คลื่นสงัดลมสงบตลอดทั้งคืน เฉกเช่นเดียวกับคืนก่อนจะมีกระแสน้ำพัดมา มันจะเงียบสงบผิดปกติ
รุ่งอรุณวันต่อมา เหยียนอู๋อวี้ยังคงอยู่ในห้วงความฝัน ทว่าจู่ๆ กลับมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนเดินเข้าจากด้านนอก
นางลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ได้ยินป้าโฉ่วบอกนางตามที่คาดไว้ “เช้านี้ฆาตกรตัวจริงที่วางยาพิษถูกจับแล้วเ้าค่ะ”
“เป็ลี่เจาอี๋กระมัง!” เสียงของนางนุ่มนวลราวกับคาดการณ์ไว้นานแล้ว
“เ้าค่ะ”
ป้าโฉ่วเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย ในวังหลวงมีพวกปากหวานก้นเปรี้ยวไม่น้อย ได้ยินมาว่าบ่าวรับใช้หญิงผู้หนึ่งของลี่เจาอี๋กระทำความผิดได้รับโทษ นางเปิดเผยเื่ลับต่างๆ นานาในชีวิตประจำวันของลี่เจาอี๋ภายใต้ความขุ่นเคือง เต๋อเฟยพาคนไปสอบสวน ไม่เพียงค้นเจอหลักฐานการกระทำความผิดเท่านั้น ทว่ายังพบขวดและกระปุกจำนวนหนึ่งจากช่องลับอีกด้วย ่นี้เื่ในวังหลวงไม่สงบ เต๋อเฟยจึงส่งคนมาตรวจสอบทันที ไม่คาดคิดว่าจะได้รู้ความจริงว่ามียาพิษที่ทำให้ถงซิ่วหนี่ว์ถึงแก่กรรมผสมอยู่ในนั้น แน่นอนว่าพบยาถอนพิษจากในขวดและกระปุกเ่าั้เช่นกัน
หากบริสุทธิ์ใจจริงๆ จะเปิดเผยทุกสิ่งอย่างถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ผู้ที่สายตาเฉียบแหลมต่างมองออกว่านี่คือการยัดของใส่ความ
ลี่เจาอี๋แก้ตัวไม่ได้ นางถูกปลดจากตำแหน่งเจาอี๋และถูกคุมขังไว้ในคุกหลวง
เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินเื่ราวเหล่านี้ นางพลันยกยิ้มมุมปากเย้ยหยัน นางรู้ดีว่า ฮวารั่วซีไม่มีทางทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน?
เกรงว่านางกำนัลผู้นั้นก็คงเป็หมากตัวหนึ่งที่นางเลี้ยงไว้ให้อยู่กับลี่เจาอี๋กระมัง “รู้แล้ว” เหยียนอู๋อวี้หลับตาลง แสดงออกว่ารับรู้และกำลังจะนอนต่อ
“คุณหนู ั้แ่เข้าวังมาท่านถูกพิษถึงสองครั้ง ร่างกายท่านไม่สู้ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว” แม้รู้ว่าไม่ควรเอ่ยเช่นนี้ ทว่าป้าโฉ่วก็ยังเอ่ยออกมา
เหลือเวลาไม่มากแล้ว? ทว่านางกลับไม่เก็บมาใส่ใจ มุมปากเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เดิมคนตายก็ไม่มีเวลาอยู่แล้ว ช่วยข้าสังเกตการเคลื่อนไหวของซ่งอี้เฉินหน่อย”
“เ้าค่ะ……”
นางได้ยินเพียงเสียงปิดประตู ภายในห้องกลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
เนื่องจากเื่การถูกพิษในครั้งนี้เกี่ยวพันกันอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งซูเฟยยังมีส่วนเกี่ยวข้อง เื่จึงสั่นะเืฝ่ายราชสำนักอย่างเลี่ยงไม่ได้
ในยามที่ทุกคนในตระกูลเซียวรู้เื่นี้ก็อดรู้สึกภัยอันตรายไม่ได้เช่นกัน ทว่าซ่งอี้เฉินแสดงท่าทีประหนึ่งไม่รู้ว่าลี่เจาอี๋เป็คนในตระกูลเซียว จึงยังไม่ได้ดำเนินการอันใดกับตระกูลเซียว
ทว่ายิ่งเป็เช่นนี้กลับยิ่งทำให้คนกระวนกระวายใจ
หากเกิดเื่กับลี่เจาอี๋ ตระกูลเซียวคงต้องเกลียดชังนางอย่างแน่นอน
ฮวารั่วซีวางแผนได้เด็ดขาดนัก คิดแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
ตำหนักอีหลาน! เหยียนอู๋อวี้มีความคิดอยากไปดูว่าเกิดอันใดขึ้นทันที
ในฐานะที่ตระกูลเซียวเป็ขุนนางในราชสำนักที่มีรากฐานมั่นคง แม้เทียบไม่ได้กับตระกูลอวิ๋น ทว่าก็เป็ตระกูลที่ไม่เล็ก หากช่วยลี่เจาอี๋พลิกคดีได้ ฝั่งนั้นจะต้องติดหนี้บุญคุณนางอย่างแน่นอน
ยามเว่ยสามเค่อ[1] ด้านนอกวังหลวงไกลออกไป เห็นเพียงเว่ยหรูไห่เดินนำหน้าขันทีจำนวนไม่น้อย ในมือของแต่ละคนต่างถือของกำนัล
ที่เหลือกลับไม่มีอันใดมากนัก เพียงแค่ไข่มุกล้ำค่าสามเม็ดมูลค่ามหาศาลเท่านั้น
รวมทั้งสิ้นก็สิบเม็ด ทั้งหมดอยู่ในวังหลวง ห้าเม็ดอยู่ในมือฮวารั่วซี สามเม็ดอยู่ในมือเหยียนอู๋อวี้
ว่ากันตามเหตุผล อีกสองเม็ดควรอยู่ในท้องพระคลังถึงจะถูก ทว่ามีน้อยคนที่รู้ว่าบนมงกุฎของอวิ๋นอู๋เหยียนในปีนั้นก็มีอีกหนึ่งเม็ด
ขณะที่เหยียนอู๋อวี้มองไข่มุกล้ำค่าในมือ นางรู้ชัดเจนว่าวันนั้นฮวารั่วซีใช้ไข่มุกล้ำค่าเพียงสองเม็ด นางจงใจใส่เม็ดที่เหลือไว้บนตัวองครักษ์
“ฝ่าาตรัสว่าวันนี้มีพระราชกรณีกิจรัดตัว ทรงมิได้มาที่ตำหนักหลังแล้ว” เว่ยหรูไห่ฝากประโยคนี้ไว้อย่างนอบน้อมก่อนรีบร้อนจากไป
สำหรับเหยียนอู๋อวี้แล้วนี่ถือว่าเป็ข่าวดี ไม่มาก็ดี นางจะได้เจียดเวลาไปดูสักหน่อยว่าตำหนักอีหลานมีเบาะแสใดหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เหยียนอู๋อวี้พลันเอ่ยกำชับป้าโฉ่วที่อยู่ด้านข้างเสียงเบา
“มีข่าวลือว่าขนมดอกท้อในเมืองหลวงรสชาติดียิ่งนัก เ้าออกนอกวังไปซื้อกลับมาให้ข้าสักหน่อยเถิด”
นางเอ่ยพลางมอบป้ายอาญาสิทธิ์บนตัวให้ป้าโฉ่ว และยังจับมือป้าโฉ่วพร้อมเน้นว่า “เ้าไปด้วยตนเอง!”
ป้าโฉ่วนึกสงสัย นางก้มหน้ามองป้ายอาญาสิทธิ์ เห็นเพียงแค่้ามีข้อความเล็กๆ เท่านั้น
“เ้าค่ะ”
ป้าโฉ่วออกจากวังไปแล้ว ข้างกายเหยียนอู๋อวี้จึงเหลือเพียงซูอิ่งผู้เดียว
นางทิ้งบ่าวรับใช้ข้างกายก่อนหมุนกายเดินเข้าไปในตำหนัก
เมื่อประตูตำหนักปิดลง นางเลี้ยวเดินไปทางตู้เสื้อผ้าด้านข้าง หยิบหมอนสองใบจากด้านในออกมาวางบนเตียง ทำเป็เหมือนว่าคนในห้องกำลังหลับสนิท จากนั้นเปลี่ยนอาภรณ์เป็ชุดนางกำนัลสีชมพู ทาชาดและทาแป้งปกปิดใบหน้าตนเองเล็กน้อยแล้วจึงออกไปทางหน้าต่าง
ตามเส้นทางในความทรงจำ นางเลือกเส้นทางที่ค่อนข้างใกล้เส้นทางหนึ่ง
เนื่องจากกลัวว่าจะถูกคนจำได้ นางจึงเดินก้มหน้าไปตลอดทาง
ไม่คาดคิดเลยว่าเดินไม่ทันระวังชนเข้ากับคนที่เดินมาจากฝังตรงข้ามเข้าอย่างจัง
“บ่าวผู้นี้บังอาจนัก ไม่มีตาหรืออย่างไร?” ขันทีเอ่ยตำหนิเสียงสูง
“บ่าว......บ่าวมิได้ตั้งใจเ้าค่ะ” เหยียนอู๋อวี้ดัดเสียงเล็กน้อยก่อนจะคุกเข่าลงข้างทางพลางเอ่ยขอความเมตตาเสียงเอื่อย
แม้นางมีท่าทีจริงใจ ทว่าขันทีกลับไม่คิดสนใจ อย่างไรก็เดินผ่านทั้งทีคงต้องจัดการสักหน่อย อย่างไรเสียเ้านายก็คือเ้านาย! ทันใดนั้นพลันเกิดความคิดขึ้นในใจ เตรียมฟาดฝ่ามือลงมาบนร่างของเหยียนอู๋อวี้
เหยียนอู๋อวี้ััได้ถึงแรงลมเข้าปะทะจึงหลับตาลงทันที เตือนสติตนเองว่าอย่าต่อต้าน
ขณะที่ฝ่ามือนั้นใกล้ฟาดลงมาบนร่างนาง จู่ๆ กลับมีมืออีกคู่หนึ่งบีบมือขันทีเอาไว้ทันเวลา
“ชอบดุด่าทุบตีเหมาะสมอย่างไรหรือ?” เสียงที่อ่อนโยนนี้คล้ายจะล่องลอยเข้าไปในใจของผู้คนที่ได้ยิน
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ” ขันทีเอ่ยเสียงแ่ พลางพ่นน้ำลายไปทางเหยียนอู๋อวี้ นับเป็โชคดีของเ้า ก่อนจะนำทางบุรุษผู้นั้นเดินเข้าไปในวัง
เมื่อเสียงฝีเท้าเดินไปได้ไกลพอสมควร เหยียนอู๋อวี้จึงลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองไปเห็นทันเพียงแผ่นหลังสีขาวเท่านั้น
เหตุใดในตำหนักหลังจึงมีบุรุษได้? นางนึกสงสัยอยู่ในใจ ยามที่ฝ่าาขึ้นครองราชย์ พระเชษฐาและพระอนุชาทุกพระองค์ต่างได้แบ่งศักดินาแยกย้ายออกไปแล้ว
นางระงับความสงสัยในใจพลางเดินไปทางตำหนักของลี่เจาอี๋ต่อ ทว่ากลับไม่รู้ว่าเื้ัมีแววตาคู่หนึ่งหยุดอยู่บนร่างของนาง
ตำหนักอีหลานไม่นับว่าเป็ตำหนักที่ค่อนข้างดีนักในบรรดาตำหนักทั้งหลาย ตั้งอยู่จุดที่ค่อนข้างห่างไกล ทว่าสถานที่แห่งนี้มีทิวทัศน์งดงาม มีพืชพันธุ์มากมาย
ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ทำให้เหยียนอู๋อวี้มีโอกาสหลบซ่อนและเข้าสู่ตำหนักได้อย่างง่ายดาย
กลิ่นอำพันเย็นสบายยังคงหลงเหลืออยู่ในตำหนัก ปิ่นมุกบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ยังไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อยแสดงให้เห็นว่ายามที่เกิดเื่นั้นเ้าของตื่นตระหนกมากเพียงใด
นางกวาดสายตามองภายในห้อง ครู่เดียวพลันเห็นที่ซ่อนลับข้างผนัง เนื่องจากเข้ามาค้นหาสิ่งของจึงไม่มีผู้ใดสนใจไปขยับมันอีกจึงได้เปิดค้างไว้เช่นนี้
เหยียนอู๋อวี้ยื่นมือเข้าไปััฝุ่นภายในช่องลับนั้น
หากที่นี่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ก็ควรจะไม่มีฝุ่นจับเช่นนี้สิ!
ในนี้มีความลับซ่อนอยู่จริงอย่างที่คาดไว้! เหยียนอู๋อวี้ที่พอจะเข้าใจบางสิ่งแล้วจึงลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
นางไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่หมุนกายกลับหันไปชนเข้ากับเชิงเทียนด้านข้างพอดี นางตื่นตระหนก รีบคว้าเชิงเทียนด้วยสายตาเฉียบคมพร้อมกับมือที่ว่องไว ขณะที่กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้ามเทียนที่อยู่บนเชิงเทียนพลันตกลงพื้น
ตุก ตุก ตุก...… เสียงเบาๆ ดึงดูดความสนใจขององครักษ์ที่อยู่นอกตำหนักอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเพียงเสียงพูดดังลั่นข้างนอก “ผู้ใด?”
เชิงอรรถ
[1] ยามเว่ยสามเค่อ ‘ยามเว่ย’ คือ่เวลาประมาณ 13.00-15.00 และ ‘เค่อ’ 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้