พอได้ยินอาจารย์เฟิงเสวียนถามเื่คัมภีร์เฉวียนหลิงขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นกลับหลบสายตาไปทางอื่น “ศิษย์ไม่เคยเรียนสิ่งที่อยู่ข้างใน”
“โกหกพกลมทั้งเพ!” อาจารย์เฟิงเสวียนเบิกตาโตจ้องเขม็งไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “เมื่อวานนี้เ้าใช้วิธีรวมพลังลมปราณในคัมภีร์เฉวียนหลิง เ้าอาจหาข้ออ้างหลอกคนอื่นได้ แต่คิดว่าจะตบตาข้าได้สิน่ะ”
“เร็วเข้า รีบบอกออกมา เ้าไปเรียนรู้มาได้ยังไง?”
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจที่ถูกอาจารย์เฟิงเสวียนซักไซร้และสงสัยในตัวนาง จนกระทั่งจิตใจของนางรำคาญแสนทน “อ่านจากคัมภีร์และฝึกฝนเอาเอง!”
“อ่านจากคัมภีร์?” อาจารย์เฟิงเสวียนยืนขึ้น พุ่งตัวเข้ามาประชิดมู่อวิ๋นจิ่น “คัมภีร์เล่มนั้นเสาะหาจนพบแล้วเหรอ?”
“ดูเหมือนอาจารย์คุ้นเคยกับคัมภีร์เฉวียนหลิง?” มู่อวิ๋นจิ่นย้อนถามกลับ โดยเลือกไม่ตอบ
อาจารย์เฟิงเสวียนได้ยินได้ฟังเอาแต่ถอนหายใจ “คัมภีร์เล่มนี้สูญหายเป็เวลานานแล้ว สิบปีก่อนถูกอาจารย์คงซื่อเก็บได้โดยบังเอิญ และอยู่กับเขามาโดยตลอด หลายปีมานี้คนในใต้หล้าต่างเสาะหาคัมภีร์ ต่างกันไปท้าประลองที่วัดสุ่ยอวิ๋น แต่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ต่อมาอาจารย์คงซื่อละสังขาร จากนั้นไม่มีผู้ใดทราบข่าวเกี่ยวกับคัมภีร์อีกเลย……”
“ทว่าเ้ากลับไปพบคัมภีร์ได้ที่ไหน?”
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือกอดอก ครุ่นคิดแล้วว่าเื่นี้ก็ไม่ใช่เื่ลับมากมายอะไร จึงเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นที่แย่งคัมภีร์มาจากเหวินหย่วนและิหย่วนที่วัดสุ่ยอวิ๋น
“คัมภีร์เล่มนั้น ศิษย์ได้เปิดดูคร่าวๆ จากนั้นฉู่ลี่บอกว่าไม่ใช่สิ่งที่ดี ข้าจึงโยนให้เข้ากองไฟเผาเป็จุนไปแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเล่าออกมา
แน่นอนว่า นางไม่ได้ปริปากถึงเื่ที่นางแอบวาดรูปกระบวนท่าลงในอาภรณ์คลุมตัวให้อาจารย์เฟิงเสวียนฟัง อย่างไรเสียนางกับชายชราผู้นี้ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น คนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจ
อาจารย์เฟิงเสวียนได้ยินว่าเผาคัมภีร์ไปแล้ว สีหน้ากลับดูดีขึ้นไม่น้อย “ไหนเ้าบอกว่าเปิดดูคร่าวๆ ก็สามารถจดจำกระบวนท่าในนั้นได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นฟังแล้วรู้สึกมีนัยยะแฝง จึงยู่ปากตอบไปว่า “แน่นอนว่าๆชไม่ได้ดูแล้วสามารถจำได้เลย!”
“ฮ่าๆๆๆ คิดแล้วใช้ นางหนูอย่างเ้าคงไม่มีความสามารถล้ำลึกขนาดนั้น!” อาจารย์เฟิงเสวียนเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดเป็ยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว
มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาโตใส่อาจารย์เฟิงเสวียน “ไม่ได้บอกว่าจะสอนวิชาขับิญญาดอกบัวดำให้หรอกหรือ?”
“สอนสิ เ้านั่งลงแล้วรวมพลังลมปราณ ข้าจะได้ดูว่าวรยุทธ์ที่เ้ามีอยู่ระดับไหน”
“ถ้าเ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจะรับเ้าเป็ศิษย์เอก ถ่ายทอดสรรพวิชาทั้งหมดให้กับเ้า เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีคนสืบทอดวิชาของข้าต่อไป……”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักงัน หรี่ตามองอาจารย์เฟิงเสวียนเห็นเขาสีหน้าเศร้าสร้อย แววตาแฝงด้วยความโดดเดี่ยวภายใน
ชายชราผู้นี้ ช่างน่าแปลกพิลึกเชียว!
……
“ละทิ้งความกังวลทั้งหมด กายาและจิตใจเป็หนึ่งเดียว พลังลมปราณรวมที่จักรา ”
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น อาจารย์เฟิงเสวียนเดินอ้อมไปนั่งลงด้านหลัง ยกฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่ายคาถาผนึกกำลังด้านหลังนาง
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามทำตามที่อาจารย์เฟิงเสวียนบอก แต่ไม่รู้เหตุใดจิตใจของนางฟุ้งซ่านหรือด้วยสาเหตุอื่น พลังลมปราณในตัวกลับพลุ่งพล่านขึ้นลงไม่ยอมรวมเป็หนึ่ง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด อาจารย์เฟิงเสวียนดูออกว่ามู่อวิ๋นจิ่นมิอาจรวมพลังลมปราณได้ จึงเอ่ยอย่างถอนใจ “วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ในเมื่อจิตใจของเ้ามิอาจรวมได้ก็อย่าฝืนต่อไปเลย”
“ศิษย์……” มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อนางลุกลืมตาได้หันกลับไปพูดว่า “เช่นนั้นศิษย์ขอตัวกลับไปคิดหาวิธีทำให้ได้ก่อน”
“อืม ไปเถอะ” อาจารย์เฟิงเสวียนตอบโดยไม่รั้งไว้
เมื่อเดินออกจากเรือนมุงจาก มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินกลับไปทางที่มา เห็นรถม้าสีดำจอดรออยู่ตรงนั้น
“พระชายาเสร็จแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ?” ติงเซี่ยนที่นั่งอยู่ ยกมือขึ้นมาคำนวณเวลาใช้เพียงหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้นเอง
“ข้าทำไม่ได้ ชายชรานั่นจึงให้กลับไปทบทวน” มู่อวิ๋นจิ่นเดินขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ติงเซี่ยนถึงกับอึ้งจนมิกล้าพูดสิ่งใด ได้แต่บังคับรถม้ากลับโรงเตี๊ยม
ระหว่างทางกลับ มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่นั่งพิงพนัก ปิดตาลงทั้งสองข้างพยายามรวบรวมกำลังให้จิตใจสงบ ในโสตประสาทมีเพียงเสียงของอาจารย์เฟิงเสวียนที่วนเวียน
“พระชายาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไม่รู้ว่าติงเซี่ยนบังคับรถม้ามานานเท่าไหร่ จู่ๆ ก็กลับมาถึงแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงมาด้านล่างเห็นรถม้าจอดหยุดลงหน้าประตูโรงเตี๊ยมลวี่อิน
มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไป กระนั้นหางตาเ้ากรรมกลับเหล่มองไปที่ประตูหอบุหลัน เห็นลี่เหนียงยืนรับต้อนรับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินขึ้นมาห้องพักชั้นสอง พอผลักประตูเข้าไปเห็นฉู่ลี่นั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอุรา
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปนั่งด้านข้าง ยกน้ำชาขึ้นดื่มสามแก้วรวด จึงรู้สึกหายใจหายคอโล่งหน่อย
“ทำไมต้องรีบดื่มขนาดนี้ด้วย?” ฉู่ลี่เห็นนางเหมือนเสียพลังไปไม่น้อย
“ข้างนอกร้อนมากเหลือเกิน” มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือหยิบของว่างเข้าปากอยู่หลายชิ้น
ฉู่ลี่เห็นสภาพของนางตกอยุ่ในสภาพนี้ จึงเลือกไม่ถามถึงสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาในวันนี้
ในเมื่อฉู่ลี่ไม่ถาม มู่อวิ๋นจิ่นกลับเล่าขึ้นมาด้วยเองโดยไม่ต้องให้เอ่ยปาก “”ทำยังไงดี ดูเหมือนว่าข้าจะเรียนวิชาทำลายิญญาดอกบัวไม่ได้……
“ไม่ต้องรีบร้อนไป” ฉู่ลี่ไม่เคยเห็นนางเอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่าทำไม่ได้
“ชายชรานั่นดูเหมือนมีความสามารถพอตัวอยู่” มู่อวิ๋นจิ่นยื่นขนมว่างเข้าปาก พลางเคี้ยวหนึบหนับ
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น ติงเซี่ยนที่อยู่ด้านนอกได้เคาะประตูเสียงเบาขึ้นมา
“เข้ามาได้”
ประตูห้องถูกติงเซี่ยนเปิดออก จากนั้นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้เด็กคนหนึ่ง
สาวใช้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาทำความเคารพใกล้ๆ ฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่น “บ่าวชื่อว่าเถาไหว คารวะองค์ชายหก คารวะพระชายาหกเพคะ”
“ตามสบาย” ฉู่ลี่เอ่ย
“บ่าวได้รับคำสั่งจากท่านเ้าเมืองให้มาเชิญองค์ชายหกและพระชายาหก ไปร่วมทานอาหารเลิศรสที่จวนท่านเ้าเมืองเพคะ” เถาไหวเอ่ย
พอรู้ว่าฉวีซินเหยาเชิญไปทานอาหารเลิศรสที่จวน มู่อวิ๋นจิ่นยังรู้สึกฉงนใจครุ่นคิดอยู่ ทว่าฉู่ลี่กลับตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว
พอเถาไหวกลับไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นจ้องฉู่ลี่อย่างงงงวย “ฉวีซินเหยาผู้นั้นดูเป็คนเข้าถึงยาก เหตุใดยังเชิญพวกเราไปทานอาหารเลิศรส อาจมีแผลบางอย่างซ่อนไว้?”
“ไม่หรอก” ฉู่ลี่ตอบอย่างมั่นใจ
มู่อวิ๋นจิ่นมองด้วยความแปลกใจ “หรือว่าฉวีซินเหยาจะว่ายวานให้เ้าช่วยเหลือ?”
ฉู่ลี่ส่ายหน้าเป็การปฏิเสธ
……
เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้าไป ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นเดินทางไปที่จวนฉวีของท่านเ้าเมือง พอเดินลงจากรถม้าติงเซี่ยนยื่นโคมไฟนำทางที่เตรียมไว้มามอบให้
“ติงเซี่ยน ข้าไม่ต้องใช้โคมไฟนำทาง ที่นี่ยังพอสว่างอยู่ หากถือเข้าไปคนอื่นอาจสงสัยเอาได้” มู่อวิ๋นจิ่นสั่งการ
ติงเซี่ยนอ้ำอึ้งเหลือบมองฉู่ลี่ เห็นฉู่ลี่พยักหน้าให้
เมื่อเดินก้าวขึ้นบันได้หน้าจวนฉวี มู่อวิ๋นจิ่นดึงฉู่ลี่เข้ามาใกล้ตัว ส่งเสียงเเผ่วเบาขึ้นว่า “เ้าเดินช้าหน่อย มีเื่ใดเกิดขึ้น ข้าจะปกป้องเ้าเอง!”
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ปกป้อง” มู่อวิ๋นจิ่นแสดงใบหน้าที่เปลี่ยนด้วยความมั่นใจ และหยิ่งผยองถึงความสามารถที่สูงส่งของนาง
ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้น พลางตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ขาของเปิ่นกงจื่อไม่ได้เป็ง่อยเสียหน่อย!”
“แต่สายตาของเ้ามองไม่เห็นในที่มืด……”
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยจากจิตใต้สำนึกโดยไม่ยั้งคิด พอนึกขึ้นได้นางรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเองทันที พาฉู่ลี่เดินไปอย่างระวัง
ฉู่ลี่เห็นแววตาที่หยิ่งผยองของนาง จึงรีบเดินนำหน้าไปก่อนโดยไม่สนใจ
“นี่ เดี๋ยวก่อน!!!” มู่อวิ๋นจิ่นสาวเท้าไล่ตามอย่างว่องไว
ติงเซี่ยนที่เดินตามด้านหลัง ได้แต่ส่ายหน้าอย่างถอดใจ เมื่อก่อนองค์ชายโกรธจะไม่เคยแสดงสีหน้าออกมา บัดนี้อารมณ์ดีใจ เสียใจ ล้วนเห็นอย่างเด่นชัด
คุณหนูสามมู่ผู้นี้ มีความสามารถล้ำเลิศเสียจริง!!!
เมื่อเดินเข้าไปที่ห้องโถงรับรอง ฉวีซินเหยายังคงสวมอาภรณ์ในชุดแดงเหมือนครั้งก่อน ใบหน้ายังคงงดงามเช่นเดิม พอเห็นฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นเดินหน้าเดินหลัง จึงยิ้มต้อนรับอย่างไม่เก้อเขิน
ในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็เดินมาข้างกายฉู่ลี่ ระหว่างที่จะก้าวข้ามธรณีประตู สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นกลับจับจ้องไปที่ปิ่นหยกรูปดอกเหมยบนศีรษะของฉวีซินเหยาโดยมิได้ตั้งใจ
ปิ่นชิ้นนี้ไม่ได้ถูกโยนออกหน้าต่างไปแล้วมิใช่หรอกหรือ?
หรือว่า……
เก็บกลับมาใหม่แล้ว……
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก หันไปพยักหน้าทักทายฉวีซินเหยา
บนโต๊ะอาหารค่ำในค่ำคืนนี้
“วันนี้ได้รับเกียรติจากองค์ชายหกและพระชายาหกมาเยือนถึงที่จวน เช่นนั้น อาหารเลิศรสเบื้องหน้า ท่านทั้งสองพออกพอใจไหมเพคะ?” ฉวีซินเหยาถามขึ้น
ฉู่ลี่พยักหน้าเล็กน้อย เอื้อมมือซ้ายไปกระตุกชายเสื้อมู่อวิ๋นจิ่น
ระหว่างที่รับประทานอาหารเลิศรสอยู่นั้น สายตาของฉู่ลี่กลับจับจ้องไปที่อื่น จนดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเช่นนั้นรีบหันไปยิ้มให้ฉวีซินเหยา “ท่านเ้าเมืองฉวีลำบากแล้ว เป็พวกเราสองคนต่างหากที่มารบกวน”
ฉวีซินเหยายิ้มจางๆ “ถ้าอย่างนั้นทานให้เยอะนะเพคะ เถาไหวรีบรินสุราให้องค์ชายหกกับพระชายาหกเร็วเข้า”
“ได้เ้าค่ะ”
เมื่อรินสุราเป็ที่เรียบร้อย ฉวีซินเหยายกแก้วขึ้นมาจิบ พร้อมกับเหลือบตามองฉู่ลี่ “องค์ชายหก วันนี้เป็วันดี ถือโอกาสนี้เล่าเื่ของสวี่เหออวี๋ให้ฟังหน่อยได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินชื่อสวี่เหออวี๋ขึ้นมา มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกอยากรู้จนคันปากยิบๆ ไปหมด
“เ้าอยากรู้เื่อะไรของเขา?” ฉู่ลี่มองไปที่ฉวีซินเหยา
“องค์ชายก็ทราบดี หลายปีมานี้ เขาหลบหน้าหลบตาไม่เต็มใจพบหน้าหม่อมฉัน แต่กลับส่งของขวัญมาอยู่ตลอดมิขาด หม่อมฉันจึงอยากทราบสาเหตุที่เขาทำแบบนี้เพื่ออะไรเพคะ” ฉวีซินเหยายื่นมือขึ้นหยิบปิ่นหยกรูปดอกเหมยบนศีรษะมาถือไว้ในมือ
“เื่นี้ เ้าไปถามเขาเองน่าจะเหมาะสมกว่า” ฉู่ลี่ตอบกลับ
ฉวีซินเหยาได้ฟังแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “ถ้าหม่อมฉันได้พบหน้าเขา จะถามองค์ชายไปใยละเ้าคะ?”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนจิตใจยากคาดเดาอย่างสวี่เหออวี๋เลย”
หลังจากนั้นฉวีซินเหยาหันมามองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พระชายาหกต้องคว้าใจขององค์ชายข้างกายเอาไว้ให้อยู่หมัดนะเ้าค่ะ ในใต้หล้าแห่งนี้มีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกันอยู่ ที่สำคัญพระชายาอย่าเปิดโอกาสให้คนไม่ดี เข้ามาอาศัยจังหวะได้นะเ้าค่ะ”
“อ๋อ คนชั่วที่หม่อมฉันหมายถึง นั่นก็คือคนตระกูลฉิน……”