ตอนนี้ มรดกตกทอดที่อยู่ในมือของนายท่านหนีมิได้มีมากนัก นอกจากจะไม่เพิ่มพูนแล้ว ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมเอาไว้ั้แ่สมัยบรรพบุรุษ ก็ลดทอนลงตามกาลเวลา ผลกำไรจากการค้าของพวกเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่ากิจการจะกระเตื้องขึ้นมา
หนีเจียเอ๋อร์นึกขุ่นเคือง ที่บิดาไม่ยอมแบ่งสันปันส่วนให้กับฮูหยินและเว่ยอี๋เหนียงอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งๆ ที่นางก็เป็หนึ่งในคนสกุลหนี แต่กลับไม่คิดจะเห็นหัวกันบ้างเลยหรืออย่างไร...
หญิงสาวจึงยืนกราน “ท่านพ่อ ข้ากับเว่ยอี๋เหนียงขอเก็บผ้าไหมและผ้าแพรพวกนี้เอาไว้ ส่วนของรางวัลอื่นๆ แล้วแต่ท่านจะจัดการเถอะ”
นายท่านหนีรู้สึกตื้นตันกับความเข้าใจและกตัญญูของบุตรสาว จึงพยักหน้าซ้ำๆ “ได้ๆ พ่อจะเก็บไว้ให้เ้า เมื่อใดที่เ้าแต่งงาน ข้าจะนำมันออกมาเป็สินเดิมเ้าสาว พ่อบ้าน แบ่งผ้าเหล่านี้ออกเป็สองส่วน แล้วส่งไปให้เว่ยอี๋เหนียงกับคุณหนูรอง ส่วนพวกเงินทองของมีค่าให้เก็บเข้าคลัง ลงบันทึกรายการ และเก็บรักษาให้ดี”
เว่ยอี๋เหนียงไม่เชื่อ ว่าสามีจะเก็บของรางวัลทั้งหมดไว้เป็สินเดิมของบุตรสาวจริงๆ แต่ก็ไม่อยากมีปากมีเสียงกัน จึงได้แต่เงียบไป
หนีจวิ้นหว่านและสวีซื่อมองไปยังคนรับใช้ แล้วให้รู้สึกอับอาย รู้สึกเปล่าประโยชน์ยิ่งนักที่มานั่งรออยู่แบบนี้
หากเป็สมัยก่อน เพื่อรักษาหน้าตาแล้ว หนีเจียเอ๋อร์คงจะแบ่งของรางวัลให้พวกนางบ้าง ทว่าวันนี้ หญิงสาวกลับมิได้เอ่ยถึงแต่อย่างใด ด้วยรู้สึกโมโหมาก
...
ตอนเย็น หลังหนีเจียเฮ่อกลับมาจากวัง ก็พาหนีเจียเอ๋อร์ไปที่หอจุ้ยเซียน เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงฉลองของโจวชิงหวา ซึ่งทั้งสองก็ไปถึงก่อนเวลาเช่นเคย ทำให้คลาดกับเ้าภาพที่ออกไปดูแลเื่อาหารการกิน พวกเขานั่งรออยู่พักใหญ่ โจวชิงหวาจึงเดินเข้ามา
วันนี้ชายหนุ่มแต่งตัวตามสบาย สวมชุดยาวคลุมทับด้วยเสื้อนอก คาดเข็มขัดสีเขียวไร้ลวดลาย ด้วยเสื้อผ้าด้านในที่ดูไม่เป็ทางการ จึงเผยให้เห็นเนื้อหนังวับๆ แวมๆ เส้นผมถูกรวบไว้ด้วยผ้าขาว การแต่งกายที่มิได้พิถีพิถันเช่นนี้ กลับชวนให้สบายตาและผ่อนคลาย
“ขอโทษที ข้าออกไปจัดการเื่อาหารการกินมานิดหน่อย”
หนีเจียเฮ่อวางศอกบนไหล่ของน้องสาว ผู้ซึ่งกำลังทำสีหน้าตะลึงงัน พลางพูดด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า “เสี่ยวเอ๋อร์ อย่ามัวแต่อึ้งสิ บอกให้ชิงหวามานั่งได้แล้ว!”
หนีเจียเอ๋อร์เกาจมูกตัวเอง แล้วกระแอมสองสามครั้ง “ฮะแฮ่ม! มานั่งนี่สิ มัวยืนทำอะไรอยู่”
โจวชิงหวาคลี่ยิ้ม สายตาเปล่งประกายวาววับราวกับไข่มุก “วันนี้เสี่ยวเอ๋อร์ช่างงดงามนัก แต่ดูข้าสิ...”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังล้อเลียนตน
คนทั้งสามนั่งลง ไม่ช้าเสี่ยวเอ้อร์ก็นำอาหารเย็นและสุราเลิศรสมารับรอง โจวชิงหวารินสุราสามจอกและยื่นให้สองพี่น้องทีละคน เขาใช้สองมือประคองจอกสุรา แล้วพูดอย่างจริงใจ “ขอดื่มสุราจอกนี้ เพื่อขอบคุณพวกเ้าทั้งสอง”
กล่าวจบ ก็เงยหน้าขึ้นดื่มรวดเดียว จากนั้นหนีเจียเอ๋อร์กับหนีเจียเฮ่อก็ทำแบบเดียวกัน
ต่อมา หนีเจียเฮ่อจึงเอ่ยขึ้น “ชิงหวา หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ข้าคิดว่าเป็การดีกว่า หากเ้าจะอยู่ห่างจากราชสำนักเสีย การทำการค้ากับราชวงศ์หาใช่เื่ง่าย ต่อให้จะเป็เ้าก็ตาม”
โจวชิงหวาตักเนื้อวัวราดเครื่องปรุงรสใส่ชามของหนีเจียเอ๋อร์ “ใช่! แม้จะมีหลายอย่างที่ข้าทำด้วยตัวคนเดียวมิได้ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องหยุดนี่ ข้ายังจัดการได้”
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ไม่อยากฟังการสนทนาในหัวข้อชวนปวดหัวเช่นนี้อีก จึงลุกขึ้นมารินสุราให้พวกเขา สุดท้ายค่อยมาเติมของตัวเองไปครึ่งจอก “แก้วนี้ ขอดื่มฉลองที่เ้าผ่านวิกฤตมาได้”
โจวชิงหวายกจอกดื่มอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเื่ที่มารดาเคยพูดเอาไว้สมัยยังเด็ก เขาจึงเอ่ยเสียงติดตลก “ว่ากันว่าตอนที่ข้าเกิด ดวงดาวเต็มฟ้า อากาศบริสุทธิ์สดใส ยามนั้น บังเอิญมีหมอดูเดินผ่านหน้าบ้านแล้วทำนายทายทัก ว่าข้าเป็ร่างกลับชาติมาเกิดของเหวินฉวีซิงจวิน[1] ์จึงมอบพรให้ข้าประสบแต่ความร่ำรวยและมั่งคั่ง มีสุขภาพดี อายุยืนยาว”
คำพูดของเขา ทำให้หนีเจียเอ๋อร์และหนีเจียเฮ่อหัวเราะลั่น
พอดื่มสุราจนเกือบหมด หนีเจียเฮ่อก็ขอตัวกลับก่อน เพราะลืมว่าต้องไปจัดการธุระบางอย่าง และต้องรีบกลับตำหนักบูรพาด้วย ก่อนจาก ชายหนุ่มยังขยิบตาให้โจวชิงหวาลับหลังน้องสาว ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจ และพยักหน้าเป็เชิงขอบคุณ
หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังจันทร์เสี้ยวที่ทอแสงอยู่นอกหน้าต่าง พลางพูด “ดึกแล้ว กลับกันเถอะ!”
โจวชิงหวาลุกขึ้นก่อน “ได้! ข้าจะไปส่งเ้า”
แต่รถม้าของตระกูลหนีไปส่งหนีเจียเฮ่อแล้ว ส่วนโจวชิงหวาก็คิดว่าที่นี่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองนัก จึงมิได้นำรถม้ามา ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะเดินกลับ
แสงจันทร์สลัวรางบนท้องฟ้า สายลมในยามเย็นโชยพัด สองร่างเดินเคียงข้างกันไปบนถนน... ขณะเดินทาง โจวชิงหวารู้สึกว่าเส้นทางกลับบ้านในวันนี้ ช่างสั้นยิ่งนัก
เมื่อบ่าวรับใช้เห็นคุณหนูรองกลับมา จึงเปิดประตูให้
หนีเจียเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าจะเข้าบ้านแล้ว ท่านก็เดินทางกลับดีๆ ล่ะ”
ตอนนั้นเอง โจวชิงหวาก็หยิบมุกที่ร้อยเป็ดอกไม้ออกมาดั่งเล่นกล และฉวยโอกาสที่ยามเฝ้าประตูมิได้สนใจ ลอบสอดมันเข้าไปในกระเป๋าของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดเบาๆ “นี่เป็ของขวัญขอบคุณสำหรับเ้า”
แก้มของหนีเจียเอ๋อร์ยิ่งแดงระเรื่อ เพื่อปิดซ่อนความรู้สึกขัดเขินที่ผุดขึ้นมา นางจึงแสร้งทำเป็ไม่พอใจและพูดว่า “ชีวิตของเ้ามีค่าเท่าบุปผามุกดอกนี้เองหรือ?”
โจวชิงหวาเข้ามาประชิดอย่างสบายใจ พลางตอบยิ้มๆ “หากเ้าไม่สนใจสิ่งของนอกกายเหล่านี้ เช่นนั้น ข้าใช้ร่างกายตอบแทนดีหรือไม่?”
“ใครบอกล่ะ ข้าน่ะโปรดปรานของพวกนี้ที่สุด” หนีเจียเอ๋อร์หันหลัง และจากไปอย่างไม่พูดไม่จา
จนกระทั่งประตูปิดลง โจวชิงหวาจึงหันหลังกลับจวนของตนไป
...
ในวันต่อมา
ฮองเฮาต้วนอวิ๋นซินอยากจะขอบคุณหนีเจียเอ๋อร์ ที่ช่วยชีวิตองค์ชายน้อยเอาไว้ จึงสั่งให้คนจัดงานเลี้ยงขอบคุณนาง โดยเชิญองค์ชายน้อย หนีเจียเฮ่อ โจวชิงหวา และองค์หญิงใหญ่ ให้มาร่วมงานด้วย
แม้ต้วนอวิ๋นซินจะมิได้เป็สตรีที่งดงามที่สุด แต่ก็สง่างามนัก แลดูสูงส่งด้วยท่วงท่าดั่งนางพญา ทั้งยังมีรอยยิ้มผ่อนคลาย ชวนให้สบายใจทุกครั้งที่ได้เห็น จากมุมมองของหนีเจียเอ๋อร์ สายตาของฮองเฮานั้น ไม่ต่างจากมารดาที่เอ็นดูบุตร
ต้วนอวิ๋นซินลดตัวมาดึงหนีเจียเอ๋อร์ไปนั่งเคียงข้างตน “คุณหนูหนี ข้าเรียกเ้าว่าเสี่ยวเอ๋อร์ได้หรือไม่ หวังว่าเ้าจะไม่รังเกียจนะ?”
หนีเจียเอ๋อร์ก็หาได้คิดจะเสแสร้ง จึงตอบไปว่า “นับเป็เกียรติของหม่อมฉัน ที่ได้รับความเมตตาจากฮองเฮาเพคะ”
แม้แต่องค์ชายน้อยกู่จวิ้นฉีก็ยังชื่นชมหนีเจียเอ๋อร์ ด้วยอยากจะสนิทสนมกับนางเช่นกัน
พอต้วนอวิ๋นซินเห็นว่าบุตรชายชอบหนีเจียเอ๋อร์มาก จึงเสนอขึ้นอย่างมีความสุข “เสี่ยวเอ๋อร์เป็ผู้มากความสามารถ ทั้งยังเป็น้องสาวของคุณชายหนี ซึ่งเป็พระพี่เลี้ยงขององค์ชาย เช่นนั้น ให้นางเข้าวังมาเป็อาจารย์ให้องค์รัชทายาท ดีหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์ยังไม่ทันปฏิเสธ องค์ชายน้อยก็โค้งคำนับด้วยความเคารพเสียแล้ว “ท่านอาจารย์ โปรดรับข้าเป็ศิษย์ด้วย”
หญิงสาวจึงไม่มีทางเลือก จำต้องตอบตกลง พลางสืบเท้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา “องค์ชาย โปรดลุกขึ้นเถิด”
ต้วนอวิ๋นซินขอให้นางกำนัลนำป้ายทองมาให้หนีเจียเอ๋อร์ “รับไว้ นี่เป็ป้ายคำสั่งซึ่งใช้ผ่านเข้าออกวังได้ตาม้า”
หนีเจียเอ๋อร์ใช้มือทั้งสองข้าง รับป้ายมาอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยฮองเฮาที่เมตตาเพคะ!”
เมื่อเห็นว่าทั้งฮองเฮาและองค์ชาย ต่างก็ชื่นชอบน้องสาวของตน หนีเจียเฮ่อก็ยิ่งรู้สึกเป็เกียรติและตื้นตันใจอย่างมาก
ส่วนโจวชิงหวา ั้แ่ที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยง สายตาของเขาไม่เคยละจากร่างของหนีเจียเอ๋อร์เลยสักครา
นี่ทำให้กู่อวี่เสวียนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก แต่หากคิดจะกลั่นแกล้งหนีเจียเอ๋อร์ ก็คงไม่พ้นถูกหนีเจียเฮ่อและโจวชิงหวาเข้ามาขัดขวาง ทั้งยังโดนฮองเฮาตำหนิเป็แน่ นางจึงได้แต่ฮึดฮัด แล้วเอ่ยขอตัวออกจากงานเลี้ยง เพื่อมิให้ตัวเองต้องขุ่นเคืองใจ
------------------------------------------------
[1] เหวินฉวีซิงจวิน (文曲星君) คือเทพแห่งการศึกษาอักษรศาสตร์ การประพันธ์ เอกสาร ศิลปะ และการสอบเข้ารับราชการฝ่ายพลเรือน ทั้งยังส่งผลในด้านโชคลาภอีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้