กู้เจิงไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ นางเขยิบตัวแนบชิดเขาและเอ่ยอย่างโมโหยามดวงตาเ็าของเขามองมาอีกครั้ง “ท่านมองข้าเช่นนี้ทำไมเ้าคะ?”
“เ้าจำสามีผิด ยังจะทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้อีกหรือ?” เสิ่นเยี่ยนฉุนจัด
กู้เจิงสะอึกไป น้ำเสียงของนางอ่อนลงในพริบตา “ด้านหลังของแม่ทัพเซี่ยก็สูงใหญ่เช่นท่าน พวกท่านคล้ายกันจริงๆ เ้าค่ะ”
“อย่าเปรียบเทียบเขากับข้า”
กู้เจิงมองเขาอย่างแปลกใจ “ท่านแม่ทัพเซี่ยปกป้องบ้านเมือง เป็ถึงเทพา หากไม่มีเขาคอยคุ้มกันชายแดน ไหนเลยจะมีชีวิตสงบสุขเช่นนี้ได้เ้าคะ”
“เ้าช่วยพูดแทนเขาหรือ?”
กู้เจิงอ้าปากค้าง “ข้าก็แค่แสดงความคิดเห็นของข้าเท่านั้น ทำไมท่านถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วยเ้าคะ? หรือท่านจะมีความแค้นอะไรกับเขา?”
“เปล่า” น้ำเสียงของเขากลับมาเป็ปกติ
ไม่สิ ต้องมีปัญหาแน่ๆ เสิ่นเยี่ยนดูมีบางอย่างผิดปกติ แต่คนหนึ่งเป็แค่คนธรรมดา ส่วนอีกคนเป็ถึงแม่ทัพปกป้องแคว้น แล้วพวกเขาจะมามีปัญหาเกี่ยวข้องอะไรกันได้? กู้เจิงคิดไม่ออก
“ข้าเหนื่อยจังเลยเ้าค่ะ” กู้เจิงกอดแขนสามี นางเอนศีรษะพิงไหล่เขา ก่อนหลับตาลง
เสิ่นเยี่ยนกลับรู้สึกไม่สงบใจนัก เขาไม่เคยแสดงอารมณ์ด้านนี้สู่ภายนอก แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะเปิดเผยมันต่อหน้าภรรยาและผู้ชายคนนั้น วันที่ตวนอ๋องแต่งงาน อีกฝ่ายอยู่ที่จวนตวนอ๋องด้วยหรือ? เื่นี้ตวนอ๋องไม่เคยบอกเขา เขารู้ว่าชายคนนั้นกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ แต่ไม่รู้ว่าตวนอ๋องได้พบเขาแล้ว
เสิ่นเยี่ยนไปกินข้าวที่บ้านของผู้นำตระกูล
กู้เจิงถูกทิ้งให้อยู่กับพ่อแม่สามี อาหารที่กินกันเย็นนี้คือหม้อไฟเตาถ่าน พอพวกนางถึงบ้าน นายหญิงเสิ่นก็ได้จัดวางผักไว้เต็มโต๊ะ และยังมีเนื้อแกะ เนื้อวัว และเนื้อหมูหั่นเป็ชิ้นบางๆ เตรียมไว้สำหรับทุกคนแล้ว
อาหารที่นายหญิงเสิ่นทํานั้นประณีตและอร่อยเสมอ กู้เจิงถูกอาหารตรงหน้าดึงดูด นางอดใจรอไม่ไหวที่จะกิน
ตอนที่นายหญิงเสิ่นยกจานสุดท้ายออกมา ทุกคนถึงเริ่มลงมือกินกัน
“ท่านแม่ทัพเซี่ยกลับมาเมืองหลวงแล้วจริงๆหรือ?” นายท่านเสิ่นได้ยินลูกสะใภ้เล่าว่าได้เจอเซี่ยอวิ้นเทพาของต้าเยว่ก็มีสีหน้าตื่นเต้น “เ้าแน่ใจนะว่า ท่านผู้นั้นคือแม่ทัพเซี่ยจริงๆ ?”
กู้เจิงพยักหน้า “ท่านพี่ได้เข้าไปคุยกับเขา และเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพเซี่ยเ้าค่ะ”
“ทำไมข้าถึงไม่ได้ข่าวเลยล่ะ?” นายท่านเสิ่นสงสัยอยู่บ้าง ก่อนจะกล่าวด้วยความดีใจว่า “แม่ทัพเซี่ยปกป้องบ้านเมือง ไม่ถึงยี่สิบปีก็ขับไล่ข้าศึกออกจากแคว้นได้หมด เขาช่างกล้าหาญเก่งกาจยิ่งนัก”
“ท่านแม่ทัพในตอนนั้นคงจะยังเป็เด็กหนุ่มอยู่กระมังเ้าคะ”
ชุนหงกินอาหารไปพร้อมกับฟังพ่อเฒ่าเสิ่นสนทนากับคุณหนูอย่างเพลิดเพลิน นางถามว่า “ท่านพ่อเฒ่าเสิ่น แม่ทัพเซี่ยก็เกิดในชนชั้นสามัญหรือเ้าคะ?”
นายท่านเสิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เื่นี้ข้าไม่รู้เลย ชาวบ้านต่างพูดถึงความกล้าหาญของท่านแม่ทัพ แต่กลับไม่เคยพูดถึงอย่างอื่น”
“ครั้งก่อนน้องสี่บอกข้าว่า แม่ทัพเซี่ยและภรรยาเป็เด็กกำพร้า เติบโตขึ้นมาด้วยกันแต่เด็ก และคอยสนับสนุนเกื้อกูลกันและกันจนมาถึงปัจจุบันเ้าค่ะ” กู้เจิงคีบเนื้อหมูใส่ปาก นางแอบเห็นว่าแม่สามีนั่งนิ่งมองอาหารในชามด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “ท่านแม่ เป็อะไรไปเ้าคะ?”
นายหญิงเสิ่นยิ้มบางๆ และลุกขึ้นนำเนื้อในจานใส่หม้อ “ข้าจะไปหั่นเนื้อเพิ่มอีกหน่อย”
“งั้นข้าจะไปหั่นเนื้อแกะเพิ่มด้วยเ้าค่ะ” ชุนหงลุกขึ้นไปกับนายหญิงเสิ่น
“ไหนเ้าบอกมาสิว่าท่านแม่ทัพเซี่ยกับอาเยี่ยนคุยกันเื่อะไร?” นายท่านเสิ่นถามอย่างสงสัย
“พูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นเ้าค่ะ” กู้เจิงคิดว่าท่าทีของตนกับพ่อสามีที่มีต่อเทพาแห่งแคว้นต้าเยว่นั้นเป็สิ่งที่คนทั่วไปควรจะมี แต่ปฏิกิริยาของสามีกับแม่สามีดูจะแปลกเกินไป “ท่านพ่อ ท่านพี่เขาไม่ได้รู้จักท่านแม่ทัพเซี่ยมาก่อนใช่ไหมเ้าคะ?”
“จะรู้จักกันได้ยังไง? ท่านแม่ทัพเป็ถึงใคร? คนชนชั้นสามัญอย่างเราจะไปรู้จักได้อย่างไร? นอกจากนี้ ท่านแม่ทัพก็อยู่ที่ชายแดนมาตลอด ส่วนอาเยี่ยนก็ไม่เคยออกไปไหนนอกเมืองหลวงเลย”
กู้เจิงพยักหน้ารับ นางน่าจะคิดมากไปเอง
หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจิงกับชุนหงก็มีหน้าที่ล้างจานทำความสะอาด แต่ชุนหงเหมือนจะยังไม่อิ่มดี นางใช้เตาถ่านปิ้งขนมเข่งกินอีก
"ถ้ายังกินเยอะแบบนี้ อีกหน่อยเ้าต้องกลายเป็หมูอ้วนแน่” กู้เจิงล้อเลียนชุนหง
ชุนหงยื่นขนมที่ปิ้งเสร็จแล้วให้คุณหนูบ้าง “เช่นนั้นคุณหนูก็อย่ากินสิเ้าคะ”
“ส่งมาถึงปากข้าแล้ว ไม่กินก็เสียเปล่าสิ” กู้เจิงรับขนมมากัดคำหนึ่ง “ปิ้งมากินอีกสักสองสามชิ้นเถอะ”
ขณะที่นายหญิงเสิ่นถือตะกร้าไม้ไผ่ที่ล้างสะอาดแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัว ก็เห็นสองนายบ่าวกำลังแบ่งขนมกันกินอย่างซุกซน นางอดรู้สึกใไม่ได้ เพราะภาพที่นางเห็น คล้ายกับภาพความทรงจำของนาง มีคนสองคนที่หัวเราะคิกคักแย่งขนมกับนาง
“ท่านแม่?” กู้เจิงเห็นแม่สามีมองตนกับชุนหงอย่างเหม่อลอย
พอนายหญิงเสิ่นได้สติ นางก็รีบแขวนตะกร้าไม้ไผ่ แล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ดูเหมือนวันนี้ท่านแม่จะใจลอยนะ” เป็ั้แ่นางพูดถึงเทพาผู้นั้น
“เมื่อครู่ท่านป้าก็เกือบสะดุดล้มเ้าค่ะ” ชุนหงบอก
สีหน้าของแม่สามีดูแปลกไปจริงๆ กู้เจิงพลันนึกขึ้นได้ว่า ครั้งแรกที่พวกเขาไปกินขนมน้ำเต้าหู้ที่ร้านขนมเฉินหลาง เช้าวันนั้นคนรอบข้างพูดถึงท่านแม่ทัพเซี่ย สีหน้าของแม่สามีก็แปลกไป ทั้งยังเหม่อลอยทั้งวัน คล้ายกับในวันนี้มาก
ตอนที่เสิ่นเยี่ยนกลับมา กู้เจิงกำลังให้ชุนหงคำนวณเงินที่ใช้ไปกับหอสมุดในหลายวันมานี้ เห็นนางคิดคำนวณได้รวดเร็วและแม่นยำ ก็รู้ว่าการคิดบัญชีนี้คงไม่ได้ยากเกินมือนางแล้ว
“ไม่เลว ชุนหง ดูท่า่นี้จะคำนวณไม่ผิดเลย” กู้เจิงพอใจมาก
ใบหน้าเล็กของชุนหงเชิดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “บ่าวจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังเด็ดขาดเ้าค่ะ หลายวันมานี้ บ่าวอ่านหนังสือที่คุณหนูมอบให้วันละหนึ่งชั่วยาม บ่าวอ่านหนังสือห้าเล่มที่คุณหนูให้มาใกล้จะจบแล้วเ้าค่ะ” เห็นท่านบุตรเขยผลักประตูเข้ามา นางก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “บ่าวจะไปเอาน้ำนะเ้าคะ”
“ท่านพี่ กลับมาเร็วขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเดินไปรับเสื้อนอกจากเขามาแขวนไว้ นางนึกว่าคนในตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมายพออยู่ด้วยกันจะคุยกันจนถึงดึกดื่น
“ข้าคุยกับท่านผู้นำตระกูลสักพักก็ขอตัวกลับมาก่อนน่ะ”
ชุนหงยกน้ำเข้ามา ท่านบุตรเขยไม่้าให้นางปรนนิบัติ ดังนั้นนางจึงไปปรนนิบัติคุณหนูแทน
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ชุนหงก็เก็บกวาดและเดินออกจากห้องไป
เสิ่นเยี่ยนหยิบหนังสือออกมาจากชั้นเพื่อมาอ่าน
เสิ่นเยี่ยนทำตัวตามปกติ แต่กู้เจิงก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป แต่แปลกที่ตรงไหนนางก็บอกไม่ถูก
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่กู้เจิงกำลังหลับสนิท อยู่ๆ พ่อสามีก็ส่งเสียงร้อนรนดังมาจากด้านนอก “อาเยี่ยน อาเจิง ท่านแม่ของพวกเ้ามีไข้ ข้าจะไปเรียกหมอ พวกเ้ามาช่วยดูนางไว้หน่อย”
กู้เจิงลืมตาอย่างงัวเงีย “ท่านพ่อหรือเ้าคะ?”
“ท่านแม่มีไข้ ข้าจะไปดูสักหน่อย” เสิ่นเยี่ยนรีบลุกขึ้นและสวมเสื้อคลุม
กู้เจิงเพิ่งได้สติ แม่สามีมีไข้หรือ? นางเองก็รีบสวมเสื้อและตามออกไป
ในห้องของพ่อแม่สามี ปกติแล้วกู้เจิงที่เป็ลูกสะใภ้ไม่สะดวกที่จะเข้าไปนัก แต่ตอนนี้พ่อสามีไม่อยู่ แม่สามีก็ป่วยอีก จึงไม่มีอะไรต้องกังวล
ตอนเข้ามาในห้อง นางเห็นเสิ่นเยี่ยนเอามืออังที่หน้าผากของมารดาอยู่
กู้เจิงเห็นใบหน้าซีดเผือดของนายหญิงเสิ่น นางนอนคิ้วขมวดด้วยท่าทางเ็ป
“เมื่อเย็นท่านแม่กินอะไรไป?” เสิ่นเยี่ยนถาม แม้มารดาจะดูเหมือนสตรีอ่อนแอ แต่นางสุขภาพแข็งแรงมาตลอด นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นมารดาไข้ขึ้นเช่นนี้
กู้เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “เมื่อเย็นข้ากับท่านพ่อและชุนหงกินไปเยอะมาก แต่ท่านแม่กินไปแค่ไม่กี่คำ ดูแล้วก็ไม่มีท่าทีไม่สบายอะไรนะเ้าคะ”
ตอนนั้นเอง นายท่านเสิ่นก็เข้ามาพร้อมท่านหมอ
หมอรีบเข้ามาตรวจชีพจรแล้วมองหน้านายหญิงเสิ่น เขาถามนายท่านเสิ่นกับเสิ่นเยี่ยนว่า “่นี้ที่บ้านมีเื่อะไรน่ากลัดกลุ้มหรือเปล่า?”
นายท่านเสิ่นส่ายหัว “ไม่มีนะ”
“นางเครียดมากเกินไป ข้าจะจัดยาให้นาง พวกเ้าบอกให้นางอย่าคิดฟุ้งซ่าน หรือคิดมากไปจนป่วยใจ” ท่านหมอกล่าว
นายท่านเสิ่นฟังแล้วถึงกับมึนงง ภรรยาเป็คนสงบเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร และก็ไม่ได้มีเื่ให้ต้องกังวลอะไร นางจะไปเอาความวิตกกังวลมาจากไหนกัน?
กู้เจิงเองก็รู้สึกว่าแม่สามีไม่ใช่คนประเภทคิดมาก เมื่อเห็นท่านหมอหยิบกระดาษและพู่กันออกมาก็รีบเอ่ย “ท่านหมอ ไปเขียนใบสั่งยาที่ห้องครัวเถอะเ้าค่ะ” พูดจบนางก็พาหมอออกไป
“อาเยี่ยน” นายท่านเสิ่นถามเสิ่นเยี่ยน “่นี้ที่บ้านเรามีเื่อะไรทำให้แม่เ้ากังวลใจหรือเปล่า?”
เสิ่นเยี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านพ่อ เมื่อเย็นนี้พวกท่านคุยอะไรไปบ้างขอรับ?”
“ไม่ได้คุยอะไรมาก ข้าแค่คุยกับอาเจิงเื่แม่ทัพเซี่ย” นายท่านเสิ่นบอก คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดภรรยาถึงไข้ขึ้นสูง
เสิ่นเยี่ยนมองใบหน้าซีดขาวของมารดาบนเตียง แววตาของเขาหม่นหมอง ชายผู้นั้นมีอิทธิพลต่อมารดามากขนาดนี้เชียวหรือ? ท่านแม่มีความรู้สึกต่อเขาเช่นไรกันแน่?
ที่ห้องครัวเมื่อท่านหมอได้หยิบสมุนไพรลดไข้ออกมา ส่วนใบสั่งยาที่หมอเขียนขึ้นมาใหม่ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปซื้อยาก็ได้ กู้เจิงต้มยาไม่เป็ นางจึงต้องไปปลุกชุนหงให้ตื่นมาทำ
ชุนหงต้มยาตามคำสั่งของท่านหมอหลังจากต้มไปสักหนึ่งก้านธูป นางก็เทใส่ชามเอาไปให้คนป่วยดื่ม
ตอนที่ชุนหงป้อนยาให้นายหญิงเสิ่น นางก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพักหนึ่ง สายตาของนางมีแต่ความมึนงงสับสน จากนั้นนางก็หลับลงไปอีกครั้ง
“พวกเ้าไปนอนเถอะ ข้าจะดูแลต่อเอง” นายท่านเสิ่นหันมาพูดกับลูกชายและลูกสะใภ้