“หากการสาบานตนไม่มีผล อาจารย์คงไม่ให้เ้าสาบานหรอก”
ขงเหวินกล่าวจริงจัง จากนั้นอธิบายการสาบานตนกับนักฝึกฝนให้เขาฟัง
เข้าใจให้ง่ายขึ้นก็คือ การสาบานตนก็เหมือนข้อห้ามที่ไม่ให้ฝ่าฝืน หากผิดคำสาบาน ไม่ว่าจะเป็นักหลอมโอสถหรือนักฝึกตน การสาบานนี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต ราวกับมารในจิตใจ จนถึงคราวที่เ้าเอาชนะมันได้ถึงจะหายไป หรืออีกแบบคือ…เ้าหายไปเสียเอง
หากเป็นักหลอมโอสถ มีความเป็ไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะคงที่อยู่ที่ขั้นนั้นตลอดไป
จะแย่กว่านี้หากเป็นักฝึกตน หากสาบานตนตอนที่บรรลุขั้นมันจะแปรเปลี่ยนเป็มารในใจรังควานเ้า เบาบางอาจาเ็สาหัส ร้ายแรงอาจได้รับาเ็เรื้อรัง ขังเ้าไว้ยังมิตินั้นชั่วชีวิต ดังนั้นนักหลอมโอสถและนักฝึกตนทั่วไปจะไม่กล่าวคำสาบานตนออกมาง่ายดาย
โหยวเสี่ยวโม่ฟังแล้วเหงื่อแตกพลั่ก โชคดีที่เขาไม่ได้ผิดคำสาบานคราวก่อนที่ไปสายกลาง ไม่เช่นนั้นสิ่งนั้นคงติดตามเขาเป็เงาตามตัวแน่ จากนั้นเขาคงไม่มีทางบรรลุขั้นได้อีก
ทว่าพูดถึงความภักดีกับสำนักเทียนซิน โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าเขากับสำนักเทียนซินยังไม่มีความผูกพันถึงขั้นลึกซึ้ง อีกอย่างเขาไม่้าวิชายุทธ์ของสำนักเทียนซินด้วย หากต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักเทียนซินเพียงเพราะตำราเปล่าประโยชน์นี่ ดูเหมือนจะเสียเปรียบเอาการ
ดีที่ขงเหวินไม่ได้ให้เขาสาบานเสียั้แ่ตอนนี้
การถ่ายทอดเคล็ดวิชานั้นเป็เื่ใหญ่ แม้ว่าเขาจะเป็หนึ่งในสามนักหลอมโอสถขั้นสูงของสำนักเทียนซิน ก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ได้ตามอำเภอใจ ต้องยื่นเื่ไปยังเบื้องบนก่อน และรอการอนุมัติของเหล่าผู้าุโ
โหยวเสี่ยวโม่โล่งอกเสียที
“เ้าเจ็ด อาจารย์คงช่วยเ้าได้เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ยังต้องอาศัยความเพียรพยายามของตัวเ้าเองด้วย นอกจากนี้ อาจารย์เคยบอกไว้ว่าหากศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองของเ้าได้รับเลือกเป็ศิษย์ของเยี่ยหาน อาจารย์จะให้เ้าขออะไรก็ได้ข้อหนึ่ง เื่นี้ยังมีผลอยู เ้าคิดได้หรือยังว่าอยากได้อะไร?” ขงเหวินเอ่ยสีหน้าอ่อนโยน
“ขอบคุณอาจารย์ขอรับ แต่ศิษย์ยังไม่ได้คิด ขอข้าคิดดูก่อนได้หรือไม่?” เกือบลืมเื่นี้ไปแล้ว
“ได้สิ เ้าคิดได้เมื่อไหร่ก็มาบอกอาจารย์ก็แล้วกัน” ขงเหวินพยักหน้า
ได้กล่าวอำลากับอาจารย์ โหยวเสี่ยวโม่ก็วิ่งกลับไป ระหว่างทางพบเจอศิษย์มากมาย เมื่อเห็นเขาก็เผยสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวคำยินดีกับเขาในเื่ผ่านการทดสอบ มีบางคนถึงกับตบบ่าเขาอย่างแรง ที่เขาเอาชนะเจียงหลิวคนที่โดดเด่นที่สุดของทัพ์ได้ ไม่มีใครเก็บความดีใจไว้ได้เลยสักคน โดยเฉพาะศิษย์พี่ที่เคยถูกพวกทัพ์เยาะเย้ย
โหยวเสี่ยวโม่ถูจมูกแก้เขิน ไม่คิดว่าเื่จะแพร่มาเร็วเพียงนี้
หลังจากนั้นกล่าวลาศิษย์พี่ศิษย์น้อง โหยวเสี่ยวโม่ก็เดินกลับห้องพัก พบว่าศิษย์ห้องข้างๆ นั้นยังไม่กลับมากัน เขาจำได้ว่าศิษย์พี่ทั้งสองนั้นก็ผ่านการทดสอบด้วย คงออกไปฉลองกับทุกคนแล้ว
เปิดประตูออกกำลังจะเดินเข้าไป โหยวเสี่ยวโม่ฝีเท้าชะงัก ในห้องรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย เงยหน้าก็เห็นเงาคนเดินออกมาจากม่านบังลม ชุดขาวสง่างามรูปร่างสูงปราดเปรียว
โหยวเสี่ยวโม่ดวงตาเป็ประกายเมื่อได้เห็นเขา “ศิษย์พี่หลิง ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ทำไม ไม่ดีใจที่เห็นข้างั้นหรือ?” หลิงเซียวหรี่ตามอง แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมา
“ไม่นะๆ ข้ากำลังจะหาท่านอยู่พอดี” โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวพลัน เด้งตัวอย่างดีใจไปข้างหน้าเขา “ศิษย์พี่หลิง ข้าจะบอกข่าวดีให้ ข้าผ่านการทดสอบแล้ว จากวันนี้เป็ต้นไป ข้าก็เป็ศิษย์หลักของสำนักเทียนซินแล้ว จะลงเขาเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจเสียที”
หลิงเซียววางอุ้งมือบนหัวเขา ยิ้มเบาๆ “ข้ารู้แล้ว แต่ที่เ้าบอกข้ามาทั้งหมด สิ่งที่อยากบอกจริงๆ คือประโยคหลังสินะ?”
โหยวเสี่ยวโม่ขำคิกคัก เขาก็ตั้งใจแบบนั้นจริงๆ
“เื่การขายประมูล ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเ้าเตรียมของให้เสร็จก็พอ พวกเราพร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อ แต่ก่อนหน้านั้น ต้องจัดการเื่ของเ้าให้เสร็จก่อน” หลิงเซียวเอ่ย ที่เขามาหาก็ด้วยเหตุผลนี้
“ข้า? มีเื่อะไรงั้นหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่สงสัย
หลิงเซียวบีบจมูกเขา หัวเราะขึ้นจมูกแล้วเอ่ย “ขงเหวินยังไม่ได้บอกเ้าเื่เคล็ดวิชายุทธ์หรือไง?”
โหยวเสี่ยวโม่ถูกเขาบีบจนหายใจไม่ออก รีบปัดมือเขาออก แล้วเอ่ยอย่างตะลึง “ท่านรู้ได้ยังไง อาจารย์พึ่งบอกกับข้าเมื่อครู่เอง อีกอย่างเขายังบอกอีกว่าหากข้าอยากเรียนต้องสาบานตนก่อน ข้ากำลังหาท่านเพื่อปรึกษาเื่นี้อยู่พอดี!”
สำหรับเื่นี้มันละเื่ที่เขานึกถึงแต่ตัวเอง หลิงเซียวค่อนข้างพอใจ
เพราะนี่หมายถึงโหยวเสี่ยวโม่เริ่มคุ้นเคยกับการมีตัวตนของเขา และยังค่อยๆ พึ่งพาเขาโดยไม่รู้ตัว เวลาผ่านไป ความพึ่งพานี้ต้องกลายเป็ความรู้สึกที่ขาดเขาไม่ได้
“เื่นี้เดาได้ไม่ยาก ความสามารถที่หอประชุมของเ้านั้นน่าทึ่ง แถมยังข่มทัพ์ได้ ลำพังข้อนี้ ก็ทำให้สำนักเทียนซินเห็นคุณค่าเ้าแล้ว แม้ว่าคุณสมบัติของเ้าจะกำหนดอนาคตของเ้าแล้ว แต่ศิษย์ที่เก่งกาจของแขนงโอสถก็ใช่ว่าจะเป็นักหลอมโอสถขั้นสูงได้ทุกคน จากการแสดงความสามารถของเ้าวันนี้ หากขงเหวินยังไม่ให้ความสำคัญกับเ้า นั่นแปลว่าเขาแค่รับเ้าส่งๆ เท่านั้น” หลิงเซียวเอ่ยอย่างมั่นใจ แม้วันนี้เขาจะไปดูการทดสอบจริง แต่เื่พวกนี้ก็สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว
โหยวเสี่ยวโม่สีหน้าชื่นชม เอ่ยชมจากใจ “ศิษย์พี่หลิง ท่านยอดเยี่ยมที่สุด การทดสอบพึ่งจบลงไม่นานท่านก็รู้อะไรเยอะแยะ งั้นท่านมีวิธีไหนกัน ตอนนี้ข้ามีเคล็ดวิชาิญญา์แล้ว วิชายุทธ์เล่มนั้นของสำนักเทียนซินก็ไม่มีค่าอะไรกับข้าแล้ว”
เขาไม่อยากสาบานตน ไม่อยากผูกมัดตัวเองเพียงเพราะวิชายุทธ์อันเปล่าประโยชน์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะหากปฏิเสธไป นั่นก็แปลว่าเขาไม่อยากจงรักภักดีกับสำนักเทียนซิน ผลลัพธ์แบบนั้นนคงแย่กว่าการผิดคำสาบานแน่ เขานึกภาพออกเลยว่าอาจารย์จะมีสีหน้าแบบไหน
“ขยะเล่มนั้นไม่มีประโยชน์กับเ้าจริงๆ นั่นแหละ” หลิงเซียวเดินเข้าไปด้านใน
โหยวเสี่ยวโม่รีบตาม จากนั้นเอ่ยเสียงขำๆ “ศิษย์พี่หลิง ท่านเก่งกาจเพียงนี้ ท่านพอจะมีวิธีให้ข้าไม่ต้องสาบานแล้วก็ไม่ทำให้อาจารย์สงสัยในตัวข้าได้หรือไม่?”
หลิงเซียวชำเลืองเขาทีหนึ่ง สายตาแฝงด้วยอารมณ์น่าขบขัน เงื้อมือขึ้นมาเคาะหัวเขาทีหนึ่ง “เ้าฝึกประจบเป็แล้วสินะ”
โหยวเสี่ยวโม่ลูบหัว ทำปากจู๋ แล้วบ่นในใจ ก็ต้องแหงอยู่แล้ว!
“มานี่” หลิงเซียวนั่งลงข้างเตียง จากนั้นกระดิกนิ้วเรียกเขา
ใบหน้าอ่อนโยนมากก็จริง แต่ทำไมความรู้สึกที่โหยวเสี่ยวโม่ได้คือหมาป่าหางยาวกำลังเรียกเขาอยู่ ท่าทางนั้นมองแล้วก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ตอนนี้ที่พึ่งของเขามีเพียงหลิงเซียว
เดินอืดอาดเข้าไป โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะซื่อๆ แล้วถาม “ศิษย์พี่หลิง จะทำอะไรหรือ?”
“ถอดรองเท้าขึ้นเตียง ข้าจะบอกเ้าอีกที” หลิงเซียวมองเขาอย่างกะล่อน พร้อมกับชี้ไปที่ข้างๆ เขา
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดงซ่านทันที เหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ควร ความรู้สึกนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น ชัดเจนจนเขาแทบอยากหันหลังกลับ แต่ว่าทำไม่ได้…
จัดการถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นเตียงช้าๆ จากนั้นนั่งขัดสมาธิหน้าหลิงเซียว
หลิงเซียวขยับตัวเข้าหาเขา ปลายจมูกห่างออกไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเิเ ลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นออกมาราวกับไอน้ำจากหม้อต้มน้ำร้อนก็ไม่ปาน พ่นออกมาจนโหยวเสี่ยวโม่หูแดง
“ศิษย์พี่หลิง…” โหยวเสี่ยวโม่พูดเสียงค่อย สองมือไม่รู้วางตรงไหนดี
หลิงเซียวมุมปากโค้งขึ้น ริมฝีปากขยับเบาๆ “ไม่รีบ เดี๋ยวข้าจะบอกที่มาของคำสาบานให้เ้า”
โหยวเสี่ยวโม่มองตาปริบๆ ที่มาของคำสาบานหรือ? อาจารย์เหมือนจะไม่ได้เล่าให้เขาฟัง เพียงแต่บอกเื่ข้อจำกัดและผลร้ายของการสาบาน
“เ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมคำสาบานถึงมีผลต่อนักฝึกตน” หลิงเซียวเอ่ยถาม
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัว ข้อนี้เขาก็สงสัยเหมือนกัน หากการสาบานตนได้ผลจริง คนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคงสูญสิ้นกันหมด เพราะพวกเขาเอาแต่สาบาน แต่ไม่เคยทำได้เลย
หลิงเซียวไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบจากเขา จึงเอ่ยต่อ “นอกจากโลกกับ์ ยังมีที่แห่งหนึ่งชื่อว่าดินแดนความว่างเปล่า มีสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ความว่างเปล่า เมื่อนักฝึกตนกล่าวคำสาบาน ความว่างเปล่าก็จะออกจากดินแดนความว่างเปล่าเข้าสู่ร่างกายของนักฝึกตน จากนั้นก่อตัวอยู่กับดวงิญญา หากนักฝึกตนผิดคำสาบาน เผ่าความว่างเปล่าก็จะกลืนกินเข้าไปยังดวงิญญาของผู้สาบานตน จากนั้นก่อเกิดเป็มารในใจ จนกว่าจะทำให้ผู้สาบานตนนั้นชีวิตพินาศลง”
โหยวเสี่ยวโม่ฟังแล้วขนลุกซู่ เช็ดเหงื่อในมือ “ถ้างั้นไม่มีทางเอาชนะความว่างเปล่านี่ได้เหรอ?”
หลิงเซียวขำแล้วเอ่ย “ไม่มี มีเพียงความแน่วแน่ของตัวเองที่จะเอาชนะความว่างเปล่าและสลัดความว่างเปล่านี้ออกได้ แต่การสลัดความว่างเปล่าออกได้นั้นมีข้อดีมากๆ ข้อนึง”
“ข้อดีอะไร?” โหยวเสี่ยวโม่ตาเป็ประกาย รีบถาม
หลิงเซียวมองตาเป็ประกายของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกมันเขี้ยว เอ่ยตาพริ้ม “ข้อดีก็คือ วันข้างหน้าหากสาบานอีกก็ไม่ต้องกลัวความว่างเปล่าอีกต่อไป อิงจากคำสาบานของเ้าความว่างเปล่าก็จะมีรูปร่างแตกต่างกันไป หากคำสาบานของเ้านั้นมีความว่างเปล่าที่รูปร่างเล็กกว่าคำสาบานก่อนหน้าที่เ้าเอาชนะได้ ถ้างั้นแม้จะผิดคำสาบานก็จะไม่ส่งผลอะไร”
“ดีขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นถ้า…”
“แน่นอน เ้าอยากลองดูรึเปล่าล่ะ?” หลิงเซียวหัวเราะแบบมีเลศนัยแล้วถามกลับ
โหยวเสี่ยวโม่เห็นท่าทางเขา ทันใดก็รู้ตัว รีบโบกมือปฏิเสธ หัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าล้อเล่นน่ะ”
