หลังจากกลับจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า ซิ่งหวนก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าสู่เรือนของตนอย่างเงียบขรึม ยกพัดไม้หอมขึ้นมาพัด แล้วถอนหายใจแรงๆ บรรยากาศโดยรอบคล้ายหยุดนิ่งลงชั่วขณะ
สองข้างทางที่ทอดยาวสู่ที่นั่งในโถงใหญ่ เรียงรายด้วยอนุภรรยาทั้งเจ็ดของสามีผู้เป็เ้าของเรือนที่หมดอายุขัยไปหลายปีแล้ว แต่ละนางล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ยืนสงบนิ่งโดยมีบ่าวรับใช้คนสนิทยืนอยู่ด้านหลังคอยปรนนิบัติ
แววตาของพวกนางบางคนหลบเลี่ยงสายตา บ้างยกยิ้มจาง ๆ ประหนึ่งคารวะอย่างวางตัว บ้างก็ก้มหน้าก้มตาอย่างไร้ตัวตน
"ท่านแม่นะ ท่านแม่... เหตุใดจึงต้องตำหนิพี่หญิงถึงเพียงนั้น?" เสียงอนุจางเอื้อนเอ่ยเบานุ่ม หากแฝงความคัดค้านอยู่ในที "สกุลหลินส่งบุตรสาวมาแต่งเข้าเรือนเรา ทั้งที่ต่างฐานะกันขนาดนั้น ต้องมีอะไรแอบแฝงเป็แน่" นางพูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบแ่ ดวงตาคมเหลือบมองไปยังซิ่งหวน ฮูหยินใหญ่ของเรือน ด้วยสายตาขบขัน แฝงแววเยาะเย้ย
ซิ่งหวนวางพัดไม้หอมลงบนตักอย่างสงบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตาคมกริบของนางเปล่งประกายความไม่พอใจอย่างแจ่มชัด
"ที่ท่านแม่ตำหนิข้า ก็สมควรแล้ว!" น้ำเสียงของฮูหยินใหญ่หาได้เย็นเฉียบ แต่กลับแฝงพลัง
"ส่วนเ้าก็เลิกเสแสร้งเสียทีเถอะ ปากเ้าแม้นไพเราะ แต่ในใจก็มิได้บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเ้าคิดอะไรอยู่!" คำพูดนั้นไม่ต่างจากดาบสองคม ฟาดฟันลงตรงจุด ทั้งข่ม ทั้งเตือน ทั้งประจานอย่างละเมียดละไม
อนุจางชะงักไปเล็กน้อย ถ้วยชาในมือคล้ายหนักอึ้งกว่าปกติ เสียงนางแ่เบาแทบเป็กระซิบ “ข้า... ข้าเพียงแต่เห็นว่าท่านแม่เข้มงวดกับพี่หญิงเกินไป หากท่านว่าข้าผิด เช่นนั้นข้าก็ไม่กล้าซักไซ้อีกต่อไปแล้วเ้าค่ะ”
แม้ปากจะถ่อมตัว ทว่าสายตาคู่นั้นกลับสะท้อนความขุ่นข้องเอาไว้ชัดเจน
เมื่อเสียงตำหนิอนุจางดังก้องในเรือนกลาง อนุทั้งหกที่เหลือซึ่งยืนนิ่งอยู่ ต่างก็ลอบส่งยิ้มมุมปากให้กันอย่างไม่ปิดบังความพึงใจ
แต่เดิมนั้น ยามฮูหยินใหญ่ซิ่งหวน เดินทางไปเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่า ก็มักเลือกพาอนุจางติดตามไปด้วยเพียงผู้เดียว
หญิงผู้นี้ หาใช่สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ หรือมีคุณวุฒิเหนือใครไม่ หากแต่เป็เพียงอดีตบ่าวในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ผู้ได้รับความเมตตาจากนายเหนือหัวจนได้เลื่อนฐานะขึ้นมาเป็ภรรยาอีกคนหนึ่ง
ทว่า... แม้มีอดีตต่ำต้อยเยี่ยงนั้น ก็หาได้ถูกเหยียดหยามไม่ ตรงกันข้าม นางกลับเป็เพียงผู้เดียวที่ได้รับความไว้วางใจเหนืออนุคนอื่นทั้งหก จากฮูหยินผู้เฒ่า
นางมีสิทธิ์ ‘นั่ง’ เก้าอี้ข้างฮูหยินใหญ่ ขณะที่อนุอื่นยังต้องยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านล่าง
นางได้รับสิทธิ์เข้าเรือนหลักเมื่อมีการประชุมภายใน
และยิ่งกว่านั้น หากวันใดฮูหยินใหญ่มีอันเป็ไป นางผู้นี้อาจได้ก้าวขึ้นแทนที่อย่างไม่อาจขัดขืน
สิทธิ์นั้น แม้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง... แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงจากความคิดของทุกคนในเรือน
อนุทั้งหก แม้ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำออกมา ทว่าเื้ัสีหน้านิ่งสงบ แฝงไว้ด้วยความคับแค้น และริษยาอันแหลมคม การได้เห็นนางผู้นั้นถูกตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าผู้อื่น ไม่ต่างจากสายฝนเย็นชื่นใจ ที่ชำระล้างความขุ่นเคืองในใจให้คลายลงอย่างเงียบงัน
แม้สีหน้ายังประดับไว้ด้วยรอยเรียบนิ่งเฉกเช่นหยาดน้ำค้างยามรุ่งอรุณ แต่ในแววตาแต่ละนางกลับแฝงไว้ด้วยความริษยาเร้นลึกที่เกินกว่าจะกล่าวออกมาเป็คำใด
"ได้ยินมาว่า คุณหนูรองตระกูลหลินผู้นั้น ทั้งเฉลียวฉลาด เย็บปักถักร้อยก็เป็ ดีดพิณ เขียนกลอนล้วนเลิศล้ำ รูปโฉมงามล่มเมือง กิริยาอ่อนหวานดั่งภาพวาด… ชายหนุ่มทั่วทั้งเมืองหลวงต่างหมายปอง ข้าชักอยากรู้เสียแล้ว ว่าคุณหนูสูงศักดิ์เยี่ยงนั้น หากย้ายมาอยู่ในเรือนเรา จะแสดงอำนาจบาทใหญ่ได้ถึงเพียงไหนกัน" อนุนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
"แม้นวางอำนาจเพียงใด ก็อย่าหวังว่านางจะล้ำหน้าเหนือพี่หญิงของเราได้" เสียงอนุจางกล่าวขึ้นเร็วไว ท่าทีประจบประแจง นางหันไปยิ้มเอาใจฮูหยินใหญ่ที่นั่งพินิจอยู่เงียบๆ
อนุอีกสองสามคนลอบปรายตากัน หนึ่งในนั้นเบ้ปากเล็กน้อย อย่างไม่อาจกลั้นความหมั่นไส้ต่อท่าทางสอพลอของอนุจางได้
"เอาเถิด อย่าเอ่ยถึงนางให้มากความ" ซิ่งหวน เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ "สะใภ้จากตระกูลใหญ่ หากนางมีปัญญา นำพาสกุลหลี่เจริญรุ่งเรือง ก็ย่อมนับว่าดี และหากไม่วางอำนาจเสียบ้าง คิดหรือว่าจะยืนอยู่เหนืออนุทั้งสิบของลูกชายข้าได้?"
"จริงด้วยเ้าค่ะ..." อนุจางตอบเสียงเบา ยิ้มบางๆ หากในแววตากลับแฝงแวววูบไหวบางอย่าง เป็นัยที่ไม่มีใครล่วงรู้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้