ข่มเหงผู้อื่นเกินไปแล้ว
โจวอี๋ใช้ชีวิตมา 24 ปี วันนี้คือฝันร้ายอันสุดแสนสาหัส คือวันที่เธอมิอาจลืมเลือน!
อันที่จริงลูกหลานตระกูลโจวคนอื่นก็รู้สึกไม่ต่างจากโจวอี๋สักเท่าไร พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ และทำได้เพียงรับชมเทปบันทึกภาพที่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเต็มในการยกย่องสรรเสริญเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย บรรยายทางตรง สร้างความโดดเด่นทางอ้อม โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์เซี่ยเสี่ยวหลาน จนถึงการสัมภาษณ์อาจารย์ใหญ่อันชิ่งเซี่ยนอีจง อาจารย์ประจำชั้นของเธอ อาจารย์ประจำวิชาของเธอ เพื่อนร่วมชั้นของเธอ และยังมียามหน้าประตูโรงเรียนอีกด้วย... ถ้าสุนัขจรจัดที่ล้ำเข้าหน้ากล้องสามารถสนทนาภาษามนุษย์ได้ จะมีคำชมเชยเซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกันอย่างแน่นอน
คราวนี้ไม่จำเป็ต้องพูดอีกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานโจมตีกลับอย่างไร ทุกอย่างอยู่ในเทปสัมภาษณ์ ‘คุยกับอันดับหนึ่ง’
คนตระกูลโจวไม่ได้โดดเด่นด้านการเรียนนัก กระทั่งโจวเฉิงผู้มีหน้าที่การงานยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่นลูกหลาน ออกจากบ้านไปทำงานั้แ่อายุ 15 ก็มิอาจคาดหวังให้โจวเฉิงเรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 15 ปีได้ใช่หรือไม่?
ส่วนเฉิงิ่ที่ช่วยโจวอี๋ผู้เป็พี่สาวอย่างเสียไม่ได้เมื่อครู่ ปีนี้สาวน้อยคนนี้เพิ่งเรียนอยู่มัธยมปลายปีสอง ปีหน้าก็เป็การสอบเกาเข่าของเธอแล้ว
แม้เล่าเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายมาตรฐานสูงของปักกิ่ง แม้มหาวิทยาลัยหัวชิงตั้งเกณฑ์คะแนนรับเข้าเรียนของนักเรียนในปักกิ่งต่ำกว่าผู้สมัครจากต่างถิ่น เฉิงิ่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสอบเข้าหัวชิงหรือมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับเดียวกันได้ และเมื่อครู่เธอยังรนหาที่ตายโดยการไปใส่ใจชุดกระโปรงกับกระเป๋าของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วย เฉิงิ่สังหรณ์ใจว่าหลังกลับถึงบ้าน มารดาจะไม่ปล่อยให้เธอได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน เฉิงิ่คาดเดาบทสนทาคร่าวๆ ได้ด้วยซ้ำ : ลูกลองดูคนอื่น และลองดูตัวเองสิ คนอื่นเขาสนใจผลการเรียน ความสนใจของลูกกลับอยู่ที่เครื่องแต่งตัว ไม่แปลกใจที่ผลการเรียนไม่ก้าวหน้า... โอ้์ พี่โจวอี๋ทำเธอซวยแล้วจริงๆ !
สำหรับลูกสองคนของบ้านอาเขยเล็กกู้เจิ้งชิง กู้เจิ้งชิงเข้มงวดในด้านการเรียนต่อของพวกเขามาก ทั้งสองกำลังเรียนมัธยมต้น ตอนนี้ทั้งคู่ได้มองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยใบหน้าเทิดทูน
สุดยอดเลย!
รัศมีของนักเรียนดีเด่นแผ่ขยายกว้างขวางเหลือเกิน สร้างความเสียหายให้พวกเด็กี้เีเรียน และดึงดูดความเคารพจากเด็กเรียนจำแลงได้เป็อย่างดี—เด็กเรียนจำแลงอยู่ใน่เปลี่ยนผ่านระหว่างเด็กี้เีและเด็กเก่ง ตอนไม่เจอเด็กที่เชี่ยวชาญในการเรียนตัวจริง พวกเขาก็เป็นักเรียนชั้นเลิศในสายตาคุณครู เป็ลูกที่น่ารักในใจของพ่อแม่ ภายนอกดูละม้ายนักเรียนดีเด่น แน่นอนว่าพอปะทะกับนักเรียนดีเด่นตัวจริง เด็กเรียนจำแลงย่อมแหลกสลายเป็ผุยผง
ในที่สุด เทปบันทึกภาพม้วนนั้นฉายจบลง
ทว่าโจวอี๋ยังทนทุกข์ทรมานไม่จบไม่สิ้น เธอได้ยินคุณปู่ผู้เข้มงวดมาโดยตลอดของตนถามไถ่เกี่ยวกับแผนการศึกษาเล่าเรียนของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างจริงจัง อาทิเช่น เลือกคณะอะไร ตั้งใจทำงานอะไรหลังจบมหาวิทยาลัย
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าเธอเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของหัวชิง ยังไม่ได้คิดเื่ทำงาน เนื่องจากหลังเรียนจบระดับปริญญาตรีแล้ว อาจจะศึกษาต่อก็ได้
“อยากถือโอกาสเรียนรู้อะไรหลายอย่างตอนที่ยังอายุน้อยน่ะค่ะ”
กู้เจิ้งชิงอดแทรกไม่ได้ “คะแนนนี้น่ะ ยื่นเข้าคณะสถาปัตยกรรมมันน่าเสียดายนะ... แต่ก็ถูกต้องแล้วล่ะ อยากเรียนอะไร อันดับแรกต้องเป็ไปตามความ้าส่วนตัวของเธอเอง”
คนเขาอยากเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ จะทิ้งคะแนนสอบจำนวนมากไปกับตรงนั้นไม่ได้หรือไร
ไม่ว่าจะ้าประกอบอาชีพอะไร ล้วนควรค่าแก่การเคารพทั้งนั้น ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานอยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ตาม เมื่อบัณฑิตมหาวิทยาลัยหัวชิงจะกลับถิ่นฐาน อย่างน้อยต้องเป็ข้าราชการทางอากาศ [1] ระดับเขต ระดับชุมชนยังถือว่าน้อยเกินไป ไม่เหมาะกับหงส์ฟ้าทองคำอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานผู้นี้ เรียนสถาปัตยกรรมไม่ได้มีอะไรเสียหาย ดีกว่าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แบบโจวอี๋มากโขแล้ว พ่อเฒ่าโจวมองโจวอี๋ ความระอาฉายอยู่ดวงตาชัดเจนยิ่งนัก โจวอี๋รู้สึกว่าห้องรับแขกทั้งร้อนและน่าอึดอัดเหลือเกิน ปู่แท้ๆ ช่างโหดร้าย โลกทั้งใบช่างโหดร้าย เธอคงสลบเหมือดแน่หากอยู่ต่อไป!
มีเพียงย่าโจวที่เก็บความในใจไว้ จบการศึกษามหาวิทยาลัยสี่ปี โจวเฉิงอายุ 26 ปีพอดี และทั้งสองก็ถึง่วัยแห่งการก่อร่างสร้างตัวแล้ว
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานยัง้าศึกษาเล่าเรียนต่อ โจวเฉิงของเธอต้องรอจนอายุเท่าไรถึงจะได้มีภรรยาเล่า!
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าในบรรดาทุกคน ณ ตรงนี้ มีแค่ย่าโจวคนเดียวที่สงสารหลานชายคนโปรดของเธอที่สุด คนอื่นยังไม่ได้สติจากการถูกโจมตีโดยความยอดเยี่ยมของเซี่ยเสี่ยวหลาน สิ่งที่ออกมาจากปากของเซี่ยเสี่ยวหลานล้วนถูกต้อง ไม่หยุดเรียนรู้แม้แก่เฒ่า ใครเขาจะรังเกียจผู้มีการศึกษาสูงกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากพูดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนเองให้จบในคราวเดียวเช่นกัน เพราะตราบใดที่ยังไม่เลิกรากับโจวเฉิง ่เวลามหาวิทยาลัยสี่ปีของเธอยังต้องใช้ชีวิตอยู่ใกล้สายตาตระกูลโจว
เธอไม่้าถูกคนอื่นคาดเดาลับหลังว่าเธอเกาะโจวเฉิงเพื่อสูบเืสูบเนื้อหรือไม่ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอใช้จ่ายด้วยเงินของตนเอง
ปู่โจวถามถึงการวางแผนในอนาคตของเธอ เธอจึงเปิดเผยบางส่วนเสียเลย บอกว่าตนเองกำลังทำธุรกิจเล็กๆ อยู่ อนาคต้าทำสิ่งใด ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ปัจจุบันอาจยังพูดไม่ได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ก็สามารถเลี้ยงดูตัวของเธอเองได้อย่างไม่มีปัญหา
ตลอดทั้งคืนนี้ ในที่สุดโจวเฉิงก็มีโอกาสช่วยภรรยาชี้แจงจนได้
“เสี่ยวหลานทำธุรกิจของตัวเองด้วยครับ วันนี้รีบนั่งเครื่องบินจากหยางเฉิงมาโดยเฉพาะ ถ้าว่ากันตามตรง ทุกวันนี้เสี่ยวหลานยุ่งกว่าผมเสียอีก”
ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือ ภรรยาของผมยุ่งขนาดนี้ ผู้ใหญ่ทุกท่านอย่าเรียกเธอมาเตร็ดเตร่โดยใช่เหตุเลย เธอไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายสันหลังยาวเหมือนโจวอี๋ และเธอยังมีเื่สำคัญต้องทำนะ!
จอมมารคลั่งพิทักษ์ภรรยารายนี้ตามติดเซี่ยเสี่ยวหลานต้อยๆ ตลอดทั้งคืน ขอเพียงตาไม่บอด คนตระกูลโจวล้วนดูออกกันหมด โจวเฉิงชอบหญิงสาวคนนี้สุดหัวใจ ในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน โจวเฉิงคือฝ่ายที่ทุ่มเทความรู้สึกมากกว่า!
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก ก่อนพบกันเธอคิดว่าเด็กสาวบ้านนอกต่างถิ่นเป็ผู้วอแวโจวเฉิงไม่ปล่อย
ทว่าเมื่อเจอกันหน้าแล้วถึงพบว่าสาวชนบทไม่เหมือนที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง อีกอย่างเป็ลูกชายของเธอต่างหากที่เกาะคนเขาไม่ปล่อย!
ไม่เคยเจอผู้หญิงหรืออย่างไร?
โจวเฉิงลูกช่วยรักษาหน้าหน่อยได้หรือไม่!
โจวเฉิงััถึงความคิดขัดเคืองใจอันมาจากมารดาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ต่อให้กวนฮุ่ยเอ๋อถามเขา เขาก็จะตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ : ทำไมจะไม่รักษาหน้า? การพาสะใภ้ที่ทั้งสวยทั้งเก่งกลับมา นั่นเป็เื่ที่สร้างความภาคภูมิใจแก่ตระกูลโจวที่สุด!
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วและขออำลา เหล่าเด็กเรียนแย่กับเด็กเรียนจำแลงทุกคนของตระกูลโจวต่างพากันโล่งอกไปตามๆ กัน
โจวอี๋ไม่ต่างจากนั่งบนพรมมีเข็มอยู่หลายชั่วโมง ทั้งตัวราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำเมือกรสแห่งความขมขื่น เหนียวหนึบหนับจนอุดกระทั่งปากและจมูกของเธอไว้ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่กลับไป เธอคงขาดใจตายแล้ว!
กว่าจะรู้ตัว งานพบปะครั้งนี้ก็ดำเนินมาถึง 4 ทุ่ม
ทั้งที่มาเพื่อรับประทานอาหารร่วมกับบิดามารดาของโจวเฉิง กลับสนทนากับปู่ย่าของโจวเฉิงมากกว่า และยังมีอาเขยเล็กกู้เจิ้งชิงที่ปล่อยพลังในครึ่งหลังอย่างเต็มเปี่ยม
สิ่งที่ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานใก็คือ มารดาของโจวเฉิงผู้เฉยชาั้แ่ต้นจนจบ รักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลกับเซี่ยเสี่ยวหลาน พอถึงเวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานขอลา กลับเป็กวนฮุ่ยเอ๋อที่รั้งเธอให้อยู่ต่อด้วยตนเอง
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอพักที่บ้านเราก่อนดีไหม?”
เหล่าลูกหลานตระกูลโจวทั้งหลายมองเซี่ยเสี่ยวหลานตาวาว กวนฮุ่ยเอ๋อมีนิสัยจู้จี้จุกจิกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอกำลังเสนอให้คนอื่นพักที่บ้าน หายากเกินไปแล้ว!
นี่แปลว่ายอมรับเซี่ยเสี่ยวหลาน!
แม้จะไม่ยอมรับ แต่ก็ค่อนข้างชอบสินะ ในสองผู้เฒ่าตระกูลโจว คนหนึ่งชื่นชมเซี่ยเสี่ยวหลาน อีกคนหนึ่งโปรดเซี่ยเสี่ยวหลาน
ตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานเองยังตกตะลึงเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะคุณน้า แต่ฉันเปิดห้องที่บ้านพักไว้เรียบร้อยแล้ว ของใช้ส่วนตัวก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉันกลับไปพักที่บ้านพักดีกว่าค่ะ”
มีใครคนไหนค้างแรมในบ้านแฟนหนุ่มั้แ่ครั้งแรกที่เข้าบ้านบ้าง กวนฮุ่ยเอ๋อทำไปเพราะมารยาท เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร คนตระกูลโจวมาส่งหน้าประตูอย่างเป็มิตร เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ หอบของขวัญพบปะต่างๆ ที่คนตระกูลโจวมอบให้ไว้ในอ้อมอกพลางยิ้มให้โจวเฉิง
“ครอบครัวเธออัธยาศัยดีนะ”
โจวเฉิงมองภรรยาของเขาอย่างภูมิใจ แน่นอนว่าคนในครอบครัวเขาไม่ได้สานสัมพันธ์ยาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามาตรฐานของพวกเขามีไม่สูง มีเพียงภรรยาของเขาเท่านั้นที่ใครเห็นใครก็รัก!
เชิงอรรถ
[1]空降 ทางอากาศ ปกติมีความหมายว่า มาจากไหนก็ไม่รู้ ข้าราชการทางอากาศหมายถึง ข้าราชผู้เข้ารับตำแหน่งงานโดยถูกส่งมาจากที่อื่น ไม่ได้ไต่เต้าจากในพื้นที่ทำงาน