เล่มที่ 10 บทที่ 271 ดอกจื่อถานม่วง
“หรือว่า...” หลินเฟยใจกระตุกขึ้นทันที เพราะก่อนหน้านี้ ตอนอยู่วังปีศาจของปีศาจขั้นเยาหวังซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแถบทะเลอูไห่นั้น ปีศาจร่วนสือก็ได้บอกไปแล้วว่า ที่เมืองโบราณใต้พิภพมีโลงศพหินอยู่โลงหนึ่ง ้าโลงมีโคมสีเขียวดวงหนึ่งอยู่ด้วย หากดับไฟในโคมไป ก็จะสามารถนำชิ้นส่วนประตูมิติที่อยู่ในโลงออกมาได้...
‘แต่ว่าโคมเขียวล่ะ?’
เพราะที่ยอดหุบเขามีแต่โลงศพแต่ไม่มีโคมสีเขียวนั่นน่ะสิ...
‘หรือนี่จะไม่ใช่โลงศพที่ปีศาจร่วนสือบอก?’
‘บางทีปีศาจร่วนสืออาจจะไม่รู้เื่เกาะนี้เท่าไรหรอก จึงไม่รู้ว่าบัดนี้เมืองโบราณใต้พิภพได้พังทลายกระทั่งกลายเป็ซากปรักหักพังไปหมดแล้ว แถมบริเวณใจกลางยังมีทะเลอสูรเกิดขึ้นมาอีก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนที่บอกไว้เลยสักนิด...’
ทว่าก็แปลก ที่มีโลงศพเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีโคมเขียวที่ว่านั่นอยู่ด้วย...
ความจริงจะเป็อย่างไรนั้น เกรงว่าจะต้องขึ้นเขาไปเสียก่อน ถึงจะรู้ได้
หลังจากนั้นอีกหลายวัน หลินเฟยก็วนเวียนอยู่รอบบริเวณผาหินเพื่อตามหาพวกเวินโหวอยู่นาน อาจเป็เพราะการโจมตีครั้งสุดท้ายของาาอสุรกายกุ่ยตี้รุนแรงเกินไป ทำให้ทุกคนกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง แม้หลินเฟยจะตามหาพวกเขาอยู่หลายวัน สุดท้ายก็กลับไม่พบเบาะแสของทั้งสามคนเลย...
กระทั่งเช้าวันที่สี่ เขาก็พบรอยเท้าที่ดูเร่งรีบที่บริเวณเชิงเขา...
เมื่อเห็นดังนั้นหลินเฟยก็ใจกระตุก และรีบตามรอยเท้านั่นไปทันที อีกทั้งก็แกะรอยตามไปเรื่อยๆเกือบแปดลี้เลยทีเดียว ในที่สุดหลินเฟยก็พบทางขึ้นเขาอันลาดชันและคดเคี้ยวสายหนึ่ง ที่สำคัญก็คือมีร่องรอยของการต่อสู้ปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้อยู่ชัดเจน ต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านถูกทำลายจนเสียหาย แถมยังมีคราบเืที่แห้งกรังปรากฏอยู่ประปรายอีกด้วย...
“หืม?” หลินเฟยค้นหาอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็เจอบางอย่างแถวๆดงไม้หนาทึบ
สิ่งนั้นก็คือเกล็ดปลาสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือ!
ไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว เพราะนี่จะต้องเป็เกล็ดของเ้าปลาั์ที่เป็สัตว์อสูรคู่กายของเวินโหว...
ดูท่าทั้งสามคงผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาแน่นอน ไม่เช่นนั้นเกล็ดของเ้าปลาั์คงไม่มีทางหลุดลอกออกมาเช่นนี้...
หลินเฟยครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปยังทางสายน้อยที่ลาดชัน เพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปบนูเา...
ที่แห่งนี้มีแมกไม้นานาพันธุ์ปกคลุมหนาทึบ เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นแต่เพียงต้นไม้สูง แถมยังมีพืชพันธุ์หายากนานาชนิดปรากฏให้เห็นแทบทุกที่ พวกมันต่างส่งกลิ่นตลบอบอวลจนแยกกลิ่นไม่ออก...
เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าบริเวณนอกหุบเขายังคงเห็นเป็ที่รกร้าง รวมถึงแนวผาหินที่ทอดยาวมาถึงเชิงเขาก็ราวกับเส้นแบ่งแยกดินแดนก็มิปาน ฝั่งหนึ่งก็เขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ส่วนอีกฝั่งก็รกร้าง ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตแม้แต่น้อย...
“ช่างน่าประหลาดแท้...” ทว่าเพียงแค่ย่างเท้าเข้าไป หลินเฟยก็ต้องเป็ชะงักทันที เพราะที่แห่งนี้ดูพิลึกเหลือเกิน...
เพียงก้าวเดียวก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ว่าได้
ที่ผาหินมีเพียงไอิญญาปกคลุมเบาบางเท่านั้น แม้แต่อากาศรอบด้านก็ยังร้อนระอุ ทว่าบริเวณยอดเขากลับมีไอิญญาเข้มข้น อากาศรอบด้านยังคงชุ่มชื้นและเย็นสบายเป็พิเศษ ถือว่าแตกต่างกับอย่างลิบลับเลยทีเดียว...
“มีสมุนไพรมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?” หลินเฟยเดินหน้าต่อไปอีกไม่ถึงสิบลี้ ก็อดที่จะตะลึงกับภาพตรงหน้าไม่ได้ เพราะที่แห่งนี้มีทิวทัศน์ที่แสนงดงาม นับว่าเป็สถานที่ที่วิเศษมากทีเดียว เพราะนอกจากจะมีดอกไม้นานาชนิดแล้ว ยังมีสมุนไพรมากมายอีกด้วย ทำให้รอบด้านนี้ มีแต่กลิ่นสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่ว...
ทั้งเถาวัลย์ไท่หยาง ดอกไม้น้ำตาโลหิต และหญ้าจิงชื่อ...
แม้จะไม่ใช่สมุนไพรล้ำค่าหายากอะไร แต่ทั่วทั้งเป่ยจิ้งก็ไม่มีที่ไหนที่เป็เหมือนกับที่แห่งนี้ ซึ่งมีสมุนไพรเกิดขึ้นตามข้างทางมากมาย ในตอนแรกหลินเฟยยังเก็บบ้างเป็ครั้งคราว ทว่าสุดท้ายก็ต้องเลิกเก็บไป เพราะสามารถพบพวกมันได้ทุกที่ที่ก้าวผ่าน...
และก็เป็แบบนี้ไปอีกประมาณสิบลี้ ทันใดนั้นเองใบหน้าของหลินเฟยก็เปลี่ยนสีลง...
“บ้าเอ๊ย...” หลินเฟยหันกลับไปด้วยความใ จากนั้นก็พบว่าที่บริเวณหน้าผาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีดอกจื่อถานม่วงกำลังเบ่งบานอยู่ เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นดอกไม้สีม่วงที่มีขนาดประมาณฝ่ามือกำลังเปล่งแสงเรืองรองออกมา แถมยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆฟุ้งกระจายไปทั่ว เพียงสูดดมก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับรูขุมขนทุกอณูในร่างพลันเปิดออกก็ว่าได้...
‘ดอกจื่อถานม่วง!’
คราวนี้แม้แต่หลินเฟยที่เคยพบเจออะไรมามากก็ยังอดตะลึงไม่ได้ เพราะตำนานบันทึกไว้ว่าดอกจื่อถานม่วงมีพลังร้ายกาจถึงกับฟื้นคนตายให้กลายเป็คนเป็ได้เลย เป็สิ่งที่แม้แต่หลินเฟยในชาติที่แล้วก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่รู้จักก็เพราะเคยได้ยินตาเฒ่าผู้เป็อาจารย์ในชาติที่แล้วโม้เอาไว้ว่า เมื่อก่อนตอนที่ยังเยาว์วัย ถึงกับเอาชนะเหล่ายอดฝีมือนับสิบของสำนักฉางเซิง เพื่อแย่งชิงดอกจื่อถานม่วงเลยทีเดียว...
ทว่าตอนที่หลิยเฟยถามว่าแย่งสำเร็จหรือไม่นั้น ตาเฒ่ากลับทำหน้าตาบูดบึ้ง แล้วไล่หลินเฟยให้กลับไปกักตัวสำนึกผิด พิจารณาตนเองว่าทำไมบำเพ็ญมาตั้งนาน แต่ยังไม่สามารถบรรลุขั้นย่างชี่เสียที...
จึงพอจะเข้าใจได้ว่าดอกจื่อถานม่วงนั้นล้ำค่าเพียงใด...
ตาเฒ่าในอดีตเป็ใครน่ะหรือ?
ต่อให้ตอนนั้นยังไม่บรรลุขั้นฟ่าเซินก็ตาม แต่เขาก็เป็หนึ่งในตัวเต็งที่มีโอกาสบรรลุเป็เซียนกระบี่ได้เลยทรเดียว แม้แต่คนระดับนี้ยังถึงกับต้องลงมือ่ชิงด้วยตนเอง ก็พอจะเข้าใจได้ว่าดอกจื่อถานม่วงนี้จะต้องมีความหมายขนาดไหน..
ว่ากันว่าดอกจื่อถานม่วงใช้เวลาเติบโตนานมาก หนึ่งพันปีถึงจะเบ่งบานสักครั้ง หลังจากเบ่งบานมันก็อยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น หากพลาดไปละก็ จะต้องรอคอยอีกพันปีเลยทีเดียว เช่นนั้นแล้วพียงแค่กลีบเดียวของมันก็สามารถฟื้นคนตายให้กลับเป็คนเป็ได้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็ยอดสมุนไพรเลยทีเดียว หากตกอยู่ในมือปรมาจารย์หลอมยาลูกกลอนละก็ จะต้องเกิดประโยชน์มหาศาลแน่นอน...
“โชคดีไม่เบาเลยแฮะ...” หลินเฟยพยายามกดความตื่นเต้นไว้ในใจ ก่อนจะรีบโคจรพลังเหาะเหินมุ่งหน้าไปยังหน้าผาทันที จากนั้นก็บรรจงขุดดอกจื่อถานม่วงออกมาอย่างเบามือ และล้วงเอากล่องหยกออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน จากนั้นก็วางดอกจื่อถานม่วงเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากเสร็จเื่ทุกอย่าง หลินเฟยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก...
แต่ตอนที่กำลังจะจากไปนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“เ้าหนุ่ม ที่แห่งนี้อันตรายมากนัก ทางที่ดี จงรีบจากไปเสียดีกว่า อย่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในที่แบบนี้เลย...”
เมื่อสิ้นเสียงปริศนานั่น ก็มีผู้บำเพ็ญวัยกลางคนในอาภรณ์สีเขียวค่อยๆเดินออกมา เมื่อกวาดตามองไปก็พบว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด รูปร่างสูงโปร่ง มือหนึ่งก็ไขว้หลังเอาไว้ ส่วนอีกมือก็กำลังกุมคัมภีร์ม้วนหนึ่งอยู่ ทุกย่างก้าวเอื่อยเฉื่อยราวกับกำลังชมทิวทัศน์ ช่างดูสุภาพเหลือเกิน ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดรู้สึกเคารพนับถือด้วยไม่ได้...
“หือ?” หลังจากเก็บกล่องหยกเข้าไปในกระเป๋าเฉียนคุน หลินเฟยก็ค่อยๆลอยตัวลงมาช้าๆ จากนั้นก็มองไปยังผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามา...
และก็พบว่า คนคนนั้นเป็ถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน!
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------