที่สุด จนเด็กหนุ่มสามารถคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ
โดยปกติแล้วผู้ที่จะสามารถแผ่นยันต์จำนวนมากเช่นนี้ได้จะมีเพียงนักสลักลายเส้นเครื่องรางเท่านั้น เพราะมีการซื้อขายกันค่อนข้างน้อย เนื่องจากแผ่นยันต์เป็สิ่งที่มีมูลค่าสูงมาก
สีหน้าของหลีกู่ในเวลานี้ดูไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้เขายังไม่ทันได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาเลย
ซือถูคงและคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วมุ่น เพราะการต่อสู้ครั้งนี้มู่เฟิงไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงในการเอาชนะ แต่ในเมื่อหลีกู่ออกจากเวทีแล้ว นั่นก็ถือว่าเขาพ่ายแพ้
“ข้าแพ้แล้ว”
หลีกู่ตวาดออกมาอย่างเ็า ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป ในขณะที่มู่เฟิงทำเพียงแค่ประสานหมัดคำนับอีกฝ่ายเท่านั้น
จากนั้นมู่เฟิงก็เหลือบมองไปทางข่งย่วน ซึ่งเป็หัวหน้าของภารกิจในครั้งนี้
“มู่เฟิง ในเมื่อเ้าสามารถเอาชนะหลี่กู่ได้ เช่นนั้นอันดับที่ยี่สิบก็ตกเป็ของเ้า”
ข่งย่วนพยักหน้าให้กับมู่เฟิง
“ขอบคุณศิษย์พี่ข่งย่วน”
มู่เฟิงพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป
“มู่เฟิง!”
ทันใดนั้นข่งเซวียนเอ๋อร์ก็ะโเรียกเขา มู่เฟิงชะงักฝีเท้า เขาหันกลับไปมองข่งเซวียนเอ๋อร์ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มีเื่อันใด?”
ท่าทางของเขาดูเ็าและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ข่งเซวียนเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดกับท่าทีนี้ของเขา แต่นางยังคงฝืนใจกล่าวต่อไปว่า “วังโบราณจิ่วซานนั้นอันตรายมาก เ้า้าจะไปจริงๆ หรือ?”
“ข้า้าช่วยสหายของข้า ต่อให้เป็ูเาดาบหรือทะเลเพลิงข้าก็จะบุกฝ่าไปให้ได้”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า แต่น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
“กล่าวได้ดี ถึงเวลานั้นเ้าก็อย่าได้ทำตัวเป็ตัวถ่วงของกลุ่มเชียว”
ซือถูคงกล่าวอย่างเฉยเมย
มู่เฟิงขมวดคิ้ว เขาหันหลังและจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
“วันพรุ่งอย่าลืมมารวมตัวกันที่นี่ด้วยเล่า”
ข่งย่วนกำชับ
หลังจากมู่เฟิงเดินออกมาจากฝูงชน เสียงครางก็ดังออกมาจากลำคอของเขา เวลานี้พลังสายฟ้ากำลังสะท้อนกลับมา ทำให้มุมปากของเขามีเืไหลออกมาอีกครั้ง
“วันนี้เ้าใช้อัสนีบาตรย่ำแปดทิศออกมาถึงสองครั้งแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องออกไปทำภารกิจอีก ดังนั้นเ้าจำเป็ต้องรีบรักษาอาการาเ็ให้ดี เพื่อให้มีสภาพที่พร้อมที่สุดในการเผชิญหน้ากับวันต่อไป”
เสียงตำหนิที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของซีเยว่ดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
มู่เฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนจะพยักหน้า เขาทราบดีว่าสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ยังไม่สู้ดีนัก
หลังกลับมาถึงเรือนพักมู่เฟิงก็ตรงเข้าไปยังห้องฝึกฝนทันที เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มฟื้นฟูอาการาเ็ของตัวเอง ระหว่างนั้นหยกเทพชูร่าก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม สายพลังโลหิตกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เฟิง
มู่เฟิงโคจรพลังตามเคล็ดวิชาชูร่าแห่งา เขาดูดซับพลังเืเข้าไปหล่อเลี้ยงปอดและเส้นลมปราณที่ได้รับาเ็จากการโจมตีของหนานหลิง
ด้วยการหล่อเลี้ยงของพลังเื ทำให้อาการาเ็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพลังการรักษาของเคล็ดวิชาชูร่าแห่งานั้นย่อมทรงพลังเป็อย่างยิ่ง หากเป็คนทั่วไปเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันหรืออาจจะถึงครึ่งเดือนจึงจะสามารถฟื้นตัวกลับคืนมาได้ แต่สำหรับมู่เฟิง เขาใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น
เช้าของวันต่อมา แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างและตกกระทบเข้ามาภายในห้อง เพียงไม่นานมู่เฟิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ลืมตาขึ้น หลังจากทำการฟื้นฟูมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดร่างกายของเขาก็กลับมาเป็ปกติโดยไม่มีผลกระทบใดหลงเหลืออยู่แล้ว
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้นยืน เขายืดตัวไปมาพร้อมกับมีเสียงลั่นของข้อต่อดังขึ้น ถึงเวลาที่เขาต้องไปรวมตัวกับข่งย่วนและคนอื่นๆ ที่ลานประลองแล้ว
เมื่อเปิดประตูออกไป มู่เฟิงก็พบว่ามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตู คนผู้นี้มีความสูงเกือบสองเมตรและไว้ผมเกรียน เขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็มู่ขวงนั่นเอง
“มู่ขวง!”
มู่เฟิงประหลาดใจเล็กน้อย
“พี่เฟิง เป็ข้าที่ผิดเองขอรับ”
มู่ขวงก้มหัวลง ขณะที่พูดดวงตาของเด็กหนุ่มก็แดงก่ำไปด้วย
เขาเพิ่งมารู้ในภายหลังว่ามู่เฟิงบุกไปยังเขตของศิษย์สายในเพื่อล้างแค้นให้กับไป๋จื่อเยว่ นอกจากนี้มู่เฟิงยังประกาศท้าสู้เป็ตายกับหนานหลิงในอีกหนึ่งปีให้หลังอีด้วย และในวันนี้อีกฝ่ายยังต้องเดินทางไปที่วังโบราณจิ่วซานที่เต็มไปด้วยอันตรายเพื่อตามหายาสมุนไพรมารักษาอาการของไป๋จื่อเยว่ มันช่างน่าขันนักที่ตัวเขากลับไม่เคยเข้าใจถึงความลำบากของพี่เฟิงเลย
“ฮ่าๆ เ้าทำผิดอันใดกัน หากตอนนั้นเ้าไม่โกรธเกรงว่าเ้าคงไม่ใช่มู่ขวงที่ข้ารู้จักแล้ว ไม่เป็ไร พี่เฟิงไม่ได้เก็บเื่นี้มาใส่ใจ”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาพลางตบลงบนบ่าของมู่ขวง
“พี่เฟิง”
ดวงตาของมู่ขวงแดงก่ำ เขาเข้าไปสวมกอดมู่เฟิงเอาไว้แน่น
“ฮ่าๆ พอได้แล้วข้าขนลุก ระหว่างรอข้ากลับมาพร้อมตัวยา เ้าต้องดูแลจื่อเยว่ให้ดีด้วยเล่า”
มู่เฟิงตบลงบนไหล่ของมู่ขวง จากนั้นเขาก็ล่ำลาอีกฝ่าย ก่อนจะเดินตรงไปยังลานประลองเพื่อรวมกลุ่มข่งย่วนและคนอื่น ๆ
ภายในลานประลองเวลานี้มีอินทรีดำหลังค่อมตัวหนึ่งกำลังรออย่างเตรียมพร้อม ข่งเซวียนเอ๋อร์ ข่งย่วน รวมถึงบัณฑิตอีกสิบคนได้มาถึงก่อนแล้ว พวกเขากำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาเพื่อฝึกฝนอยู่บนตัวของอินทรีดำหลังค่อม
ในบรรดาคนเหล่านี้ นอกจากซือถูคงและข่งย่วนแล้ว ยังมียอดฝีมือในตำแหน่งสิบอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอีกสองคน
คนหนึ่งสวมใส่ชุดคลุมสีคราม ใบหน้าเล็กใสกระจ่าง ผิวขาวเนียนละเอียด นางรวบผมเป็หางม้าโดยปล่อยให้ผมห้อยลงมาอย่างเป็ธรรมชาติ จากรูปลักษณ์ของนางแล้วน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบปี นอกจากนี้บริเวณเหนือเข่ายังมีฝักกระบี่ยาวสีเขียวเล่มหนึ่งห้อยอยู่ด้วย
คนผู้นี้คือหยางฉาน ยอดฝีมืออันดับสี่ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น!
ส่วนอีกคนมีผิวคล้ำ ร่างกายกำยำดูแข็งแรง คนผู้นี้คือยอดฝีมืออันดับห้าของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น นามว่าโจวเหวินเฉวียน!
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว คนอื่นที่เหลือล้วนเป็บัณฑิตสายในกันทั้งนั้น แน่นอนว่ามีเพียงข่งเซียนเอ๋อร์ที่เป็ข้อยกเว้น วรยุทธ์ของนางยังอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า การที่นางมีสิทธิ์เข้าร่วมภารกิจคาดว่าคงเป็เพราะนางเป็น้องสาวของข่งย่วน
มู่เฟิงดีดฝ่าเท้าทะยานร่างขึ้นไปบนหลังของอินทรีดำ เขาพยักหน้าให้ข่งย่วนเพื่อเป็การทักทาย จากนั้นเขาก็นั่งลงใกล้กับบริเวณหางของอินทรี ก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำการบ่มเพาะพลังบ้าง
โจวเหวินเฉวียนเหลือบมองมู่เฟิงก่อนจะขมวดคิ้ว “บัณฑิตใหม่?”
“เขาคือมู่เฟิง มาเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ด้วย”
ข่งย่วนกล่าวว่า
“บัณฑิตใหม่ผู้หนึ่ง้าจะไปวังโบราณจิ่วซานด้วย คงไม่ได้มาเป็ตัวถ่วงให้พวกเราต้องเหนื่อยเพิ่มหรอกนะ”
โจวเหวินเฉวียนกล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
“แม้ว่าเขาจะเป็เพียงบัณฑิตใหม่ แต่เขาสามารถเอาชนะหลีกู่ในการคัดเลือกเมื่อวานนี้มาได้ เขาคว้าสิทธิ์นั้นมาด้วยตัวเอง”
ข่งย่วนอธิบาย
“อืม แบบนั้นค่อยน่าสนใจหน่อย”
ทันใดนั้นโจวเหวินเฉวียนก็กล่าวขึ้นอย่างติดตลกว่า “เ้าหนุ่ม เมื่อไปถึงวังโบราณจิ่วซานเ้าอย่าได้มาเป็ตัวถ่วงของพวกเราเด็ดขาด หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาไม่มีใครช่วยอะไรเ้าได้หรอกนะ”
มู่เฟิงลืมตาขึ้นพลางชำเลืองมองโจวเหวินเฉวียน ก่อนจะตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า “ความเป็ความตายล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา ศิษย์พี่ไม่จำเป็ต้องกังวล"
“หึๆ ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ"
โจวเหวินเฉวียนยิ้มเยาะโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามผู้มีฝักกระบี่สีดำบนหลังพลันเดินเข้ามาอย่างใจเย็น เมื่อห่างจากอินทรีดำในรัศมีหลายสิบเมตร เขาก็ดีดฝ่าเท้าะโขึ้นไปกลางอากาศและอ้าแขนราวกับนกั์บินร่อนลงมาบนหลังอินทรีดำ แน่นอนว่าการะโในระยะหลายสิบเมตรเช่นนี้เป็ทักษะการเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งมาก
การปรากฏตัวของคนผู้นี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่บนหลังอินทรีดำหลังค่อมมีท่าทีหวั่นเกรงขึ้นมาทันที และบางคนยังมีความเคารพยำเกรงอยู่ด้วย
เขาคือเว่ยอี้อวิ๋น ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น!