เมื่อเห็นบะหมี่บนโต๊ะอาหาร ซ่งอวี้รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านเอาบะหมี่มาจากที่ใด?”
หลี่เฉิงยิ้ม “ข้าขอยืมมาจากคนอื่นน่ะ”
“ผู้ใดให้ท่านยืมกัน?” ซ่งอวี้ถามด้วยความสงสัย
หลี่เฉิงยืนตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ
“เ้าดูสิ ข้ามีรูปโฉมหล่อเหลาเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ให้ข้ายืมกันเล่า?”
ซ่งอวี้หัวเราะ “หึๆ” นางรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ มองใบหน้าหลี่เฉิงอย่างพิจารณา ทะเลสาบกลางหัวใจของนางกระเพื่อมเล็กน้อย ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งนัก คิ้วทรงกระบี่ ดวงตาทอประกายระยิบระยับราวกับมวลหมู่ดารา จมูกเป็สัน แววตาลุ่มลึก หากอยู่ในยุคปัจจุบัน คงเป็หนุ่มน้อยที่ได้รับความนิยมอย่างไม่มีปัญหา
หลี่เฉิงเห็นนางมองตนจนเหม่อลอย รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันสดใสยิ่งกว่าเดิม “ทำไมหรือ เ้าเองก็รู้สึกว่าข้ามีใบหน้าหล่อเหลาชวนตกตะลึงเช่นกัน ใช่หรือไม่?”
“ท่านไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย” ซ่งอวี้หัวเราะ แล้วก้มหน้าก้มตากินบะหมี่
ส่วนเขานั่งตรงข้ามนาง มองดูนางกินบะหมี่เงียบๆ
เมื่อกินบะหมี่เสร็จก็ดึกมากแล้ว ควรจะเข้านอนได้เสียที ขณะที่ซ่งอวี้กำลังจะปูผ้านอนบนพื้น หลี่เฉิงก็ห้ามปราม “เ้าเพิ่งหายป่วย ไม่อาจนอนบนพื้นอีก”
“ท่านเองก็ไม่อาจนอนบนพื้นได้เช่นเดียวกัน” ทางด้านซ่งอวี้ก็พูดจาหนักแน่น นางต้องเปลืองแรงอย่างมากกว่าาแของเขาจะหาย
“ข้าไม่นอนบนพื้น เ้าก็ไม่นอนบนพื้น” หลี่เฉิงว่า
ไม่นอนบนพื้นทั้งสองคนแล้วจะนอนอย่างไร หรือว่านอนบนเตียงเดียวกัน? เมื่อคิดถึงความเป็ไปได้ข้อนี้ ดวงหน้าของซ่งอวี้ก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที ชายหญิงนอนหลับบนเตียงเดียวกัน ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง...
หลี่เฉิงหยิบหมอนมาวางกั้นตรงกลางเตียง “เ้าและข้านอนคนละด้าน ใช้หมอนกั้นกลาง เ้าน่าจะวางใจได้แล้วกระมัง?”
เห็นเขาพูดด้วยความจริงใจ ซ่งอวี้จึงรับไว้ด้วยความใจกว้าง “ได้ พวกเรานอนคนละด้าน”
ทั้งสองแปรงฟันอาบน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยมีหมอนกั้นกลาง
แม้ซ่งอวี้จะนอนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แต่เมื่อล้มตัวลงนอนข้างกายเขาขึ้นมาจริงๆ หัวใจดวงเล็กของนางพลันเต้นแรง นางนอนไม่หลับจึงพลิกตัวไปมา
คล้ายว่าหลี่เฉิงเองก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกัน เขาพลิกตัวมามองหน้านาง “ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล พวกเรามานอนคุยกันดีหรือไม่?”
ซ่งอวี้กะพริบตาปริบๆ “คุยเื่อะไรหรือเ้าคะ?”
“เ้าอยากฟังเื่อะไร?”
“ข้าไม่เคยออกไปจากหมู่บ้านเสี่ยวหนิวมาก่อน ข้าอยากรู้ว่าโลกภายนอกเป็เช่นไร”
“ได้ ข้าจะเล่าให้เ้าฟัง”
หลี่เฉิงเริ่มเล่าเื่สนุกๆ และวัฒนธรรมของผู้คนตอนที่เขาออกท่องโลก ตอนแรกซ่งอวี้ฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่นานหนังตาของนางก็เริ่มหนัก จากนั้นก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลี่เฉิงเห็นเช่นนั้นจึงหยุดเล่า สายตาของเขาจับจ้องดวงหน้าของนาง คิ้วของนางราวกับภาพวาด ยามนางหลับตาพริ้มงดงามยิ่งนัก เพียงแค่คิดว่าอีกไม่กี่วันเมื่อเยี่ยสุยกลับมา เขาต้องไปจากที่นี่ ไปจากนาง ความอาวรณ์พลันก่อตัวขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ...
หลังจากนอนหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน เช้าวันที่สองซ่งอวี้ตื่นเพราะเสียงโวยวายด้านนอก
นางสวมใส่เสื้อผ้าแล้วเดินไปที่ประตู เห็นชาวบ้านยกเตียงออกมาจากเรือนของเพื่อนบ้าน มีหวังกุ้ยนอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาซีดขาว นอนขดตัว คล้ายเ็ปยิ่งนัก เฉินต้าฮวาติดตามอยู่ข้างๆ นางร้องห่มร้องไห้จนน้ำตานองหน้า
พวกเขาออกไปด้วยความรีบร้อน ซ่งอวี้เห็นหวังเอ้อร์โก่วบุตรชายของหวังกุ้ยยืนร้องไห้ที่หน้าประตู จึงโบกมือร้องเรียกเขา
เมื่อหวังเอ้อร์โก่วเดินมาหา ซ่งอวี้จึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเ้า?”
“เมื่อคืนท่านพ่อไปดื่มสุราที่เรือนท่านลุง เมื่อกลับมาก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย สุดท้ายตอนกลางคืนท่านพ่อปวดท้อง ปวดตลอดทั้งคืน เช้าวันนี้ถึงกับลุกไม่ขึ้น” หวังเอ้อร์โก่วพูดแล้วเช็ดน้ำตา
ซ่งอวี้ใจเต้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด
ตอนกลางวัน ขณะที่ซ่งอวี้กำลังทำอาหารอยู่ที่ลานบ้าน นางได้ยินเสียงเฉินต้าฮวาร้องไห้โอดครวญด้วยความปวดใจ “ท่านพี่ ท่านตายไม่ได้ หากท่านตายแล้วข้ากับลูกจะอยู่อย่างไร!”
ซ่งอวี้ตักอาหารที่ผัดเสร็จแล้วใส่จาน เดินไปดูที่หน้าประตู นางเห็นหวังกุ้ยยังคงนอนอยู่บนเตียง หน้าเขียวและม่วงไปหมด ลมหายใจรวยริน
หญิงชราข้างๆ ที่มาดูเื่ครึกครื้นถอดถอนใจ “เฮ้อ อายุแค่นี้ก็ใกล้จะตายแล้ว ต้าฮวาช่างอาภัพยิ่งนัก”
ซ่งอวี้หักห้ามใจไม่ได้ อยากจะเดินไปถาม แต่เมื่อคิดถึงตอนที่หวังกุ้ยและเฉินต้าฮวารังแกตน นางจึงทำใจแข็งอีกครั้ง
คนพวกนี้สมควรแล้ว เหตุใดตนต้องไปยุ่งเื่ของผู้อื่นด้วย
คิดได้เช่นนี้จึงหมุนตัวหันหลัง นำอาหารที่ตักใส่จานกลับไปที่ห้อง ทว่าเวลานี้เองนางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายของหวังเอ้อร์โก่ว “ท่านพ่อ ท่านอย่าตายนะขอรับ ท่านพ่อ!”
เสียงของเด็กน้อยกระตุกหัวใจของนางอย่างแปลกพิกล ซ่งอวี้ไม่อาจหักห้ามใจได้ นางเดินออกไป เห็นหวังเอ้อร์โก่วคุกเข่าข้างหวังกุ้ย ร้องไห้น่าเวทนา หากหวังกุ้ยตาย เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็จะกลายเป็เหมือนเ้าของร่างเดิม อยู่อย่างโดดเดี่ยวและเศร้าโศก ถูกผู้คนรังแก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งอวี้จึงสาวเท้าเดินไปด้านหน้า ฝ่าฝูงชนไปยังข้างกายหวังกุ้ย
เฉินต้าฮวาซบอยู่ข้างกายหวังกุ้ย นางกรีดเสียงร้องด้วยความปวดใจ น้ำตารินไหลไม่หยุด ดวงตาแดงก่ำ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเศร้ายิ่งนัก
ซ่งอวี้ย่อตัวลงนั่ง แล้วคว้ามือขวาของหวังกุ้ยขึ้นมาเตรียมที่จะจับชีพจร แต่กลับถูกเฉินต้าฮวาผลัก ด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัว นางจึงล้มลงบนพื้น
“ถอยไป ห้ามแตะต้องหวังกุ้ยของข้า!” เฉินต้าฮวาตะคอกด้วยเสียงสะอึกสะอื้น