เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปเช่นไรเลือกที่จะนิ่งเงียบ นางไม่กล้าตอบคำถามของสวี่ชิวเยวี่ย เพราะนางไม่กล้าให้ความหวังอันเลื่อนลอยกับใคร หากนางตอบว่าได้ แต่โจรพเนจรกลุ่มนั้นไม่ถูกจับกุมเลย อย่างนั้นสวี่ชิวเยวี่ยก็จะยิ่งสิ้นหวังขึ้นไปอีก
แต่หากนางบอกกับหญิงสาวผู้น่าเวทนาในตอนนี้เวลานี้ ว่าบางทีคนพวกนั้นที่ทำร้ายนางก็อาจจะลอยนวลต่อไปตลอดชีวิต เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการลงดาบทิ่มแทงหัวใจที่เต็มไปด้วยรูพรุนของสวี่ชิวเยวี่ยอีกครั้ง
ถามใจตัวเองดู เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่อาจทำได้ลง…
ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรยังดีกว่าต้องกลายเป็คนลงดาบด้วยตัวเอง แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็มีส่วนทำให้เื่กลายเป็เช่นนี้ ดังนั้นนางจึงยิ่งโกรธแค้น ทุกข์ทรมานและละอายใจ เพราะนางมีโอกาสที่จะปกป้องสตรีตรงหน้าผู้นี้แท้ๆ
แต่นางไม่ได้ทำ
ภายในห้องยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงของน้ำร้อนที่กระเพื่อมกระทบกายของสวี่ชิวเยวี่ยเท่านั้น และดูเหมือนว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะไม่พอใจกับความเงียบนี้อย่างยิ่ง
นางหันหน้ากลับมาจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ถึงกับยกมือบังคับหยุดการเคลื่อนไหวมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “เปี่ยวเกอ ข้าถามว่า พวกมันจะตายหรือไม่? พวกมันจะได้ชดใช้ผลกรรมหรือไม่?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่กล้าสบดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเืของสวี่ชิวเยวี่ย ได้แต่เฉไฉพูดบ่ายเบี่ยง “รอให้เรากลับไปก่อน รายงานเื่ที่อารามชีประสบภัยต่อราชสำนัก... ด้วยฐานะของข้าและเยวี่ยเยียนหราน ราชสำนักจะต้องเห็นถึงความสำคัญของเื่ในครั้งนี้แน่ เ้าวางใจ พวกเราจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เ้าแน่นอน...”
“แต่ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้!”
น้ำตาของสวี่ชิวเยวี่ยร่วงหล่นลงมาไม่หยุด บีบคั้นหัวใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ทำให้มือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็สั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมไปด้วย “ได้ ได้... เ้าไม่ต้องร้อนใจ ข้าไม่ได้จะบอกกับผู้อื่น พวกเรา... พวกเราจะสามารถเอ่ยความเท็จได้สักนิด โป้ปดเหตุผลอย่างเช่น... อย่างเช่นบอกว่าตอนนั้นพวกเราสามคนบังเอิญออกไป คนอื่นๆ ล้วนสิ้นชีพ พวกเขาจะไม่ล่วงรู้ความลับของเ้า พวกเขาจะไม่รู้หรอก...”
ทันใดนั้นสวี่ชิวเยวี่ยจึงคลายมือที่กุมข้อมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วขดตัวแน่นเป็ก้อนอยู่ในถังน้ำ สองมือกอดตนเองที่ทั้งอ่อนแอและบอบบางเอาไว้แน่น น้ำตาผสมปะปนไปกับน้ำ จนแทบจะแยกไม่ออกว่าคือสิ่งใด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ความรู้สึกหนักอึ้งที่ราวกับถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออกนั้นกลับมาอีกครั้ง ช่างอึดอัดยากจะหายใจและสิ้นหวังนัก
......
“เป็อย่างไรบ้าง...?”
เยวี่ยเจาหรานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเห็นว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินออกมาด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง จึงรีบเข้าไปถามไถ่ เห็นเพียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบา “เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ สวี่ชิวเยวี่ยนาง... หลับไปแล้ว ให้นางพักผ่อนสักหน่อย...”
เยวี่ยเจาหรานพยักหน้าอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ก่อนที่ทั้งสองคนจะไปยังไม่ลืมหันกลับมามองประตูห้องที่ปิดสนิทอีกเล็กน้อย
“ครั้งนี้ ความะเืใจที่นางได้รับคงจะใหญ่หลวงนัก... พวกเราควรทำเช่นไรดี?” เยวี่ยเจาหรานรู้สึกนั่งไม่ติด แน่นอนว่าแฝงไปด้วยความเป็ห่วงกังวลต่อสถานการณ์ของสวี่ชิวเยวี่ยไม่น้อย
ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในครั้งนี้กลับดูค่อนข้างสงบนิ่ง แน่นอนว่านางเองก็อาจจะรู้สึกตายด้านไปแล้วก็ได้…
“เื่ที่แต่งกับตระกูลจ้าว น่ากลัวว่าคงจะล้มเหลวเสียแล้ว กลับไปยังต้องคิดหาทางรับมือให้ดี อีกอย่าง เื่นี้สวี่ชิวเยวี่ยไม่้าให้ผู้อื่นล่วงรู้ พวกเราก็ปิดปากเงียบเถอะ”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถอนหายใจ แล้วเอ่ยเช่นนั้น
เยวี่ยเจาหรานที่นั่งอยู่ข้างๆ แม้เขาเองก็เข้าใจเจตนาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แต่ก็ยังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “แต่เื่ที่อารามชีถูกปล้นล้างอารามใหญ่โตเช่นนี้ ในราชสำนักเป็ไปไม่ได้ที่จะไม่รู้... คนที่ตายที่นี่ก็ยังมีคนของตระกูลเยี่ยนเ้า แล้วจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดเลยได้อย่างไรกัน?!”
“เื่พวกนี้ข้าคิดเอาไว้แล้ว ก็ทำเป็ว่า... ก็ทำเป็ว่าตอนที่พวกเราออกไป บังเอิญพวกโจรพเนจรมาปล้นอารามชีพอดี ทิวทัศน์ของูเาชิงเฉวียนงดงามขนาดนี้ พวกเราจึงออกไปชมทิวทัศน์สักที่ตามอัธยาศัย จึงหลบเลี่ยงภัยพิบัตินี้ไปได้ บอกแค่นี้ก็หมดเื่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดไปพูดมาก็เริ่มกระสับกระส่าย น้ำเสียงยามเอ่ยก็แปร่งไป
ฟังดูจากน้ำเสียงที่ร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว เยวี่ยเจาหรานจึงรู้ว่าความรู้สึกของนางกำลังย่ำแย่ลง จึงรีบเร่งวิ่งเข้าไปโอบกอดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ เอ่ยปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เ้าไม่ต้องร้อนใจ”
“ข้ารู้ว่าเ้ากำลังตำหนิตัวเอง แต่ว่าเื่นี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเ้า อย่าโทษตัวเองเพราะเื่นี้เลยได้หรือไม่? ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตคนทุกผู้ในใต้หล้าได้ เข้าใจหรือไม่...”
น้ำเสียงของเยวี่ยเจาหรานอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ ปลอบประโลมจิตใจที่ร้อนรนของเยวี่ยเจาหราน ั้แ่เมื่อคืนวาน ใจดวงนี้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เป็กังวลอยู่ตลอดจนไม่อาจวางลงได้ ตอนที่เห็นเยวี่ยเจาหรานถ่อสังขารเจ็บป่วยและาแทั่วร่างวิ่งขึ้นเขามา เพื่อที่จะช่วยตน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วละอายใจนัก และยามเมื่อเห็นร่างนวลงามของสวี่ชิวเยวี่ยอยู่ในอารามอันเสื่อมโทรมเหลือทน ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยาแและคราบเื เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยิ่งทุกข์ทรมานด้วยความละอาย!
ทว่า เกิดเื่ทั้งหมดนี้แล้วร่างกายตนกลับยังสุขสบายไร้รอยขีดข่วน ความรับผิดชอบทั้งหมดที่ตนควรต้องรับก็ล้วนถูกผู้อื่นแบกรับไว้แล้วทั้งสิ้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงได้รู้สึกละอายใจจนถึงขีดสุดแล้วจริงๆ
นางเป็คนที่ไม่เห็นใครอยู่สายตามาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่าตนเป็สตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าจึงยโสโอหัง กระทั่งยามนี้ นางจึงค้นพบว่าตนนั้นทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเผชิญหน้ากับภยันตรายที่ไม่คาดคิดเ่าั้ นางไม่อาจปกป้องใครได้เลยสักคนเดียว!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกทุกข์ทรมานกับความไร้ประโยชน์ของตนนัก!
เป็ครั้งแรก ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลั่งน้ำตาไหลไม่ขาดสายอยู่ในอ้อมกอดของเยวี่ยเจาหราน ราวกับประตูเขื่อนแตกทะลัก จะหยุดอย่างไรก็หยุดไม่อยู่…
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ร้องไห้จนพอแล้วดวงตาแดงเห่อ นางเหลือบสายตาอันอับจนหนทางราวกับลูกกวางน้อยขึ้นมองเยวี่ยเจาหราน ส่วนเยวี่ยเจาหรานนั้นเพียงยกมือขึ้นลูบหัวนาง “ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพยักหน้าอย่างจริงจัง ไม่รู้เพราะเหตุใด ขอเพียงอยู่ในอ้อมกอดของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยอมเชื่อได้ทุกคำโกหก ต่อให้นั่นจะดูเหมือนเป็อนาคตที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ขอแค่เยวี่ยเจาหรานเอ่ยปาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็สามารถเชื่อมั่นและสนับสนุนได้โดยไม่มีข้อกังขา
ทั้งสามที่หยุดพักผ่อนกันหนึ่งวันในเช้าวันต่อมาถึงเตรียมตัวออกเดินทาง ในคอกม้ามีม้าแก่ที่ไม่ได้อยู่ในสายตาโจรผูกไว้สองตัว พอจะฝืนผูกไว้กับรถได้ แล้วลงเขาไปอย่างโยกเยกโคลงเคลง
ตลอดทาง สวี่ชิวเยวี่ยล้วนนิ่งเงียบราวกับหุ่นคนจำลองอย่างไรอย่างนั้น นางแทบไม่ได้เอ่ยปากเลยแม้แต่คำเดียว
แม้ว่าในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานจะเป็กังวล แต่ก็กลับไม่อาจบีบบังคับให้สวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยปากพูดได้ ทำได้เพียงเผชิญหน้ากันด้วยความเงียบขรึมเท่านั้น ระหว่างนั้น สภาพการณ์บนรถก็ไม่นับว่าดีนัก
ตอนที่สลับให้เยวี่ยเจาหรานไปขับรถม้าข้างนอก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็โอบสวี่ชิวเยวี่ยเข้ามาในอ้อมกอดด้วยตัวเอง พยายามที่จะปลอบโยนและทำให้สวี่ชิวเยวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาสักนิด แต่สวี่ชิวเยวี่ยกลับยังคงปิดปากนิ่งเงียบ
“ชิวเยวี่ย... คำที่ข้าเคยบอกกับเ้า เ้ายังจำได้หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลองถามหยั่งเชิง เดิมคิดว่าสวี่ชิวเยวี่ยคงจะเอ่ยตอบ แต่กลับไม่นึกว่านางจะเพียงแค่พยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเท่านั้น ยังคงตอบสนองด้วยความเงียบงัน
“ไม่เป็ไร หากไม่อยากพูด เช่นนั้นพยักหน้าก็ได้ หลังจากกลับบ้านแล้ว เราก็บอกว่าตอนที่พวกเราสามคนไปชมต้นไผ่ในเขาชิงเฉวียนตามลำพัง โจรพเนจรกลุ่มนั้นก็ขึ้นเขาไป... เช่นนี้ก็จะไม่มีใครสงสัย ดีหรือไม่?”
“อย่าเอ่ยถึงอีกเลย”
สวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยขึ้นกะทันหัน น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใจนไม่กล้าพูดอะไรมากอีก นางเพียงแค่พยักหน้าสุดชีวิต ก่อนจะปิดปากเงียบ
รถแล่นโคลงเคลงลงเขาไปได้ในที่สุด อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงจวนเยี่ยนแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยกลับเอ่ยถามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างกะทันหัน “เปี่ยวเกอ ท่านแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?”
...เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลันไม่รู้ควรจะตอบว่าอย่างไรไปชั่วขณะ ได้แต่แข็งค้างอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนไปครู่ใหญ่
