สตรีอ้วนกล่าวเสียงดัง “ใช่แล้ว หากจะล้างไส้หมูให้สะอาดต้องใช้เกลือและแป้งข้าวโพดมาก ไส้หมูของบ้านนี้ทำได้สะอาดยิ่ง ราคาก็ไม่แพง น่าเสียดายที่ไม่มีถ้วยใส่ มิเช่นนั้นข้าจะซื้อกลับไปให้สามีและลูกกินสักหนึ่งชั่ง”
“ไส้หมูทอดนี่ขายที่ใดหรือ?”
สตรีอ้วนตอบอย่างใจดี “ขายที่ตลาดรอบนอกสุด เ้าของร้านเป็หนุ่มน้อยสองคน”
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังนึกไม่ถึงว่า ลูกค้าคนเดียวจะซื้อไปถึงห้าทองแดงจึงรู้สึกยินดีมาก จากนั้นคนที่อยู่รอบๆ ก็พากันมาซื้อ แต่ไม่ได้มือเติบซื้อรวดเดียวห้าทองแดงเช่นสตรีอ้วนนางนั้น แต่ทุกคนก็ซื้อไปลองชิมคนละหนึ่งทองแดง
เพื่อนบ้านของสตรีอ้วนมาแล้ว ถือเป็คนมีอันจะกินคนหนึ่ง อึดใจเดียวก็ยืนกินอยู่ที่เดิมหมดไปสามทองแดง ทว่าคนผู้นั้นรู้สึกเขินอายหากจะใช้มือรองไส้ทอดเดินกลับบ้าน พอดีเหลือบไปเห็นชาวบ้านขายถ้วยอยู่ไม่ไกล จึงเดินตรงไปใช้เงินหนึ่งทองแดงซื้อถ้วยมาหนึ่งใบ ให้หลี่เจี้ยนอันใช้ใบหม่อนรองก้นถ้วยชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ซื้อไส้ทอดกลับบ้านไปอีกสิบทองแดง
หลี่เจี้ยนอันตื่นเต้นจนไม่รู้สึกอายอีกต่อไป เขาร้องเรียกลูกค้าเสียงดัง ผลัดกันะโกับหลี่ฝูคังคนละประโยค
พวกเขาเป็ร้านเดียวในตลาดที่ขายไส้ทอด จึงไม่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น ธุรกิจเฟื่องฟูเพียงใดก็ไม่ทำให้ผู้อื่นอิจฉา
ชาวบ้านวัยกลางคนรูปหน้ายาวที่ขายมะเขือและถั่วฝักยาวอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “บ้านเ้าคงใช้เกลือและแป้งข้าวโพดทำความสะอาดไส้หมูไปมากกระมัง?”
ก่อนที่สองพี่น้องจะออกมาจากบ้าน หลี่หรูอี้กำชับไว้เรียบร้อยแล้วว่า อย่านำวิธีการล้างไส้หมูด้วยขี้เถ้าออกไปพูดเป็อันขาด จึงพยักหน้าตอบรับไป “ขอรับ”
ชาวบ้านหน้ายาวส่ายศีรษะ “เช่นนั้นเงินทุนคงสูงมาก ได้กำไรน้อย”
หลี่ฝูคังแสร้งถอนใจ “ช่วยไม่ได้ขอรับ ่นี้อากาศร้อน วันนี้ที่บ้านเพิ่งได้เครื่องในหมูมาจำนวนหนึ่ง หากไม่ทำความสะอาดแล้วนำออกมาขายคงจะเสียของ”
ชายชราร่างผอมผู้หนึ่งกินเสร็จก็สั่งเพิ่มอีก “พ่อหนุ่มน้อย เอาให้ข้าอีกหนึ่งทองแดง”
ชาวบ้านหน้ายาวเห็นสองพี่น้องมาสายแต่ขายได้เร็ว ธุรกิจเฟื่องฟูยิ่ง จึงส่งเสียงะโเรียกลูกค้าบ้าง “มะเขือ ถั่วฝักยาวจ้า กองละหนึ่งทองแดง”
ร้านค้าในตลาด หากมีสิบร้านก็ขายผักไปแล้วเก้าร้าน ผักที่เขาขายผู้อื่นก็ขายด้วย ราคาจึงค่อนข้างถูก สองสามชั่งเพิ่งจะขายได้หนึ่งทองแดง
แต่เมื่อเขาะโเช่นนี้ พบว่าดึงดูดลูกค้าได้จริงๆ ไม่ทันไรก็ขายออกไปแล้วสองกอง
เขารู้สึกยินดีอยู่ในใจ แต่เมื่อหันหน้ามองไปก็พบว่าผู้เยาว์ทั้งสองถือตะกร้าไผ่สานเดินไปแล้ว ั้แ่พวกเขามาถึงจนกระทั่งตอนนี้เพิ่งผ่านไปครู่เดียว แต่กลับขายหมดแล้ว
เขาไตร่ตรองในใจ จะทำไส้ทอดขายบ้างดีหรือไม่?
เมื่อจ้าวซื่อตื่นขึ้นมา จึงได้รู้ว่าเ้าใหญ่และเ้ารองไปขายไส้ทอดที่อำเภอแล้ว นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่จะห้ามตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้วจึงไม่ได้พูดอะไร
หลี่หรูอี้รีบกล่าวประจบโดยพลัน “ท่านแม่มีความคิดกว้างไกลกว่าท่านพ่อมากเลยเ้าค่ะ”
“เ้านี่ล่ะก็ พ่อเ้าเพิ่งไปวันเดียวเ้าก็เริ่มทรมานพี่ชายของเ้าเสียแล้ว” จ้าวซื่อใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากบุตรีสุดที่รักเบาๆ
“ไม่ทรมาน ไหนเลยจะมีเนื้อกิน ท่านแม่ประเดี๋ยวมืดๆ ข้าจะตุ๋นขาหมูให้ท่านกิน”
“กินข้าวไปสองมื้อแล้ว จะกินมื้อที่สามอีกทำไมเล่า?”
“อากาศร้อน หากไม่กินจะเสียนะเ้าคะ”
“เช่นนั้นรอพี่ใหญ่พี่รองของเ้ากลับมาก่อนค่อยกินพร้อมกัน”
“เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่อคิดจะปักผ้าอีกแล้วจึงรีบกล่าวโน้มน้าว บอกให้นางออกไปเดินหน้าบ้านหลังบ้านเสียหน่อยเพื่อเป็การออกกำลังกาย
จ้าวซื่อไม่มีนิสัยดื้อรั้นและแข็งขืน เมื่อได้ยินบุตรีพูดเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล จึงออกไปเดินที่ลานด้านหน้าและด้านหลังบ้านเสียหน่อย
หลี่หรูอี้เดินไปที่ห้องครัว เห็นหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานนั่งเคียงกันอยู่หน้าเตา ศีรษะพิงไหล่อีกฝ่ายต่างหมอน อิงแอบกันหลับไปเช่นนั้น นางรู้สึกเกรงใจจึงไม่ได้ปลุกพวกเขา นางเปลี่ยนใจเดินออกจากห้องครัว ไปเดินเล่นเป็เพื่อนจ้าวซื่อแทน
บ้านหลี่เป็ครอบครัวที่ย้ายมาจากนอกหมู่บ้าน สร้างบ้านอยู่ที่ตีนเขาห่างจากทางเข้าหมู่บ้านประมาณหนึ่งร้อยจั้ง เพื่อนบ้านทั้งสองฝั่งล้วนเป็ครอบครัวที่มาจากด้านนอกเช่นกัน
เพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกคือ ครอบครัวหลิว ฝั่งตะวันตกคือ ครอบครัวจาง
ทั้งครอบครัวหลิวและครอบครัวจางมีจำนวนคนมากกว่าครอบครัวหลี่ และยากจนกว่าครอบครัวหลี่เสียอีก
ครอบครัวหลี่นั้นเมื่อถึงฤดูหนาว จะยากดีมีจนบุตรชายบุตรสาวต่างก็มีชุดผ้าฝ้ายสวมใส่กันทุกคน ส่วนครอบครัวหลิวและครอบครัวจางต้องแบ่งกันใส่ หากลูกชายคนโตสวมชุดผ้าฝ้ายออกไปทำงานนอกบ้าน ลูกชายคนรองไม่มีชุดสวมก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน
ยิ่งยากจนก็ยิ่งมีลูกมาก
ครอบครัวหลี่มีบุตรชายบุตรสาวรวมกันห้าคน ในท้องของจ้าวซื่อก็ยังมีอีกหนึ่งคน
สองสามีภรรยาบ้านหลิว มีบุตรชายสี่คน บุตรสาวสองคน บุตรชายคนโตอายุสิบเจ็ดแล้ว จางซื่อลูกสะใภ้ของบ้านหลิวตั้งท้องอยู่อีกหนึ่งคน
สองสามีภรรยาบ้านจาง มีบุตรชายสามคน บุตรชายทั้งสามแต่งงานแล้ว ภรรยาคลอดบุตรกันหมดแล้ว ตอนนี้มีคนรุ่นที่สามของบ้านทั้งหมดสิบคน และสะใภ้ทั้งสามก็กำลังตั้งท้องกันทุกคน
จ้าวซื่อยืนอยู่ที่แปลงผักหลังลานบ้านของตนเอง โดยมีหลี่หรูอี้ยืนคุยเป็เพื่อน ท่าทางดูสบายอกสบายใจ
บริเวณไม่ไกลนัก หวังฮวาสะใภ้คนที่สองของบ้านจางยืนท้องโตผ่าฟืนอยู่ที่ลานด้านหลังบ้าน
หวังฮวาทำงานด้วยความขุ่นเคืองใจ มองไปที่จ้าวซื่อด้วยดวงตาคมกริบ กล่าวเสียงแหลมว่า “พี่จ้าว ตอนบ่ายที่บ้านของเ้ากินเนื้อหรือ?”
จ้าวซื่อส่ายหน้า “เนื้อที่ไหนกัน แค่เครื่องในหมูเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจของหวังฮวาก็สงบลงมาก กล่าวต่อไปว่า “จะทำความสะอาดเครื่องในหมูต้องใช้เกลือและแป้งข้าวโพดมากเลยเชียว”
“บ้านข้าจะตัดใจทำเช่นนั้นได้อย่างไร ก็แค่ทำความสะอาดไปตามใจ ให้เหมาะกินเติมท้องไปมื้อหนึ่งเป็พอ” จ้าวซื่อย่อมไม่กล่าวออกไปอย่างโง่งมว่า สามารถใช้ขี้เถ้าล้างเครื่องในหมูได้ กล่าวจบก็จูงมือบุตรีเดินออกจากลานด้านหลังมุ่งไปที่ลานด้านหน้า
จางซื่อสะใภ้ของบ้านหลิวเดินแบกท้องอุ้ยอ้าย ถือกะละมังไม้ที่มีเสื้อผ้าที่สกปรกอยู่ในนั้นเดินไปยังริมแม่น้ำ เห็นสองแม่ลูกบ้านหลี่ยืนอยู่ใต้ต้นแพรเขียวขจีไม่ไกล จึงอดที่จะกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “น้องจ้าว เ้าช่างมีวาสนาดีจริงๆ นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ยังมีคนนำเนื้อมามอบให้ถึงที่บ้าน”
หลิวเป่า สามีของจางซื่อ พาหลิวต้าบุตรชายคนโตไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวอำเภอ
หลิวพั่น บุตรีคนที่สอง และหลิวเสี่ยง บุตรีคนที่สาม ไปเป็บ่าวรับใช้ให้ครอบครัวมั่งคั่งในตัวเมือง
ส่วนหลิวเอ้อ บุตรชายคนที่สี่ คอยดูแลหลิวซานอายุหกขวบ และหลิวซื่ออายุสามขวบอยู่ที่บ้าน
งานจำพวกซักผ้าทำอาหาร จึงมอบให้เป็หน้าที่ของจางซื่อ
จางซื่ออิจฉาจ้าวซื่อยิ่งนักที่ไม่ต้องซักผ้าและทำอาหารด้วยตนเอง
จ้าวซื่อทำเป็บ่นไปเรื่อยเปื่อย “นั่นเป็เครื่องในหมู แค่จะล้างมันให้สะอาดก็ต้องไปหาบน้ำจากแม่น้ำหลายรอบแล้ว”
“เป็เช่นนั้นจริงๆ เครื่องในหมูแม้จะทำดีแล้ว แต่พอดมกลิ่นของมันก็รู้สึกสกปรก โดยเฉพาะไส้หมู ข้างในเต็มไปด้วยมูลหมู น่ารังเกียจมาก” จางซื่อพูดออกไปหลายประโยคอย่างไม่จริงใจ เนื่องจากอยู่ไกลจึงมองไม่เห็นสีหน้าของจ้าวซื่อ แต่เชื่อว่าคงดูไม่ดีนัก
หลี่หรูอี้ขมวดคิ้ว เห็นจ้าวซื่อมองไปยังจางซื่อด้วยความไม่สบอารมณ์ จึงกระซิบบอก “ท่านแม่เ้าคะ อย่างนางเรียกว่าไม่เคยกินองุ่น แต่กลับพูดไปทั่วว่าองุ่นเปรี้ยว”
จ้าวซื่อกระซิบตอบ “คบหาเพียงผิวเผินก็พอแล้วกับคนเช่นนาง อย่าได้พูดความจริงเป็อันขาด และมิอาจคบหากันลึกซึ้งได้”
หลี่หรูอี้พาแม่กลับบ้านและไปที่ห้องโถง จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องครัว เห็นพี่ชายทั้งสองยังหลับอยู่ นางจึงเดินไปที่ห้องเก็บฟืน ใช้มีดผ่าฟืนทั้งตัดทั้งเกลาท่อนไม้หลายท่อนทำเป็ถาดไม้หนาประมาณครึ่งชุ่น ภายหลังจะใช้แผ่นไม้นี้ทำบัญชีเพื่อสรุปรายรับรายจ่าย
ขณะที่นางนำกระดานไม้หลายแผ่นกลับไปเก็บที่ห้องของตนพลันเห็นดอกไม้ป่าหลากสีสันเสียบอยู่บนหัวเตียง นี่คือดอกไม้ที่พี่ชายสี่คนมอบให้นาง ทุกสองสามวันจะมอบให้ช่อหนึ่ง
นางมาที่แคว้นต้าโจวเกือบร้อยวันแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอา และพี่ชายทั้งสี่ ล้วนรักและใส่ใจนางอย่างมาก แม้เื่เล็กๆ น้อยๆ จำพวกมอบดอกไม้ป่าให้ทุกวันเช่นนี้ก็มีมาให้มากมายจนนับไม่ถ้วน
ครอบครัวยากจนมากก็จริงอยู่ แต่ความรักที่ไม่้าการตอบแทนของคนในครอบครัว ทำให้นางยอมรับฐานะในปัจจุบันได้แล้ว
ในโลกก่อน นางเป็เด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ตอนที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดปี นางใช้ชีวิตอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้จะได้รับความลำบากมาก แต่ก็ได้เรียนรู้ทักษะในการดำเนินชีวิตมากมาย นางอาศัยความสามารถของตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ได้ในที่สุด โดยทำงานไปด้วยและตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็งอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ และยังเรียนต่อปริญญาโทอีกด้วย หลังจากเรียนจบก็ไปเป็แพทย์ทหารในกองทัพ จากนั้นจึงแต่งงานกับข้าราชการทหารหล่อเหลานายหนึ่ง ยังไม่ทันถึงครึ่งปี สามีก็มาตายจากไปในการซ้อมรบ โดยที่นางยังไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวสักคน
ด้วยความเศร้าโศกเสียใจนางจึงสมัครเข้าร่วมกับกองทัพที่ชายแดน อยู่ที่นั่นยี่สิบกว่าปี ระหว่างนั้นก็ไม่ได้แต่งงานอีก
ขณะนั้นเองมีเสียงของหลี่อิงฮว๋าดังแว่วมาจากห้องครัวอย่างรู้สึกผิด “พี่สี่ รีบตื่นเร็ว!”
หลี่ิ่หานสะดุ้ง พูดออกมาว่า “พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่ พวกเราหลับกันไปอีกแล้ว”
หลี่ิ่หานพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น “ข้าเพิ่งฝันว่า ไส้ทอดของบ้านเราขายไม่ออกจนส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปหมดแล้ว”
.......................................