“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้? เื่นี้ไม่เกี่ยวกับความเป็ความตายสักหน่อย? ต่อให้ไม่สำเร็จหรือถูกจับได้เขาจะกล้าเอาชีวิตเ้าในจวนองค์รัชทายาทเชียวรึ?” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“หม่อมฉันคือคนของเตี้ยนเซี่ย ทั้งตัวและหัวใจล้วนเป็ขององค์รัชทายาทเพียงผู้เดียวหากถูกผู้อื่นแตะต้อง แม้เพียงปลายเล็บหม่อมฉันก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปเพคะ... หากต้องถูกเฉินอ๋องแตะต้องหม่อมฉันจะไม่ละอายต่อพระเมตตาที่เตี้ยนเซี่ยทรงมอบให้ได้อย่างไรเพคะ?”
“แม้หม่อมฉันจะเป็บุตรอนุ แต่ก็เป็ผู้ที่เคยร่ำเรียนในสำนักไท่เฉวให้ความสำคัญกับชื่อเสียงอันไร้มลทินของตนเป็อย่างมากยามมีชีวิตอยู่หม่อมฉันคือคนขององค์รัชทายาทหากตายหม่อมฉันก็เป็ิญญาขององค์รัชทายาท จะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องแม้แต่นิดเพคะ!ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดอภัยที่หม่อมฉันเอ่ยตามตรง ในจวนของเราไม่ใช่ว่าไม่มีเจี่ยเม่ยที่มาจากหอนางโลมพวกนางไม่ถือสา หวังว่าเตี้ยนเซี่ยจะไว้ชีวิตหม่อมฉันให้บรรดาเจี่ยเม่ยที่ไม่สนใจเื่เกียรติของตนไปทำเถิดเพคะ”
ขณะฉินอิ่งเยว่กล่าวได้โขกศีรษะลงบนพื้นอย่างแรกอีกหนึ่งหนนางโขกศีรษะลงบนพื้นหญ้าจริง โดยไม่ได้แสร้งทำขอไปทีแม้แต่นิด
องค์รัชทายาทเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปประคองนาง“เ้าคิดจริงจังเกินไปแล้ว แท้จริงแล้วแค่แสร้งทำให้พอเป็พิธีไม่ได้มีอะไรเสียหายอย่างแน่นอน...”
เมื่อเห็นหน้าผากของฉินอิ่งเยว่เืไหลองค์รัชทายาทคิดไปคิดมาจึงหมดความสนใจและไม่โน้มน้าวอีก
ผู้หญิงในจวนมีมากมาย เมื่อเ้าสามไม่หวั่นไหวด้วยตนเองยังมีวิธีทำให้เขาหวั่นไหวอยู่ไม่ใช่หรือ? การทำอะไรสักอย่างกับสุราหรือน้ำถือเป็เื่ที่ง่ายที่สุด
“ในเมื่อเ้าไม่ยินดีก็ช่างมันเถิด เ้ากลับไปก่อนให้เด็กรับใช้ไปเรียกท่านหมอมาตรวจาแสักหน่อย”
ขณะที่กล่าว คาดไม่ถึงว่าเขาจะลุกขึ้นเพื่อเดินจากไปจริงๆแสดงให้เห็นว่าหยุดความคิดนั้นไว้แต่เพียงเท่านี้โดยไม่คิดจะโน้มน้าวอีกและหมดความอดทน
ฉินอิ่งเยว่เห็นเช่นนี้จึงลุกขึ้นและรีบเรียกองค์รัชทายาทเอาไว้“เตี้ยนเซี่ย...”
“ยังมีเื่อะไรอีก?” องค์รัชทายาทหันกลับมาเอ่ยถาม
ฉินอิ่งเยว่ก้มหน้าลงและกำอาภรณ์ไว้แน่นท่าทางคล้ายกำลังกลัดกลุ้มใจยิ่งนัก ครู่หนึ่งกัดฟันตัดสินใจแล้วเอ่ย “เตี้ยนเซี่ยหม่อมฉันยินดีจะทำเพคะ”
องค์รัชทายาทดูออกว่านางไม่เต็มใจ จึงทำได้เพียงยิ้มพร้อมเอ่ย“ไม่เป็อะไร แค่หยอกล้อเ้าสามเล่นเท่านั้น จะสำเร็จหรือไม่ไม่สำคัญแต่อย่างใดในเมื่อเ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องฝืน”
“ไม่ๆๆๆ เพคะ... หม่อมฉันเต็มใจเพคะ...สามารถทำสิ่งใดเพื่อเตี้ยนเซี่ย หม่อมรู้สึกยินดีมากเพคะนอกจากนั้นหม่อมฉันก็เกรงว่าบรรดาเจี่ยเม่ยจะทำได้ไม่ดีเท่าใด”
ฉินอิ่งเยว่รีบโบกมือปฏิเสธ นางฝืนยกยิ้มออกมาท่าทางคล้ายตนกำลังดูมีความสุขยิ่งนัก ทว่าแววตากลับปริ่มน้ำตาของความกล้ำกลืนท่าทางเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นปวดใจไม่น้อย
องค์รัชทายาทเห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก เดิมทีจะปริปากเอ่ยออกมาว่า“ช่างเถิด” ทว่า...เมื่อคิดอีกที กลับทำเหมือนไม่เห็นท่าทางน่าสงสารของนางและยึดตามสิ่งที่นางพูดออกมา
โดยเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ก็ได้ ในเมื่อเป็เช่นนี้ให้เ้าเป็คนลงมือเถิดยังมีอีกอย่าง วันเกิดปีนี้ของข้าใกล้เข้ามาแล้ว เ้าเป็คนเตรียมการก็แล้วกันเปิ่นกงจะให้ซ่งหมัวหมั่วมาช่วยเ้า ไม่มีอะไรต้องระวังเป็พิเศษมากนักแค่อย่าให้เอิกเกริกมานักเป็พอ เปิ่นกงจะมีคำสั่งลงไปว่าให้เลื่อนขั้นเ้าเป็เหม่ยเหรินและให้ราชทินนามว่า... เ้าฉลาด ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบคำว่า “ฮุ้ย” ให้กับเ้าฮุ้ยเหม่ยเหรินคิดเห็นอย่างไร?”
“ตามแต่พระประสงค์ของเตี้ยนเซี่ยเพคะ...”ฉินอิ่งเยว่ถอนสายบัวอย่างเชื่องช้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“เตี้ยนเซี่ยทรงคิดเช่นนี้ ภายในใจของหม่อมฉันรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งเพคะแต่ต่อให้ไม่มีตำแหน่งเหม่ยเหรินหรือราชทินนามก็ไม่ใช่เื่สำคัญเพคะตำแหน่งหรือราชทินนามล้วนไม่สำคัญขอเพียง..ขอเพียงหม่อมฉันได้พบเตี้ยนเซี่ยบ่อยครั้ง หม่อมฉันก็พอใจแล้วเพคะ”
องค์รัชทายาทพยักหน้า “เ้าคิดเช่นนี้ถือว่าดีมากเพียงแต่เ้าสมควรได้รับตำแหน่งและราชทินนามนี้ เปิ่นกงจะมีคำสั่งลงไปเ้ารีบกลับไปจัดการาแเสียก่อน อย่าได้สะเพร่า”
“เพคะ” ฉินอิ่งเยว่ขานรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเสียงนี้สามารถทำให้กระดูกผู้ฟังถึงกับอ่อนนิ่มได้เลยทีเดียว
ทว่าองค์รัชทายาทกลับกระตุกยิ้มหนึ่งหนก่อนจะหันหลังเดินออกไปสั่งการเื่นี้
แม้จะดูออกว่าฉินอิ่งเยว่ไม่เต็มใจ แต่เมื่อคิดให้ดีหากฉินอิ่งเยว่เป็คนลงมือทำเื่นี้จะน่าเชื่อถือกว่าผู้อื่นสักหน่อยมีคนจำนวนมากรู้ถึงความรู้สึกที่เ้าสามมีต่อฉินอิ่งเยว่ทันทีที่เกิดเื่นี้จะต้องเป็ที่ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของไทเฮาและเสด็จพ่อเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ ผนวกกับผู้ที่ถูกกระทำคือฉินอิ่งเยว่ เสด็จพ่อคงต้องเชื่อสนิทใจหากเป็เพียงเหม่ยเหรินทั่วไป สถานการณ์คงจะแตกต่างออกไป
ในเมื่อจะทำเื่นี้ให้เป็เื่ใหญ่ถ้าเช่นนั้นก็ต้องทำให้คนอื่นคิดว่าฉินอิ่งเยว่ไม่ใช่อนุชายาธรรมดาภายในจวนต้องทำให้คนอื่นคิดว่าเขาปฏิบัติต่อฉินอิ่งเยว่ต่างจากอนุชายานางอื่นๆเมื่อเป็เช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้ดูเหมือนเ้าสามไม่เจียมตัวและทำให้เขาดูไม่ได้รับความเป็ธรรม
เป็เพียงกูเหนียงที่ไม่มีกระทั่งตำแหน่งใดๆหากถูกเฉินอ๋องลวนลามจริง เขาคงไม่มีเหตุผลจะทำให้เป็เื่ใหญ่ และถ้าเป็สตรีนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในจวนโดยไม่มีตำแหน่งเมื่อเฉินอ๋องถูกใจเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องเขาก็ควรจะแสดงความใจกว้างสักหน่อยโดยการมอบนางให้เฉินอ๋อง
แต่หากเหม่ยเหรินนางนี้เป็คนสำคัญในจวนองค์รัชทายาทของเขาเป็คนที่เขาชอบมากยิ่งนัก เมื่อเกิดเื่ขึ้นมาถึงจะสมเหตุสมผล
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าสตรีที่ฉลาดหลักแหลมเช่นฉินอิ่งเยว่ผู้นี้จะรักมั่นต่อเขาและยอมเสียสละตัวเองเพื่อเขา
สตรีเช่นนี้ ถือว่าดีกว่าสตรีนางอื่นๆ ในจวนสักหน่อย...
ฉินอิ่งเยว่ลุกขึ้นหลังส่งเสด็จจนองค์รัชทายาทเดินไปไกลนางมองไปยังทางที่องค์รัชทายาทเดินจากไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก...
ั้แ่เด็ก นางก็รู้แล้วว่าหากอยากได้อะไร จะต้องใช้ความฉลาดของตนเพื่อทำให้ได้มานอกจากนั้นนางยังรู้ว่าจากความสามารถของนางแล้ว นางจะต้องได้มาอย่างแน่นอน
ยามนี้นางกลายเป็เหม่ยเหรินในจวนองค์รัชทายาทแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็เหม่ยเหรินเพียงผู้เดียวที่มีราชทินนาม...
จวนเฉินอ๋อง
ภายในตำหนักจาวเต๋อจิ้นหมัวหมั่วที่เดินตามหญิงรับใช้จัดสำรับอาหารเที่ยงเข้ามากำลังบอกหรงหว่านซีถึงคำสั่งของเฉินอ๋อง
ตอนนี้นางแจ้งเื่นี้ด้วยตนเองจนครบทุกเรือนในตำหนักหลังตำหนักจาวเต๋อของพระชายาคือตำหนักสุดท้ายแล้ว
จิ้นหมัวหมั่วเอ่ยอย่างราบเรียบโดยที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มเมื่อมองดูคล้ายกับกำลังพูดถึงเื่ราวทั่วไป ก็ใช่เพราะเื่ที่เฉินอ๋องเลื่อนตำแหน่งกูเหนียงนางหนึ่งขึ้นเป็เหม่ยเหรินย่อมเป็เื่ทั่วไปอยู่แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าจิ้นหมัวหมั่วรู้ว่าไม่ดีนักหากจะเอ่ยปากเื่นี้กับนางดังนั้นนางจึงเข้ามาพร้อมกับหญิงรับใช้จัดสำรับอาหารคิดจะใช้สภาพการณ์ในตอนนี้ทำให้เื่ราวเล็กลงสักหน่อย
หรงหว่านซีรู้ว่าจิ้นหมัวหมั่วลำบากใจยิ่งไปกว่านั้นเื่นี้ไม่ได้มีผลอะไรต่อนางนัก ด้วยเหตุนี้หลังได้ยินจิ้นหมัวหมั่วบอกว่า“เตี้ยนเซี่ยทรงเลื่อนขั้นหลูกูเหนียงขึ้นเป็เหม่ยเหรินเพคะทว่าเพราะนางลบหลู่พระชายา จึงหักเบี้ยเลี้ยงหลูเหม่ยเหรินเป็เวลาสามเดือนท่านอ๋องรับสั่งให้หนูปี้นำเื่นี้มาแจ้งต่อทุกเรือนในตำหนักหลังเพคะ”นางจึงยกยิ้มแล้วเอ่ย “ลำบากจิ้นหมัวหมั่วต้องเดินมาเองเสียแล้วเตี้ยนเซี่ยก็ช่างทรมานผู้อื่นเหลือเกิน เื่เล็กเพียงเท่านี้ให้เด็กรับใช้มาแจ้งก็ได้มิใช่หรือ?”
จิ้นหมัวหมั่วได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ย “เื่นี้เป็หน้าที่ในความรับผิดชอบของหนูปี้เพคะขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่เป็ห่วงเพคะ”
หลังจากสนทนาเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยคั้แ่ต้นจนจบหรงหว่านซีล้วนเอ่ยด้วยรอยยิ้มและสีหน้าปกติไร้ซึ่งท่าทียินดียินร้ายเพราะเื่นี้ หลังจิ้นหมัวหมั่วออกไป นางจึงกลับเข้าไปในห้องเพื่อปลุกเฉินอ๋อง
หรือที่เฉินอ๋องบอกว่า “ไม่อาจซ้ำเติม”แท้จริงแล้วหมายความว่าเช่นนี้
วันนี้นางลงโทษหลูเหม่ยเหรินหลังจากนั้นเฉินอ๋องก็เลื่อนขั้นนางการทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเป็การปลอบโยนหลูเหม่ยเหรินและกำลังตบหน้านางแต่เขาก็ไม่ได้ทำเื่นี้เกินความเหมาะสมนัก เพื่อเป็การรักษาหน้านางจึงสั่งลงโทษหลูเหม่ยเหรินโดยการหักเบี้ยเลี้ยงเป็เวลาสามเดือนเมื่อเป็เช่นนี้คนทั้งสองฝ่ายก็จะไม่บาดหมางกัน
แต่หากลองชั่งน้ำหนักดู คนตาดีที่ใดบ้างจะดูไม่ออก? เมื่อเอาเงินเบี้ยเลี้ยงสามเดือนมาเทียบกับตำแหน่งเหม่ยเหรินแน่นอนว่าตำแหน่งเหม่ยเหรินสำคัญกว่า
“เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ยเพคะ...สำรับอาหารกลางวันจัดวางเรียบร้อยแล้วเพคะ ตื่นขึ้นมาเสวยเถิดเพคะ”หรงหว่านซีผลักเขาเบาๆ สองครั้ง
“อืม...” เฉินอ๋องขานรับด้วยน้ำเสียงง่วงงุนเขาพลิกกายแล้วบิดี้เี...
จากนั้นลุกขึ้นนั่งโดยศีรษะกับคอยังเอียงไปข้างหลัง
หรงหว่านซีหัวเราะนางคิดว่าเฉินอ๋องตื่นง่ายและไม่ใช่คนชอบนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียง
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ไม่เกียจคร้านล้วนมีความสามารถในการบังคับตนเองเมื่อเป็เช่นนี้จึงขัดกับท่าทางเกียจคร้านที่เขามักแสดงออกเป็ประจำ
เฉินอ๋องลุกขึ้นจากนั้นเดินเอ้อระเหยไปนั่งหน้าโต๊ะกลมในห้องโถง
อวิ๋นฉางเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์สะอาดตัวใหม่ หลังรายงานจิ้นหมัวหมั่วเื่คำสั่งของเฉินอ๋องนางจึงมายืนรอรับใช้เฉินอ๋องอยู่หน้าประตูของตำหนักจาวเต๋อ
เมื่อเห็นเฉินอ๋องเดินมานั่งหน้าโต๊ะกลมแน่นอนว่านางจะต้องเข้ามาเพื่อคอยปรนนิบัติเขาเวลาทานอาหาร
แต่ทันทีที่เฉินอ๋องเห็นนางเดินเข้ามากลับโบกมือ “ไม่ต้องแล้วเปิ่นหวางนอนอยู่ที่นี่พักใหญ่ คาดว่าเ้าจะยืนนานจนเหนื่อยแล้วเ้ากลับห้องไปพักผ่อนเสียเถิด บ่ายนี้เปิ่นหวางไม่้าการปรนนิบัติอะไร เ้าไปทำอะไรก็ได้ที่เ้าอยากทำ”
แม้เฉินอ๋องจะกล่าวเช่นนี้ทว่าทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็เพราะห่วงใย หรงหว่านซีก็รู้ว่าอวิ๋นฉางเข้าใจแต่เมื่อมองแววตาของอวิ๋นฉางกลับพบว่าแววตาเศร้าหมองลงเล็กน้อย
จากนั้นได้ยินอวิ๋นฉางขานรับว่า “เพคะ หม่อมฉันทูลลา”
เฉินอ๋องมัวแต่สนใจอาหารตรงหน้ามีหรือจะรับรู้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของอวิ๋นฉาง?
แน่นอนว่าหรงหว่านซีก็ไม่จำเป็ต้องบอกเขา
เฉินอ๋องเป็ห่วงนางเช่นนี้ เห็นได้ว่านางไม่เหมือนกับผู้อื่นต่อให้เป็อนุชายาอยู่ที่นี่เกรงว่าเฉินอ๋องก็คงไม่ลำบากใจที่จะให้นางคอยปรนนิบัติแม้ว่านางจะยืนรอรับคำสั่งเป็เวลานานกระมัง?
ความจริงแล้วนี่คือวาสนาของอวิ๋นฉางเพียงแต่วาสนานี้กลับไม่ใช่วาสนาที่อวิ๋นฉาง้าคนนอกสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งทว่าผู้ที่อยู่ในเื่นั้นกลับมักเลอะเลือนเสมอ
“เด็กรับใช้สองคนนั้นช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว” เฉินอ๋องเอ่ย“ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้วแท้ๆ ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้จริงๆว่าปกติแล้วเ้าอบรมพวกนางอย่างไร”
“เมื่อครั้งอยู่จวนแม่ทัพพวกนางมักทำตัวอิสระจนเคยชินหม่อมฉันไม่อยากควบคุมพวกนางนัก แม้จะมาอยู่ในจวนอ๋องหม่อมฉันก็ไม่อาจหักใจให้พวกนางสูญเสียความเป็ตัวเองเพคะ”หรงหว่านซีเอ่ยอย่างราบเรียบ
เฉินอ๋องหัวเราะแล้วเอ่ย “ดีที่ตอนนี้ยังอยู่แค่ในจวนอ๋อง”
หรงหว่านซีหันมองเขา ดวงตาฉายแววแปลกใจทว่าหายไปภายในชั่วพริบตาเดียว
คล้ายกับว่า เขาก็ไม่คิดปิดบังความทะเยอทะยานของตนแต่อย่างใด
เฉินอ๋องแค่พูดออกมาโดยไม่คิดและทำราวกับไม่ได้พูดเื่ร้ายแรงอะไรมิหนำซ้ำยังคงสุขุมเยือกเย็นดังเดิม
หากเป็คนอื่นคงคิดแค่ว่าตนเข้าใจผิดไปเองทว่าหรงหว่านซีไม่รู้ว่าหากนางเป็คนอื่นเฉินอ๋องยังจะพูดเื่สำคัญเช่นนี้กับนางตามอำเภอใจเช่นนี้หรือไม่...