อวิ๋นอี้กลับไปนั่งเงียบๆ ที่เดิม
เมื่อเข้าพลบค่ำท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกอยู่ใต้ขอบฟ้าอย่างสมบูรณ์ โลกพลันมืดสนิท
หลังจากที่รอมานาน ผู้ที่อยากเจอกลับมิได้ปรากฏตัว
ประตูยังคงปิดอยู่ ดวงตาของนางเ็ปจากการจ้องมอง
ในเสี้ยววินาทีนั้น ดูเหมือนอวิ๋นอี้จะเข้าใจในที่สุด
หรงซิวไม่มาหานาง อาจจะมีเหตุผลอื่น หรือบางทีเขาอาจจะใส่ใจหว่านฉือมากกว่า
แม้ว่าจะเป็อย่างหลัง นางปลอบใจตนเองว่าเป็เื่ที่ดี
ยิ่งพบจุดยืนในความสัมพันธ์นี้เร็วเท่าใด ยิ่งสามารถตัดสินได้อย่างถูกต้องว่าจะไปที่ใดได้เร็วเท่านั้น
โชคดีที่ความสัมพันธ์ของนางกับหรงซิวเพิ่งเริ่มต้น นางยังมิได้ถลำลึก หากนางจะถอนตัวตอนนี้คงไม่เสียใจเท่าใดนัก
อวิ๋นอี้ถอนหายใจช้าๆ ความหิวในท้องทำให้นางทนไม่ไหว จึงตัดสินใจออกไปกินข้าว
นางเก็บของ ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกพลันต้องใ ลู่จงเฉิงกำลังยืนอยู่หน้าประตู อยู่ตรงหน้านางใกล้ๆ
อวิ๋นอี้มุมปากกระตุก มองไปที่เขาทันใดแล้วพูด “ท่านมหาเสนาบดีลู่มาหาข้าหรือ?”
“ข้าเห็นว่าดึกมากแล้ว ท่านยังไม่กลับจวนจึงมาดูพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดเบาๆ ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสลัวตรงทางเดิน มองอารมณ์ไม่ออก
อวิ๋นอี้ยิ้มอย่างอึดอัดและตอบว่า "ข้ากำลังจะกลับเ้าค่ะ มหาเสนาบดีไม่กลับหรือเ้าคะ?"
"กลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าไปด้วย"
อวิ๋นอี้มิมีทางปฏิเสธ นอกจากต้องพยักหน้าและตามหลังเขาไป
ทั้งสองลงไปข้างล่างด้วยกัน เนื่องจากเลยเวลาอาหารมาแล้ว ห้องโถงจึงมีคนไม่มากนัก มีคนเพียงไม่กี่โต๊ะที่รวมตัวกันเพื่อพูดคุย
จ่างกุ้ยชำเลืองมองทักทายอย่างมีความสุข “ท่านมหาเสนาบดีลู่ พระชายาพ่ะย่ะค่ะ จะกลับแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อื้ม” ลู่จงเฉิงพูด
จ่างกุ้ยพูดอย่างละมุนละม่อม "ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านทั้งสองคงหิวแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดจึงไม่อยู่ทานข้าวก่อนค่อยกลับเล่าพ่ะย่ะค่ะ? ”
อวิ๋นอี้จำได้ว่าฝีมือพ่อครัวคนใหม่ดีเพียงใด หนอนตะกละที่จมลงในท้องในที่สุดก็ชอนไชขึ้นมาอีกครา
นางมองดูลู่จงเฉิงจากด้านข้าง รอคำตอบของเขาพลันเห็นเขาเหลือบมองนาง ปากกระตุกเล็กน้อย เบือนหน้าออกแล้วพูด "ดี"
จ่างกุ้ยพาทั้งสองคนไปที่ห้องโถงข้างหน้าต่าง หลังจากเช็ดโต๊ะแล้วแนะนำอาหารอีกสองสามอย่าง
อวิ๋นอี้เหลือบมองขวดเหล้าที่วางอยู่หลังโต๊ะต้อนรับ ตาเป็ประกาย ก็บอกให้จ่างกุ้ยเอามาลอง
จ่างกุ้ยทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “นี่...พระชายาจะดื่มตอนกลางคืน..."
"ข้าเพียงแค่จะชิม" อวิ๋นอี้พูด ในใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย "ข้าดื่มมิได้หรือไร? ”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ” จ่างกุ้ยเอาใจยาก “ข้าจะไปเอามาให้พ่ะย่ะค่ะ”
อาหารสดร้อนถูกนำขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอี้ดื่มเหล้าไปสองแก้ว หัวใจและปอดถูกแผดเผาจากฤทธิ์เหล้า
“กินเยอะๆ พ่ะย่ะค่ะ"
ลู่จงเฉิงพูดพลันตักทังยื่นส่งให้นาง
นิ้วของเขาขาวเรียว มีข้อต่อชัดเจน ดูดีมาก อวิ๋นอี้จำได้ว่ามือของหรงซิวก็เป็เช่นนี้ ณ ตอนนี้ความคับข้องใจและความรู้สึกไม่สบายในใจของนางเหมือนน้ำท่วมที่กำลังจะล้นเขื่อน
อาจจะเป็เพราะกลางคืนที่ทำให้เศร้า อาจจะเป็เพราะฤทธิ์เหล้าที่ทำให้สับสน นางก้มหน้าดื่มทัง น้ำตาไหลอาบแก้ม
อาหารมื้อนี้เงียบเชียบนัก
อวิ๋นอี้มิได้ดื่มมาก นางยังมีสติดี ทว่าเมื่อนางยืนขึ้น ร่างกายของนางกลับสั่นไหวอย่างควบคุมมิได้
ลู่จงเฉิงข้างๆ ขมวดคิ้ว ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงนาง น้ำเสียงของเขายังคงแ่เบา "ระวังพ่ะย่ะค่ะ"
"ขอบคุณ...ขอบคุณนะเ้าคะ..." นางเหลือบมองเขาอย่างซาบซึ้ง ดวงตาของนางสีแดง ใบหน้าขาวๆ ของนางทำให้มันชัดเจนเป็พิเศษ
ลู่จงเฉิงรู้สึกแย่ในใจ อึดอัด ทว่าอธิบายไม่ถูก
เขาตอบรับเสียงอืม และช่วยนางเข้าไปในรถม้า
ความเร็วบนท้องถนนในตอนกลางคืน ล้อที่วิ่งข้ามถนนหินโบราณ ทำให้เกิดเสียงทื่อๆ
อวิ๋นอี้เอนพิงกำแพงรถ ฟังเสียงที่ดังเข้ามาในหูนับไม่ถ้วน นางก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น
รถพานางไปส่งที่จวนองค์ชายเจ็ด เพราะนางดื่มเหล้าไป ทำให้เดินไม่ตรง ตอนที่ลงจากรถลู่จงเฉิงจึงต้องพยุงนางให้ลง
นางยืนตัวสั่น ก้าวออกไปพลันล้มลงทันที คิดมิถึงว่าจะหล่นลงไปในอ้อมกอดของเขาพอดี
อวิ๋นอี้จิตใจไม่ดี รีบลุกขึ้นจากบุรุษผู้นั้น ยังมิทันที่จะยืนได้นิ่ง ข้อมือของนางก็โดนจับจนรัดแน่นขึ้นทันใด นางยังมิทันได้เห็นคนตรงหน้าชัดก็ถูกลากเข้าไปในอ้อมแขนเสียแล้ว
แขนที่วางบนไหล่ของนางนั้นกดลงมาจนหนัก ทำให้นางเ็ป
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสันกรามคุ้นตาอันละเอียดอ่อนที่คุ้นเคยเป็อย่างยิ่ง ทว่าน่าขยะแขยงยิ่งนัก นางดิ้นรนอย่างมิได้ผล กัดฟันพูด "ฝ่าาปล่อย!"
บุรุษร่างสูงราวกับหยกมิได้สนใจนาง ทว่ากลับมองลู่จงเฉิงอย่างเฉยเมย พูดอย่างสุภาพว่า "ขอบใจท่านมหาเสนาบดีลู่ที่ส่งชายาข้ากลับจวน”
เขาจงใจพูดคำว่าชายาเน้นๆ ราวกับเน้นย้ำความเป็เ้าของราวกับเด็กน้อย
ลู่จงเฉิงหัวเราะอย่างดูแคลนเป็คราแรก "ในเมื่อฝ่าารู้ว่านางเป็ชายา ต่อไปก็โปรดพานางกลับจวนเองนะพ่ะย่ะค่ะ อย่าปล่อยให้ข้าทำตลอดเวลา ผู้ใดที่มิรู้ คงจะคิดว่าพระชายาคือภรรยาของข้า!”
เขาสงวนตัวและไม่ก้าวร้าวเสมอมา ดังนั้นเมื่อเขาพูดเช่นนี้ ทั้งหรงซิวและอวิ๋นอี้จึงใเล็กน้อย
เมื่อถูกยั่วยุต่อหน้า เส้นเืบนมือของหรงซิวก็โปนออกมา
เขามองดูลู่จงเฉิงด้วยสีหน้าที่เ็ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ "มหาเสนาบดีลู่ตำแหน่งสูงส่งยิ่งนัก ควรระวังคำพูดมากกว่านี้"
“ข้าจะปฏิบัติตนอย่างไร มิจำเป็ต้องให้องค์ชายมาชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เข้าไปใกล้หรงซิวและกระซิบที่หูของเขา "องค์ชายเองนั่นแหละที่ควรดูแลคนของท่าน อย่าให้ผู้อื่นมีโอกาสได้"
คำพูดนี้ของลู่จงเฉิงเป็การพูดย้ำความเกรงกลัวในใจของหรงซิวเต็มๆ
เห็นลู่จงเฉิงเดินออกไปไกลเรื่อยๆ คลื่นในแววตาของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
เมื่อวานที่ส่งหว่านฉือกลับไปจวน เพราะมิอยากให้นางอาการกำเริบอีก จึงเรียกหมอหลวงมาตอนกลางคืน ต้องวุ่นวายจนเช้าถึงได้พ้นขีดอันตราย
หรงซิวตั้งใจจะกลับบ้าน ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับผล็อยหลับไปข้างๆ เตียงหว่านฉือ
พอตื่นมาอีกทีก็เป็เวลาพลบค่ำแล้ว
หว่านฉือค่อยๆ ดีขึ้นมา รู้เื่ที่เขาช่วยเหลือ จึงเลี้ยงอาหารเป็การขอบคุณ
หรงซิวอยากปฏิเสธแต่นางไล่ถาม "ถึงจะเป็คนรักกันมิได้แต่ การเป็เพื่อนกันมาั้แ่เด็กจะกินข้าวด้วยกันมิได้เลยหรือไร ?
ความสัมพันธ์ลับๆ ของพวกเขา หว่านฉือไม่เคยติดค้างเขา ทว่ากลับเป็เขาเองที่รู้สึกผิดต่อนาง
หรงซิวตกลงทานอาหาร ทานเสร็จก็มิได้อยู่ต่อนาน เพียงเพราะเขารู้สึกกังวลอวิ๋นอี้ที่อยู่ในบ้าน จึงรีบกลับมา ทว่ากลับได้เห็นภาพที่พวกเขากอดกันอยู่ที่ประตู
ความหึงหวงทำให้เขาเสียสติ ร่างกายของเขาพลันตอบสนองไปก่อน
เขาดึงสาวน้อยกลับเข้าไปในอ้อมแขน รู้สึกถึงความอบอุ่นของนาง ราวกับว่าเขาได้มีนางอยู่เคียงข้างจริงๆ
อวิ๋นอี้ดื่มมา อารมณ์ไม่ดี การกอดรัดของหรงซิวทำให้นางยิ่งอึดอัด
มิมีใครอยู่บนถนน มีเพียงแสงสลัวทำให้เงาของร่างทั้งสองทอดยาวนางโบกมือไปมาในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “ปล่อย! ปล่อยนะ!”
“ปล่อยหรือ? ปล่อยให้เ้าไปหาลู่จงเฉิงหรือไร?” หรงซิวพูดขึ้นมาทันควัน แล้วถามนางอย่างเย้ยหยัน “กระหนุงหระหนิงกับบุรุษกลางดึก พระชายาเคยมีข้าในสายตาบ้างหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้