ฟางเฉินเล่อพาเขาไปยังแปลงสมุนไพรพร้อมกับสั่งเสียศิษย์ผู้ดูแล แล้วจากไป
เมื่อรู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่มากับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์ผู้ดูแลก็ไม่ได้จู้จี้กับเขามากนัก เพียงแต่แนะนำข้อควรระวังก่อนปล่อยเขาเข้าไป
แปลงสมุนไพรขั้นหนึ่งกว้างมาก เพราะปริมาณความ้าเยอะและปลูกง่าย
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าไปและพบกับแปลงหญ้าเซียนที่ปลิวไหวในสายลม
ที่คุ้นเคยที่สุดคงจะเป็หญ้าพลิกแพลงที่เห็นจากในตำรา ใบและก้านสีเขียว ตรงยอดมีพุ่มสีม่วง หญ้าเซียนชนิดนี้ใช้รักษาแผลภายนอกได้ผลดี แต่นักหลอมโอสถมักจะไม่ใช้มันมาหลอมยา
สำหรับนักฝึกตนแล้ว แผลนอกกายล้วนเป็แผลเล็กน้อย จึงไม่ค่อยใส่ใจในการหลอมยารักษาแผลภายนอก
แต่สำหรับนักฝึกตนหญิงกลับไม่คิดแบบนี้ เพราะความงามนั้นเกิดมาคู่กับหญิงสาว
หญ้าด้านข้างระหว่างหญ้าพลิกแพลง คือหญ้าเหมันต์และดอกสงบจิต ในการหลอมยาจะพบเจอทั้งสองชนิดนี้ได้บ่อยครั้ง ฉะนั้นจำเป็ต้องปลูกปริมาณมากหน่อย
โหยวเสี่ยวโม่นั่งลงตั้งใจสำรวจดอกสงบจิต ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า
เขารู้สึกว่าดอกสงบจิตซ้ายมือเขาไม่ค่อยเปล่งปลั่ง แต่ดอกขวามือกลับตั้งตรงชูชันสวยงาม ่ก้านนั้นเหมือนแผ่ไอจางๆ ออกมา ไม่รู้มันคืออะไร
ดอกสงบจิตรอบๆ นั้น ไม่มีดอกไหนสวยงามเท่าดอกนี้
ที่สำคัญคือ ดอกสงบจิตบริเวณนั้นไม่มีไอจางๆ แผ่ออกมาตรงก้าน ไอนั้นเกาะเต็มหัวโหยวเสี่ยวโม่
ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาลายไปเองหรือเปล่า โหยวเสี่ยวโม่จึงลองเปลี่ยนที่
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเจอหญ้าเซียนที่เหมือนกับดอกเมื่อครู่ตรงแปลงดอกเหมันต์ ดอกบานสะพรั่งมีชีวิตชีวาและมีไอจางๆ แผ่ออกมา
เสียดายที่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ค่อยช่ำชองเกี่ยวกับเื่นี้ เขาจึงไม่รู้แน่ชัดว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น
ทว่าเขาไม่ได้โง่เขลา พอเดาออกว่าหญ้าเซียนเ่าั้ต้องเป็เหล่าที่ดีที่สุด
สักพักเขาก็พักความคิดเื่นี้ไป
แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะนัดทุกคนกลับมารวมตัวกันหลังจากหนึ่งชั่วยาม แต่โหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับแปลงสมุนไพรจึงลืมสิ้น
เมื่อได้สติ ก็พบว่าศิษย์พี่ใหญ่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังเขาแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่ประหลาดใจ แหงนขึ้นมองฟ้า และพึ่งนึกเวลาได้ รีบขอโทษขอโพย “ข้าขอโทษ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า…ข้าลืมเวลา”
ฟางเฉินเล่อไม่ได้กล่าวโทษ กลับหัวเราะพร้อมเอ่ย “นานๆ จะเจอศิษย์น้องที่ขยันแบบนี้ ศิษย์พี่ยินดียิ่งนัก โชคดีที่นี่เป็แค่บทเรียนเบื้องต้น เนื้อหาไม่เยอะ ข้าจะอธิบายให้เ้าอีกรอบ แต่ครั้งหน้าห้ามมาสายอีกนะ”
โหยวเสี่ยวโม่อึกอักพร้อมเอ่ย “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่”
ทั้งสองคนเดินกลับเรือนหญ้าเซียน ฟางเฉินเล่ออธิบายเนื้อหาทั้งหมดให้เขาอีกรอบ
ก่อนหน้านี้ที่พูดถึงคือหญ้าเซียน แต่ครั้งนี้เขาอธิบายเกี่ยวกับอาชีพนักหลอมโอสถด้วย
นักหลอมโอสถกับนักฝึกตนในดินแดนหลงเสียงอาจจะเปรียบได้เท่ากับหนึ่งต่อร้อย แต่ประชากรในดินแดนหลงเสียงมีเกินกว่าพันล้าน ฉะนั้นจำนวนของนักหลอมโอสถไม่ถือว่าน้อย ที่น้อยจริงๆ คือนักหลอมโอสถระดับสูง
การจะก้าวข้ามระหว่างนักหลอมโอสถระดับกลางไปสู่ระดับสูงนั้น อุปสรรคช่างใหญ่นัก
นี่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณสมบัติของนักหลอมโอสถ ระดับของปราณิญญาตัดสินอนาคตของเ้า ปราณิญญายิ่งระดับสูง การปรากฏตัวก็ยิ่งน้อย อย่างเช่นก่อนนี้ พรรคพวกที่มาพร้อมกับโหยวเสี่ยวโม่ที่มาจากเขตเดียวกัน ในสิบคน ก็มีเพียงแค่เจียงหลิวที่มีปราณสีฟ้าคราม
ทว่าคุณสมบัติด้อยก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังในอนาคต
เคล็ดวิชาใดๆ ล้วนมีวิถีการเรียนรู้ของมัน ในทุกหนแห่งย่อมต้องมีคนที่เพียรพยายาม แม้ว่าจะเป็แค่นักหลอมโอสถระดับล่าง ก็ใช่ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
“ศิษย์พี่ใหญ่ นักหลอมโอสถระดับล่างสามารถหลอมได้แค่ยาเซียนตันขั้นต่ำ แต่นักหลอมโอสถมากมายก็สามารถทำได้เหมือนกัน สิ่งใดๆ ในโลกยิ่งน้อยยิ่งมีค่า ถ้างั้นมันจะประสบผลสำเร็จได้ยังไงกัน” โหยวเสี่ยวโม่สงสัยในสิ่งที่เขาพูด
ฟางเฉินเล่อั์ตาอมยิ้ม ไม่รู้สึกแปลกใจกับคำถาม “ศิษย์น้อง เ้ารู้ไหม ว่าสิ่งของทุกอย่างล้วนมีดีเลวต่างกัน”
โหยวเสี่ยวโม่ครุ่นคิดชั่วเสี้ยววินาที ดวงตาพลันเป็ประกาย “หรือว่า จะเกี่ยวกับคุณภาพของยาเซียนตัน?”
“ถูกต้อง คิดได้เร็วแบบนี้ ดูท่าว่าศิษย์น้องก็พอจะฉลาดเฉลียวพอสมควร”
ฟางเฉินเล่อผงกหัวอย่างพอใจ ที่ชมเขานั้นก็เพราะว่าคำถามนี้ เขาได้ถามศิษย์คนอื่นๆ แต่ไม่มีใครตอบสนองได้เร็วเช่นเขา
โหยวเสี่ยวโม่หูแดงระเรื่อจนต้องก้มหน้า ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เขาพูดไม่ได้ว่าเขามาจากยุคปัจจุบัน ถึงได้ไวต่อคำถามเช่นนี้ เพราะปัจจุบันสินค้าที่มีปัญหาเื่คุณภาพนั้นเยอะแยะ บางคนกังวลว่าจะซื้อถูกของปลอมถึงขั้นต้องวิจัย เช่น ตัวเขาเอง
“ยาเซียนตันที่คุณภาพดีเลวนั้นจะตัดสินโดยหญ้าเซียนที่ใช้ หากว่าหญ้าเซียนที่ปลูกนั้นไร้คุณภาพ งั้นยาเซียนตันที่ถูกหลอมออกมาก็จะถูกกดราคา ฉะนั้นคุณภาพของยาเซียนตันก็จะถูกแบ่งออกเป็สามแบบ คือ คุณภาพระดับต่ำ ปานกลาง สูง ที่ราคาดีก็จะเป็แบบคุณภาพสูง”
“เป็เช่นนี้เอง” โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งผ่านสมอง ยังไม่ทันนึกออกมันก็หายแวบไป
ความรู้สึกของเขาบอกว่ามันเป็เื่ที่สำคัญมาก แต่เขานึกเท่าไรก็นึกไม่ออก จนถึงตอนจบคาบเรียนวันนี้ ขณะที่เดินกลับห้อง ก็ส่งเสียงดังขึ้น ‘อ้อ!’
“หรือว่าจะเป็เ้านั่นที่เห็นตอนเช้า”