หลังจากที่รู้ว่าของสิ่งใดหายไป ทุกคนต่างก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่สนใจหานโม่ แต่ว่าหานเฉินต้งและอู๋ซื่อก็ยังคงไม่ลืมว่ายังต้องเล่นละครเพื่อปลอบใจหานโม่ พวกเขาบอกหานโม่ว่าหากได้ข่าวของผลึกิญญาแล้วจะมาบอกนางเป็คนแรกอย่างแน่นอน จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป
หานโม่มองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ
เสี่ยวเยว่เองไม่ได้รู้เื่ของผลึกิญญาเลย ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากมาย หลังจากที่รอให้ทุกคนกลับออกไปหมด เสี่ยวเยว่ก็พาหานโม่ไปอาบน้ำใหม่อีกครั้งและส่งหานโม่กลับเข้าไปพักผ่อนในห้อง
บรรยากาศภายในห้องกลับมาสงบลงอีกครั้ง หานโม่ปิดประตูลงแล้วเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ "ออกมาเถอะ"
"หึ"
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในอากาศ
เสียงนั้นแ่เบาราวสายลม เมื่อผ่านเข้ามาในหูก็คล้ายกับว่าใบหูกำลังถูกขนนกลูบไล้จนรู้สึกขนลุกไม่ได้
อยู่ดีๆ หานโม่ก็ตัวสั่นสะท้าน ในใจของนางรู้อยู่แล้วว่าอาการสั่นสะท้านนี้ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้ทวีปเสวียนเทียนจะเข้าสู่่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ตาม แต่ถึงฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผู้ฝึกวรยุทธ์เลย ยิ่งระดับของการฝึกยุทธ์ของผู้ฝึกฝนวรยุทธ์สูงมากเพียงใด พวกเขาก็จะยิ่งรับรู้ถึงความหนาวเหน็บและความร้อนอบอ้าวได้น้อยลงเท่านั้น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปีไม่ผันแปรไปตามสภาพอากาศ
ส่วนสาเหตุที่หานโม่ตัวสั่นสะท้านนั้นก็อาจเป็เพราะว่าเกิดจากเสียงหัวเราะเบาๆ เสียงนั้น
หานโม่ไม่ใช่คนที่จะหลอกตัวเอง แต่เสียงของชายผู้นี้ช่างไพเราะน่าฟังมากจริงๆ แม้ว่าหานโม่จะไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายผู้นี้ แต่ใครๆ ต่างก็มีใจชมชอบความงามกันทั้งนั้น
แต่ในตอนนี้และเวลาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะหลงใหลไปกับเสียงอันไพเราะของชายผู้นี้
นางหันไปมองคนผู้นั้นที่เดินออกมาจากด้านหลังของฉากกั้นพร้อมทั้งหัวเราะออกมาเบาๆ
ในวันนี้คนผู้นั้นก็ยังคงสวมชุดสีขาวเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเสน่ห์เหมือนกับชุดสีขาวแสนหรูหราเมื่อครั้งที่อยู่ในงานประมูลแล้ว มิน่าเชื่อว่าเพียงแค่เปลี่ยนการแต่งกาย เขาก็กลายเป็เพียงคุณชายผู้ปราดเปรื่องที่เต็มไปด้วยความสง่างามและโดดเด่นที่สุดแห่งยุคเช่นนี้ได้
จากมุมมองของคนในยุคสมัยใหม่เช่นหานโม่ คนผู้นี้ไม่ได้มีท่าทางอย่างหนุ่มเ้าชู้ แต่กลับเป็ไปทางเรียบง่ายสง่างามมากกว่า
“เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับเชิญ นี่คือวิถีของท่านงั้นหรือตี้เฉิน?” หานโม่ไม่ได้มองหน้าชายผู้นั้นมากนัก นางแค่เพียงกวาดตามองปราดเดียวก็ดึงสายตากลับมา ก่อนจะอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
นับั้แ่ตอนที่นักฆ่าบุกเข้ามาในห้อง หานโม่ก็ััได้ถึงบุคคลที่สามด้วยเช่นกัน แต่คนๆ นั้นทำเพียงยืนหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้นโดยที่ไม่คิดที่จะยื่นมือเข้ามาทำสิ่งใดเลย ดังนั้นหานโม่จึงเลิกสนใจเขาและเฝ้าชมการแสดงอันน่าสนใจของตระกูลหานที่ทุกคนต่างหวาดระแวงกันเอง
นางคิดว่าเมื่อการแสดงนี้จบลง ชายผู้นั้นก็คงจะจากไป แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่นางกลับเข้ามาในห้องเขาก็จะยังอยู่อีก ดังนั้นหานโม่จึงจำเป็ต้องส่งเสียงเรียก
ตอนที่ชายผู้นั้นเข้ามา หานโม่ก็คาดเดาได้เลยว่าเป็ผู้ใด คงเป็คนที่นางได้เจอเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะเขาสามารถหลบหลีกทุกคนจนสามารถเข้ามาในห้องของนางได้อย่างเงียบเชียบ แถมยังชมชอบดูเื่ราวสนุกๆ อีกด้วย คนผู้นั้นคือตี้เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่แค่นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับคนผู้นี้กัน เขาถึงได้ไม่ยอมออกไปจากห้องของนางเสียทีและยังคงยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกับตอนที่ลอบเข้ามา
ชายคนนั้นเผยรอยยิ้มชั่วร้ายแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แสนร้ายกาจออกมา หากให้เอ่ยกันตามตรงแล้ว ถึงแม้หานโม่จะไม่ค่อยได้พบคนอื่นๆ ในทวีปเสวียนเทียนมากนัก แต่แค่ใบหน้าหล่อเหลาของตี้เฉิน หานโม่มั่นใจได้เลยว่ารูปโฉมของตี้เฉินนั้นจะต้องไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน
และรอยยิ้มเช่นนี้ ก็งามล่มเมืองยิ่งนัก
“ข้าแค่กลัวว่าเมื่อเ้ากลับมาถึงตระกูลหานแล้วจะมีเื่เกิดขึ้น ไม่คิดเลยว่าจะได้ดูอะไรสนุกๆ เช่นนี้”
"หึ ถ้าผู้อื่นรู้ว่าท่านชอบวิ่งเข้าห้องของสตรีเช่นนี้ เกรงว่าคงได้ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็แน่" หานโม่เหลือบมองตี้เฉินอย่างเ็า น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเ็ายิ่งนัก ทว่าไม่มีวี่แววของความอดทนอดกลั้นอยู่เลย
ความสามารถในการสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูดของตี้เฉินนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยมมาก แม้ว่าหานโม่จะเ็าไปบ้างเมื่ออยู่กับเขา แต่เขากลับััได้ว่านางไม่ได้รังเกียจเขาเลย
หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว บางครั้งก็มีการระแวดระวังอยู่บ้างเล็กน้อย
สายตาของเขาหลุบมองไปที่แหวนโค่งเจียนบนนิ้วของหานโม่ จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา "เ้าศึกษาแหวนวงนี้อย่างละเอียดแล้วหรือยัง?"
หานโม่ส่ายหัวตามความจริง เมื่อพูดถึงแหวนวงนี้แล้วความจริงนางก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ที่อยากจะถามตี้เฉินเช่นกัน ว่าจะต้องไปถึงระดับใดจึงจะสามารถขยายพื้นที่ในแหวนได้ แต่เมื่อมาคิดอีกทีพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้คุ้นเคยกันนัก หานโม่จึงไม่คิดที่จะถามออกไปตรงๆ
ดังนั้นนางจึงทำเพียงเงียบเสีย
โตวโตวกำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มที่มีสภาพเละเทะและไม่เป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องช่างเงียบสงบ มันจึงคิดจะทำเสียงเล็กๆ ออกมาเพื่อคลายความเงียบสงบนั้น แต่อยู่ๆ ตี้เฉินก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“คาดว่าคืนนี้เ้าคงจะนอนไม่หลับเสียแล้ว ข้าพาเ้าไปที่ไหนสักแห่งดีหรือไม่?”
หานโม่นิ่งไปครู่หนึ่ง นางเอียงหัวมองไปยังตี้เฉิน ภายในใจก็เกิดความรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย
ตี้เฉินผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบยิงธนูโดยไม่มีเป้า [1] เหมือนกับตอนงานประมูลก่อนหน้านี้ที่ก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกันเช่นนั้น เขาคงจะมาเพื่อมอบแหวนโค่งเจียนให้นางโดยเฉพาะ แต่ก็อดทนคอยอยู่เป็เพื่อนในนั้นอยู่เป็นาน
แล้วมาตอนนี้หากเขาอยากจะพานางไปที่ไหนสักแห่งก็สามารถพาไปได้อย่างง่ายดายเลยงั้นหรือ?
"ไปที่ใดหรือ?" หานโม่รู้สึกว่าตี้เฉินอาจจะอยากพานางไปยังสถานที่ที่สามารถฝึกฝนได้ แต่ตี้เฉินก็ไม่ได้บอกอะไรเขาทำเพียงแค่เอ่ยออกมาอย่างลึกลับว่า "เ้าไปกับข้า เดี๋ยวก็จะรู้เองไม่ใช่หรือ?"
หานโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
นางรู้สึกว่าตี้เฉินไม่มีทางทำร้ายนางแน่
เมื่อตี้เฉินเห็นว่าหานโม่ยินยอมที่จะไปด้วย รอยยิ้มดีใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาจากนั้นจึงขยับตัวมาอยู่ด้านข้างของหานโม่ ก่อนที่หานโม่จะทันได้ทำอะไรเอวของนางก็ถูกเขาโอบกอดเอาไว้ หานโม่ชะงักไปครู่หนึ่งในขณะที่กำลังจะตอบโต้ก็รู้สึกว่าทั้งสองก็ได้โผทะยานออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่พร้อมกับเสียง "หวืด" [2]
หานโม่ปล่อยให้ตี้เฉินอุ้มนางไปด้วยใบหน้าเฉยชา ด้วยเพราะความเร็วของนางในตอนนี้คงไม่สามารถไล่ตามตี้เฉินได้ทัน ดังนั้นหากคนอยากจะอุ้มก็อุ้มไป อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่ผู้ที่จะตั้งครรถ์ได้เพียงเพราะแค่ถูกอุ้มเสียหน่อย
โตวโตวมองคนทั้งคู่ที่หายลับไปต่อหน้าต่อตามันราวกับหงส์ ในที่สุดก็โผล่หัวเล็กๆ ออกมาจากใต้ผ้าห่มและเงยหน้าขึ้นมองออกไปบนฟ้าไกล พลางถอนหายใจยาวเบาๆ
“นายท่าน ท่านได้สังเกตหรือไม่ว่าตัวเองปฏิบัติกับตี้เฉินแตกต่างจากผู้อื่นมากนัก...…”
สายลมยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนไหน พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เสียงของโตวโตวหายไปตามสายลม หลงเหลือเพียงเสียงถอนหายใจที่ดูคล้ายจะยังก้องกังวานในอากาศเท่านั้น
หานโม่ไม่นึกเลยว่าตี้เฉินที่พานางโผบินทยานมาด้วยความรวดเร็วตลอดทางนั้น สุดท้ายแล้วเขากลับพานางมายังหน้าผาสูงชันที่อยู่ด้านหลังเรือนตระกูลหาน
หน้าผาแห่งนี้ในความทรงจำของหานโม่นั้นนับว่าเป็สถานที่ที่คุ้นเคยมาก ด้วยเมื่อก่อนตอนที่หานซินและคนอื่นๆ กลัวว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกนางรุมรังแกหานโม่ก็จะมักพาหานโม่มายังที่แห่งนี้เพื่อหลบสายตาผู้คน
ต่อมาเมื่อหานซินเห็นว่าทุกคนรู้เื่ที่นางรังหานโม่แล้วไม่มีใครเอ่ยตำหนินางเลยสักคน จึงเลิกพาหานโม่มาที่แห่งนี่และเริ่มกลั่นแกล้งนางตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวสายตาใครอีกเลยในตระกูลหาน
ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าผาแห่งนี้ ความประทับใจของเ้าของเดิมก็เด่นชัดขึ้นมา หานโม่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขยะแขยง
ตี้เฉินรับรู้อารมณ์ของหานโม่ได้เป็อย่างดี จึงก้มหน้าลงเพื่อถามว่า "เ้าเป็อะไรหรือไม่? หรือว่าไม่สบายเพราะโดนลมกลางคืนหรือ?"
ภายในใจที่ไม่สบอารมณ์ของหานโม่นั้นเอ่ยตอบกลับไปว่า "ในใจของท่าน ข้าคือหญิงที่แม้แต่ลมพัดก็ทนไม่ได้เลยงั้นหรือ?"
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] ยิงธนูโดยไม่มีเป้า หมายถึง ทำหรือพูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีเป้าหมาย
[2] หวืด คือ การเลียนเสียง โดยจะบรรยายถึงเสียงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
