“ค่ายกลเสือขาวนี่ทรงพลังมาก ข้าต้องจับคนคนหนึ่งก่อน แล้วค่อยทำลายทิ้งซะ”
เย่เฟิงคิดในใจ เขาไม่กล้าประมาทศัตรูแม้แต่นิดเดียว เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพียงคนเดียวเช่นนี้ เขาย่อมด้อยกว่าในด้านตบะอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายมีถึงเก้าคนและยังรวมพลังสร้างค่ายกลอีกด้วย ดังนั้นหากเขา้าเอาชนะก็จำต้องหาจุดอ่อนโดยเร็ว
จากนั้นเย่เฟิงสำแดงย่างก้าวดาวตกผีเสื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมแผนที่ดาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ก่อนจะเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่และลวดลายโคจรอยู่บนนั้น นี่ทำให้เย่เฟิงเคลื่อนไหวดุจแสงดาว ทุกย่างก้าวล้วนเชื่อมโยงกับฟ้าดิน ซึ่งตอนนี้อำนาจฟ้าดินของเย่เฟิงบรรลุขั้นกายา่ต้นแล้ว จึงมีพลังวิถีฟ้าดินที่ลึกซึ้งมาก
เมื่อไม่กี่วันวันก่อน เย่เฟิงเปิดร่างเจตจำนงสำเร็จ จึงทำให้ความตระหนักรู้ของเขาเพิ่มพูนขึ้น ศักยภาพทุกด้านก็ถูกยกระดับ ดังนั้นไม่ว่าความตระหนักรู้หรือพลังจิตของเย่เฟิงก็ล้วนเพิ่มพูนขึ้นเป็ระดับใหม่ แม้เผชิญหน้ากับพลังโจมตีค่ายกลเสือขาวที่สร้างขึ้นจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 เก้าคน แต่เย่เฟิงก็หลบหนีได้อย่างง่ายดาย
ค่ายกลเสือขาวะเิการโจมตีออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทุกการโจมตีล้วนทรงอานุภาพ สามารถคร่าชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดได้เลยทีเดียว แต่ในด้านพลังโจมตี เย่เฟิงยังถือว่าอ่อนด้อย กลับกันเย่เฟิงนั้นชนะในด้านสติปัญญาและความตระหนักรู้ เมื่อย่างก้าวดาวตกผีเสื้อที่น่ามหัศจรรย์ผสานกับความแกร่งกล้าของเย่เฟิง แม้แต่ค่ายกลเสือขาวก็ยากที่จะทำร้ายเขาในเวลาอันสั้นได้
“ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังโจมตีที่บ้าระห่ำ แต่ยังมีเคล็ดวิชาท่าร่างที่น่ามหัศจรรย์ เห็นทีตัวตนของเขาจะไม่เรียบง่ายเสียแล้ว ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่เขากล้าต่อต้านอู๋เจ๋อกับฉู่มู่เช่นนี้”
ผู้คนเห็นเย่เฟิงหลบหนีการโจมตีของค่ายกลเสือขาวได้อย่างง่ายดายต่างก็ตกตะลึง การโจมตีระดับนั้นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดก็ยังต้องรับมืออย่างจริงจัง แต่เย่เฟิงที่เพิ่งบรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 กลับรับมือการโจมตีนั่นได้อย่างง่ายดาย ช่างหาได้ยากยิ่ง
“วูบ!” ทันใดนั้นหอกัเงินประกายปรากฏในมือ พร้อมปลดปล่อยพลังหอกอันแกร่งกล้า จู่ ๆ รังสีหอกคล้ายรวมตัวที่กลางอากาศและเข้าปกคลุมร่างเย่เฟิง
“หอกดุจั!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ พลันรังสีหอกพุ่งออกไป ก่อนจะกลายเป็ลำแสงทำลายล้าง ซึ่งเป้าหมายก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 หนึ่งในค่ายกลเสือขาว
“ตูม!!!”
เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน คลื่นทำลายล้างแพร่กระจาย จากนั้นผู้คนเห็นรังสีหอกนั่นไปเยือนม่านป้องกันของค่ายกลเสือขาว พลันม่านป้องกันเกิดรอยร้าว ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตัวสั่นคลอน อวัยวะภายในได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องกระอักเื
“การโจมตีของชายผู้นี้บ้าบิ่นมาก ไม่นึกว่าม่านป้องกันของค่ายกลเสือขาวจะแตกเช่นนี้ ทรงพลังมากจริง ๆ ” ผู้คนต่างพากันตื่นใกับฉากอันน่าทึ่งนี้
“โฮก!”
เสือขาวแผดเสียงคำราม จากนั้นกรงเล็บที่น่าสะพรึงกลัวนั่นตะปบไปที่ร่างเย่เฟิง หากถึงตัวเย่เฟิง ร่างเย่เฟิงจะถูกฉีกกระชากได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยียบ เขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหนีกรงเล็บนั่น ขณะเดียวกันรังสีหอกที่น่าหวาดกลัว กระทั่งผสานด้วยอำนาจหอกขั้นกายา่ปลายก็พุ่งออกไปเช่นกัน พลังเช่นนั้นมิใช่ว่าจะต้านทานได้ง่าย ๆ
“นี่มัน...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตาเบิกกว้าง ด้วยตบะของพวกเขามิอาจมองออกว่าพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่ปลายเป็พลังแบบไหน
“ปัง!” เสียงะเิดังกึกก้อง รังสีหอกที่ผสานด้วยอำนาจหอกขั้นกายา่ปลายนั่นโจมตีค่ายกลเสือขาวเต็มกำลัง ส่งผลให้ม่านป้องกันของค่ายกลเสือขาวพังทลายลง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ที่อยู่ใกล้รังสีหอกที่สุดถูกรังสีหอกโจมตีจนกระดูกบริเวณหน้าอกแตกหัก อวัยวะภายในเสียหายจนตายคาที่
เมื่อมีคนหนึ่งถูกฆ่าตาย ค่ายกลเสือขาวจึงพังทลายในทันที ผู้ฝึกยุทธ์อีกแปดคนที่เหลือต่างก็ถูกรังสีหอกโจมตีจนกระเด็นไปกองกับพื้น พร้อมกับกระอักเื
“ค่ายกลเสือขาวก็ได้แค่นี้แหละ!” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองผู้ฝึกยุทธ์แปดคนนั้นที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
“บัดซบ ไม่คิดว่าเ้าจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เห็นทีข้าต้องลงมือด้วยตัวเองเสียแล้ว!”
ค่ายกลเสือขาวถูกเย่เฟิงทำลายภายในไม่กี่กระบวนท่า นี่ทำให้อู๋เจ๋อเผยสีหน้าอึมครึม ทันทีที่สิ้นเสียง อู๋เจ๋อก็เคลื่อนไหว ก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม แต่ไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงในนาทีต่อมา จากนั้นวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงทันที
อู๋เจ๋อเป็ถึงลูกหลานสายตรงของตระกูลอู๋แห่งเมืองลอยฟ้า เขาไม่เพียงแต่มีพร์ด้านหลอมศัสตราวุธที่น่าทึ่ง แต่ยังมีพร์ด้านวรยุทธ์ที่แกร่งกล้า เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 เป็อัจฉริยะเลื่องชื่อแห่งเมืองลอยฟ้า ดังนั้นผู้คนจึงสนใจตอนที่อู๋เจ๋อลงมือ พวกเขาอยากเห็นว่าระหว่างอู๋เจ๋อกับเย่เฟิงใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
เย่เฟิงมองฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามา พร้อมกับเจตจำนงต่อสู้พวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน แต่ฝ่ามือนี้ผสานด้วยอำนาจหอกขั้นกายา ฝ่ามือยังไม่ทันถึงตัวอู๋เจ๋อ แต่ก็มีอำนาจฟ้าดินเข้าปกคลุมร่างเขาจาง ๆ จนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันนั่น ทำเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผาก
“ปัง!” นาทีต่อมาผู้คนเห็นพลังฝ่ามือของเย่เฟิงกับอู๋เจ๋อเข้าปะทะกัน ทันใดนั้นอู๋เจ๋อรู้สึกได้ถึงพลังทำลายล้างมาเยือนร่างเขา ทำให้เขาตัวสั่นสะท้านพร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าวและกระอักเืออกมาหลายครั้ง
“ตาย!”
เย่เฟิงเดินออกมาหนึ่งก้าว พลันร่างกลายเป็แสงดาว ก่อนจะไปเยือนเบื้องหน้าอู๋เจ๋อในพริบตาเดียว จากนั้นเหวี่ยงหมัดโจมตีสามครั้งต่อเนื่อง ทุกหมัดยังอัดแน่นไปด้วยพลัง 250,000 จิน ส่วนอู๋เจ๋อที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ะเิพลังออกมาเพียง 150,000 จินเท่านั้น ซึ่งการเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังของเย่เฟิงเช่นนี้ ทำให้อู๋เจ๋อต้องตื่นตระหนก
อู๋เจ๋อยกมือขึ้นต้าน แต่หมัดของเย่เฟิงที่ราวกับค้อนอันหนักอึ้งอัดกระแทกไปยังแขนของเขา ส่งผลให้เขาตัวสั่นสะท้าน กระดูกทั่วร่างราวกับแตกหักจนอาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื
“มีพลังแค่นี้ แต่กลับกล้าพูดว่าจะจับข้าไปทำเป็หุ่นเชิด ช่างน่าขันสิ้นดี!”
เย่เฟิงเดินออกมาพร้อมกับปล่อยรังสีหมัดอีกครั้งที่ทรงพลังกว่าเมื่อครู่นี้ นี่ทำให้อู๋เจ๋อรู้สึกว่าตัวเองไร้กำลังต่อต้าน สีหน้าของเขาในตอนนี้จึงดูไม่ได้
“เขาเป็ใครกัน เหตุใดพลังจึงแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ ทั้งที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2? ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” ผู้คนเห็นอู๋เจ๋อผู้โด่งดังแห่งเมืองลอยฟ้าเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิงต่างก็ตัวสั่นสะท้าน ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะคาดเดาตัวตนของเย่เฟิง ส่วนชายร่างกำยำแปดคนนั้นเห็นอู๋เจ๋อถูกเย่เฟิงซัดจนกระอักเืก็คิดจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกรังสีหอกของเย่เฟิงขวางไว้ จึงไม่กล้าเข้าใกล้
“ถ้าเ้ากล้าฆ่าข้า ข้ารับประกันเลยว่าเ้าไม่ได้ออกจากเมืองลอยฟ้านี้แน่!” อู๋เจ๋อกล่าวเสียงสั่นขณะมองการโจมตีของเย่เฟิงพุ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หากเป็เช่นนี้ต่อไป เขาอาจตายด้วยการโจมตีนี้ของเย่เฟิง
“น่าขัน!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้มเ็า จากนั้นกล่าวว่า “คิดว่าข้าวางมือแล้วเ้าจะปล่อยข้าไปงั้นหรือ? ข้าเย่เฟิงไม่เคยล่วงเกินเ้าั้แ่แรก แต่เ้ากลับนำทัพผู้ฝึกยุทธ์มาระรานข้า ปากบอกจะจับข้าไปทำเป็หุ่นเชิด ตอนนี้เ้าสู้ข้าไม่ได้ก็คิดจะใช้วิธีข่มขู่เพื่อให้ข้าวางมือ เ้าคิดว่ามันเป็ไปได้หรือ?”
เย่เฟิงไม่้าพล่ามไร้สาระกับอู๋เจ๋อไปมากกว่านี้ จากนั้นเขาปล่อยรังสีหอกมรณะที่ผสานด้วยพลังทำลายล้างออกไป หมายทำลายร่างอู๋เจ๋อ
“นี่...”
อู๋เจ๋อต้องหน้าถอดสีเมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าสังหารของเย่เฟิง เขาไม่คาดคิดว่าเย่เฟิงจะกล้าลงมือฆ่าเขา เขาจึงอดร่นถอยหลังไปไม่ได้ แต่รังสีหอกของเย่เฟิงเร็วเกินไป เขาเพิ่งถอยหลังไปได้ไม่กี่ก้าว รังสีหอกนั่นก็มาเยือนเบื้องหน้าเขา พร้อมสายลมพัดปะทะร่างอู๋เจ๋อ ทำให้อู๋เจ๋อรู้สึกกลัวจากก้นบึ้งจิติญญา
“หมอนี่กล้าฆ่าอู๋เจ๋อจริง ๆ งั้นหรือ?” ผู้คนรอบข้างต่างตะลึงงันขณะมองเย่เฟิง
“คนสารเลว เ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายเขา!”
ตอนนั้นเองมีเสียงที่น่าเกรงขามดังมาจากที่ใกล้ ๆ อย่างฉับพลัน จากนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวระหว่างกลางเย่เฟิงกับอู๋เจ๋อ ก่อนจะปล่อยพลังทำลายรังสีหอกของเย่เฟิงในพริบตา ตามมาด้วยเสียงะเิดังกึกก้อง คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ เมื่อสองการโจมตีเข้าปะทะกัน จู่ ๆ เย่เฟิงรู้สึกว่ามีพลังอันแกร่งกล้าสายหนึ่งไหลมาตามแขนของเขาแล้วแทรกซึมสู่ร่างกาย ทำให้เขาตัวสั่นสะท้านก่อนจะเซถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะยืนอย่างมั่นคงได้
หอกนี้ของเย่เฟิงผสานด้วยอำนาจหอกขั้นกายา่ปลาย พลังจึงไม่เรียบง่ายเพียงนั้น หลังจากปะทะกับหอกของเย่เฟิง อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้เช่นกัน ตัวต้องสั่นสะท้าน ทั้งยังกระเด็นไปกระแทกกับอู๋เจ๋อที่อยู่ด้านหลัง จนอู๋เจ๋อต้องกระอักเืออกมา
จากนั้นเย่เฟิงหรี่ตามองผู้มา พบว่าอีกฝ่ายเป็ชายชราร่างผอมบางคนหนึ่ง จากลมปราณบนตัวชายชราก็ดูออกว่าอีกฝ่ายอยู่ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด เห็นชัดว่าเป็ผู้าุโที่รุดมาจากตระกูลอู๋
“ตระกูลอู๋เ้าเป็ถึงกองกำลังชั้นยอดแห่งเมืองลอยฟ้า แต่ไม่นึกว่าผู้ใหญ่จะรังแกผู้เยาว์เยี่ยงนี้ ช่างน่าขันเสียจริง”
ดวงตาของเย่เฟิงส่องสุกสกาว ไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด
แม้ตบะของเขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 แต่ด้วยศักยภาพด้านอื่น ๆ พลังแห่งอำนาจขั้นกายาสองประเภท รวมถึงอำนาจไฟขั้นผันแปร เย่เฟิงยังถือว่าห่างชั้นจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด แต่ถึงอย่างนั้นช่องว่างก็เล็กน้อยมาก หากเย่เฟิงสำแดงไพ่ตายทั้งหมดของตนก็อาจเป็ฝ่ายชนะ
“อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 แต่กล้าดียังไงมาพูดจาอวดดีต่อหน้าข้า?”
ชายชราขั้นยุทธ์แท้สูงสุดจากตระกูลอู๋คนนั้นตาเผยประกายเย็นเยียบ การโจมตีเมื่อครู่นี้ของเย่เฟิงทำให้เขาใ ไม่นึกว่าอยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 จะซัดเขากระเด็นได้ เกรงว่าทั่วทั้งเมืองลอยฟ้าก็หาคนรุ่นเยาว์ที่มีฝีมือเพียงนี้ไม่ได้
แม้ชายชราจะใ แต่สีหน้าของเขายังคงสุขุม จากนั้นเห็นชายชราสะบัดมือ พลันสามเงาร่างปรากฏตัวที่ด้านหลังเขา ซึ่งเป็ชายชราวัยหกสิบปี ล้วนแต่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดทั้งสิ้น อีกอย่างที่ด้านหลังของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดสามคนนี้ก็ยังมีชายร่างกำยำขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ถึง 7 หลายสิบคนติดตามมาด้วย พวกเขาต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ไม่คิดว่าตระกูลอู๋จะส่งผู้ฝึกยุทธ์มามากเพียงนี้ ต่อให้ชายผู้นี้มีปีกก็ยากที่จะบินหนีแล้วล่ะ”
ผู้คนรอบข้างเห็นผู้ฝึกยุทธ์มามากเช่นนี้ต่างก็ใจเต้นระรัวด้วยความใ เพราะว่าไม่มีศึกใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นที่เมืองลอยฟ้ามานานมากแล้ว
