เมื่อชาติก่อน ฉินซีไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ในชาตินี้เขาจึงได้รู้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของแฟนคลับ มีคนขุดค้นข้อมูลของเขาจากรูปแผ่นหลังของเขาและจงซิงอู๋ และตอนนี้ภายในเวยป๋อก็เขาก็ไม่ได้เต็มไปด้วยคอมเม้นท์เชยชม ลุ่มหลง เลียจอ กรีดร้องอะไรแบบนั้นอีกต่อไป มันกลายเป็คำเย้ยหยันโจมตีเขาไปแทน
“คนหน้าใหม่ในวงการบันเทิงเหรอ? นี่คือเตรียมจะไต่ระดับ?”
“เหอๆ ความคิดดีจริงๆ เลย ฝันจะเกาะเทพเ้าจงดังเหรอ? คนอย่างเทพเ้าจงคู่ควรกับนายเหรอ นี่มันทำร้ายดวงตากันเกินไปแล้ว...”
“้าอย่าพูดอะไรมั่วซั่วนะ อย่างน้อยฉินซีก็หน้าตาดีเลยนะ!”
“แปะๆๆๆ ยินดีด้วย วงการบันเทิงมีดอกไม้ตั้งโชว์มาเพิ่มอีกแล้ว...”
"พวกคุณเป็กลางกันหน่อยได้ไหม เ้าของเวยป๋อนี้หน้าตาดีมาก นิสัยก็ดี ได้ยินว่าทักษะการแสดงก็ไม่เลวเลย ถ้าเขาจะคบกันแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วย?”
ฉินซีเลื่อนผ่านไปหลายคอมเม้นท์ หลังจากนั้นก็เห็นว่าแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ ที่ช่วยพูดปกป้องเขาถูกแฟนคลับของจงซิงอู๋ที่มีกำลังในการต่อสู้มากกว่ากลืนกินไปจนหมด เมื่อความแตกต่างระหว่างตัวเองและคู่กรณีมีมากเกินไป แฟนคลับของฉินซีที่ไม่ได้มีเยอะมาั้แ่แรกจึงถูกกลืนหาย และยังไม่ได้พูดถึงบางส่วนที่เป็แฟนคลับของจงซิงอู๋มาทำให้แฟนคลับของฉินซีเกลียดเขาอีก ความจริงฉินซีไม่ค่อยเข้าใจเลยว่า ทำไมรูปภาพแค่รูปเดียวถึงสามารถทำให้จากชอบกลายเป็เกลียดได้? แล้วหลังจากนี้จงซิงอู๋มีความรักขึ้นมาจริงๆ แฟนของเขาจะไม่จมน้ำลายของแฟนคลับตายั้แ่ออกมานอกประตูบ้านเลยเหรอ?
ฉินซีปิดเวยป๋อไปอย่างไร้คำจะพูด ถ้าตาไม่เห็นใจก็ไม่วุ่นวาย ใครใช้ให้เขาเป็แค่พวกมือใหม่ตัวน้อยๆ ที่ไม่มีทั้งอิทธิพลและแฟนคลับกันล่ะ?
อย่างไรก็อารมณ์ไม่ดี ฉินซีจึงไม่อยากจะอยู่บ้านอ่านบทต่อ เขาเก็บของให้เรียบร้อย เตรียมตัวไปซื้อพวกของทานเล่นและผลไม้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หลังจากนั้นก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านไปสักพัก ดูเหมือนว่าข่าวจะเพิ่งออกมาไม่นาน เหล่าปาปารัสซี่ยังหาที่อยู่ของเขาไม่เจอ แต่วหลังจากนี้อีกสักสองวันก็ไม่แน่แล้ว เขาควรตุนเสบียงไว้จะดีกว่า
ฉินซีออกไปมองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีแสงแฟลชใดๆ ก็เดินข้ามถนนไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ฝั่งตรงข้ามอย่างเปิดเผย ฉินซีชอบทานของว่างเข้าขั้นบ้าคลั่ง โดยเฉพาะผลไม้และมันฝรั่งทอด อย่างไรเขาก็ไม่อ้วนอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เมื่อชาติก่อนตอนไปถ่ายละคร ครั้งหนึ่งเคยมีผู้กำกับบอกว่า ถ้าเขาเข้าไปอยู่ในโทรทัศน์แล้ว จะต้องดูอ้วนแน่ๆ ก็เลยให้เขาฝืนลดน้ำหนักไปเกือบ 8 กิโลกรัม กล้ามเนื้อที่อุตส่าห์สร้างมาอย่างยากลำบากหายไปจนหมด ตัวเขาดูผอมแห้งซีดเซียว ถ้าเกิดว่าไม่แต่งหน้า ฉินซีก็คิดว่าตัวเองคงต้องไปเล่นเป็ผีดูดเืที่หลบอยู่ตามมุมในยามค่ำคืนแน่
พอเขาเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็หยิบมันฝรั่งทอดมาไม่น้อย จากนั้นก็ไปเลือกผลไม้ อย่างเช่น องุ่น ทุเรียน มะม่วง...
ในระหว่างที่ฉินซีกำลังเลือกของกินอยู่นั้น เฉินเจวี๋ยก็โทรมาอีกครั้ง “ว่างหรือเปล่า? ฉันจะไปหา”
ฉินซีได้รับความรักใคร่เอ็นดูจนใ ตอนที่เฉินเจวี๋ยโทรมาเมื่อวันก่อน น้ำเสียงของเขาไม่เป็มิตรนัก ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ทางฝั่งเฉินเจวี๋ยก็รีบร้อนตัดสายไป เขาคิดว่าเฉินเจวี๋ยโกรธเขาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะโทรมาหาเร็วขนาดนี้ แถมยังจะเป็ฝ่ายมาหาเขาเองอีกด้วย?
“เอ๋ ผมซื้อของอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะครับ”
“ซูเปอร์มาร์เก็ตไหน?” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยแม้จะราบเรียบแต่ก็เฉียบขาด ช่างต่างจากตัวเขาในยามปกติที่มักทำตัวเอื่อยเฉื่อยในชุดเสื้อผ้าสบายๆ ความจริงแล้วเฉินเจวี๋ยที่เป็แบบนี้ต่างหาก ถึงจะเป็ตัวจริงของเขา
“อืม… ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงข้ามหอพักของผมน่ะครับ… อืม ข้ามถนนมาก็ถึงแล้วครับ… อืม ที่ป้ายใหญ่ๆ น่ะครับ...” เมื่อความคิดของฉินซีตบตีกันในสมอง เขาก็ถึงกับลืมชื่อซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ และอธิบายออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ
“ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับไปไหน” เฉินเจวี๋ยวางสายไปอย่างรวดเร็ว
ฉินซีกะพริบตาปริบๆ หืม? ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ? ล้อกันเล่นหรือไง!
ฉินซีเข็นรถเข็นไปข้างหน้า พลางกวาดของกินที่ตัวเอง้าลงมา
ไม่รู้ว่าเพราะรถติดหรืออะไร แม้ฉินซีจะได้ของที่้ามาครบแล้ว เฉินเจวี๋ยก็ยังมาไม่ถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ฉินซีจึงจ่ายเงินค่าของ ก่อนจะถือถุงของกินถุงใหญ่ 2 ถุงเดินออกมา รอจนออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วเดินผ่านลานจอดรถไป อยู่ๆ ฉินซีก็ถูกกลุ่มคนที่อัดแน่นเข้ามาทำเอาใยกใหญ่
“คุณคือฉินซีใช่ไหม? คุณคือคนที่มีข่าวฉาวกับเทพเ้าจงหรือเปล่า?”
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นักข่าวจากซุบซิบข่าวบันเทิง ขอสัมภาษณ์คุณหน่อยได้ไหมคะ?”
“ขออนุญาตถามถึงความสัมพันธ์ของคุณกับเทพเ้าจงหน่อยค่ะ พวกคุณสองคนเป็อะไรกันคะ? กำลังคบหากันอยู่หรือเปล่า? จงซิงอู๋เป็เกย์เหรอคะ? คุณเองก็เป็เกย์ใช่หรือเปล่า?”
ในตอนนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวายต่างก็ดังขึ้นข้างหู มันหนวกหูจนทำให้รำคาญใจเป็อย่างมาก ฉินซีค่อยๆ ถอยหลังกลับมา มือทั้งสองต่างก็กำลังถือของไว้ เขาจึงไร้หนทางจะแหวกฝูงชน เหล่าลูกค้าที่ตามมาด้านหลังถูกกักไว้ บางคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเริ่มะโด่าทอ และยังมีแฟนคลับของจงซิงอู๋และพวกปาปารัสซี่ที่ขยับตัวเข้ามาใกล้ บ้างก็โมโหด่าทอ “ฉินซีไปตายซะ” ออกมา ฉินซีโมโหจนบนหัวเต็มไปด้วยควันไฟ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ยังดังขึ้นในเวลานี้อีก มันสั่นไหวอยู่ติดกับต้นขาของเขาไม่หยุด เขาไม่มีมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิ้วของเขาขมวดแน่น ความโมโหที่ยับยั้งอยู่ในใจเริ่มจะถึงขีดสุด
เขารู้ว่า ถ้าอยากจะให้เส้นทางดาราของตัวเองหลังจากนี้กว้างใหญ่ออกไปอีก ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้ เพราะเขาคือบุคคลสาธารณะบ้าๆ นั่น! แค่เขาทำอะไรตามใจ หรือพูดอะไรออกไปแม้แต่ประโยคเดียว นั่นก็สามารถเป็ประเด็นให้คนป้ายสีใส่ไฟได้ ถ้าเขากล้าลงมือ บางทีพรุ่งนี้สิ่งที่รออยู่อาจเป็การรุมประชาทัณฑ์อย่างบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่านี้ก็ได้
และในตอนนั้นเอง ขวดน้ำแร่ขวดหนึ่งก็ถูกปาเข้ามาโดนหัวของฉินซี ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเกือบจะะเิโมโหออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
จำนวนคนที่ล้อมอยู่มีมากเกินไป ทั้งยังเสียงดังโวยวาย ฉินซีได้ยินคนะโเสียงดังขึ้นว่า “คนหน้าใหม่อย่างนาย รีบๆ ไสหัวออกจากวงการบันเทิงไปเถอะ!”
ฉินซีรู้ดีว่าไอดอลทุกคนจะมีแฟนคลับที่เป็ประเภทขี้หวง อารมณ์ร้อน และมักจะสร้างชื่อเสียให้กับไอดอลของตัวเอง แฟนคลับพวกนี้รับมือได้ยาก ส่วนมากต่างก็หุนหันพลันแล่น เสียสติได้ง่าย แต่ส่วนมากคนพวกนี้ก็เป็เหล่าเด็กหญิงเด็กชายอายุน้อย ฉินซีจึงไม่สามารถใส่อารมณ์กับพวกเขาได้
“ฉินซี ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? หรือว่ารู้สึกผิดเหรอ?” เริ่มมีปาปารัสซี่ที่ได้คืบจะเอาศอกขยับเข้ามา และยื่นไมค์เครื่องอัดเสียงเข้าไปใต้คางของเขา
ฉินซีโยนทุเรียนในมือออกไปอย่างอารมณ์เสีย ทุเรียนที่กลายเป็อาวุธทั้งใหญ่และหนัก ตอนที่ปาออกไป ปาปารัสซี่ก็ส่งเสียงร้องโอดโอย หลังจากนั้นก็ะโถอยหลังไป ความจริงตอนแรกฉินซีเพียง้าทำให้มือว่างเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะปาไปโดนเท้าของอีกฝ่ายพอดี และน้ำเสียงร้องโอดครวญนี้ก็เป็ดั่งกุญแจไขประตูใหญ่ของวิชามาร น้ำเสียงด่าทอไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ
“ทำร้ายคนแล้ว! ทำร้ายคนแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครเป็คนะโขึ้นมาก่อน
แต่คนอื่นที่อยู่ไกลๆ ก็เริ่มร้องะโคึกคักขึ้นมาแม้ไม่รู้อะไร “ทำร้ายคนแล้ว!”
มันวุ่นวายจนดูราวกับสถานการณ์รุนแรงไม่มีผิด...
ในนาทีนั้น ฉินซีรู้สึกได้ถึงเืลมที่เดือนพล่าน ความโมโหพุ่งสุมอก แต่เขาต้องอดทนไว้ ต้องทนให้ได้ เขาบีบนิ้วมือของตัวเองแน่น ตอนนี้ในที่สุดโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็หยุดสั่น มีคนได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามา
เด็กสาวที่อยู่ด้านนอกสุดะโขึ้น “ไอ้หยา รีบหลีกทางเร็ว มีคนขับรถมาทางนี้!”
น้ำเสียงกรีดร้องนั้นทำลายวงล้อมได้ในที่สุด ไม่มีใครไม่กลัวตาย พวกเขาต่างก็พากันถอยออกไปด้วยความสับสน คนนี้เบียดฉัน ฉันก็ผลักคนนี้ สถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่มาก ฉินซีถูกเบียดจนโซเซ ถุงใส่ของในมือร่วงหล่นลงไปที่พื้น ของภายในกระจัดกระจาย ฉินซีโมโหจนจมูกแทบจะเบี้ยว! โถ่เอ๊ย! มันฝรั่งทอดของฉัน! ผลไม้ของฉัน!
กลุ่มคนกระจายตัวออกไปเกือบหมด ฉินซีเองก็เห็นรถลุยป่าขับเข้ามาจากบริเวณที่ไม่ไกลนัก มันขับพุ่งมาทางเขา ในวินาทีนั้นฉินซีก็กลายเป็ร้อนรน แม้แข้งขาจะอ่อนยวบ ทว่าก็ยังฝืนวิ่งไปทางด้านข้างด้วยความกังวล รถคนนั้นเร่งเครื่องเข้ามา ไม่นานก็มาถึงข้างกาย ฉินซีถูกทำให้ใจนขนลุกขนชันไปหมด แต่ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ประตูรถก็เปิดออก มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านใน คว้าเอวของฉินซีรั้งตัวเขาขึ้นไป้า ฉินซีนิ่งไปในชั่ววินาที รอจนเขาได้สติกลับมา ก็เข้าไปอยู่ด้านในรถแล้ว ประตูรถปิดลงเสียงดัง “ปัง” จากนั้นรถลุยป่าก็เลี้ยวตวัดด้วยความเท่ และขับออกไปอย่างว่องไว
เหล่าปาปารัสซี่และแฟนคลับประสาทกลับที่ถูกทำเอามึนงงต่างก็พุ่งเข้ามาอยากจะรั้งตัวรถไว้ แต่เพราะเป็รถลุยป่าสูงใหญ่ ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวในใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกเหยียบลงไปใต้ล้อนั่น ดังนั้นในระหว่างที่กำลังลังเล รถคันนั้นก็ขับออกไปไกลแล้ว
และในตอนนั้น ฉินซีที่อยู่บนรถก็ถอนหายใจ มือข้างนั้นยังคงรั้งอยู่ที่เอวของเขา ฉินซีผลักมือนั้นออกด้วยความใ ก่อนจะหดตัวถอยหลัง รอจนเขากระทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็เพิ่งเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคือเฉินเจวี๋ย!
“ขอบคุณครับ...” ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเริ่มรู้แล้วว่าทำไมอยู่ๆ เฉินเจวี๋ยถึงถามหาตัวเขา ดูท่าทางว่าจะเป็ห่วงกลัวว่าเขาจะถูกเบียดตายอยู่ในฝูงชน หรืออาจจะกลัวเขาจัดการคนที่ล้อมตัวเอาไว้จนราบเรียบภายใต้อารมณ์ที่ถูกกระตุ้น และสุดท้ายก็ถูกกักตัวอยู่ในสถานที่กักกัน ประโยคหลังของคำพูดค้างอยู่ที่ลำคอของฉินซี เขาเห็นว่าสีหน้าของเฉินเจวี๋ยมืดมนจนน่าใ ท่าทางแบบนี้ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
ฉินซีหดคอเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองตัวหดเล็กลงอย่างไร้เหตุผล บางทีอาจจะเป็ท่าทีของพวกคุณชายที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยอย่างแท้จริง ท่าทีที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
“ไม่ต้องกลับไปที่บ้านแล้ว ฉันจะพาไปส่งที่โรงแรม ที่บ้านมีอะไรสำคัญหรือเปล่า? ฉันจะให้บอดี้การ์ดไปเอามาให้”เฉินเจวี๋ยพูดอย่างเยือกเย็น
“อ่า… ที่ชาร์จแบต เสื้อผ้า… นอกนั้นก็ไม่มีแล้วครับ” ฉินซีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากพูดขึ้น
“ของพวกนี้ไปซื้อใหม่เอาได้ ไม่ต้องกลับไปเอาแล้ว” เฉินเจวี๋ยพูดขึ้นพร้อมกับสั่งให้คนขับเปลี่ยนเส้นทาง “เปลี่ยนเส้นทาง ไปโรงแรมฟู่หรง”
“ขอบคุณครับ” ฉินซีพยายามอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดมันออกมาได้
เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้วเข้าหากัน เขามักจะรู้สึกว่าท่าทางของฉินซีดูมีมารยาทมากเกินไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเื่เหล่านี้
“นายยังไม่ตัดสินใจเลือกบริษัทดูแลจัดการอีกเหรอ? ถ้าเกิดว่านายมีบริษัทดูแลที่ได้มาตรฐานแล้ว เื่ในวันนี้ก็คงจะถูกจัดการได้เรียบร้อยนานแล้ว และนายก็คงไม่ต้องมาเจอเื่วุ่นวายแบบนี้”
ในใจของฉินซีสั่นไหว หรือว่าที่เฉินเจวี๋ยพูดแบบนี้จะหมายความว่า จะเชิญชวนให้เขาไปอยู่บริษัทของตัวเองอยู่เหรอ?