เยว่เฟิงเกอกำลังจะเดินเข้าไปหา กลับถูกท่านแม่วัยกลางคนดึงตัวไว้
ท่านแม่แห่งหอชมบุปผาทึกทักว่าเยว่เฟิงเกอเห็นบุปผาอันดับหนึ่งของพวกนางอย่างเมิ่งซีหลัน จึงรีบร้อนรั้งตัวเยว่เฟิงเกอไว้พลางหัวเราะฮิฮะที่ข้างหูนาง “คุณชายท่านนี้ ท่านดูสิอันดับหนึ่งของหอเราถูกคุณชายกงซุนท่านนั้นพาตัวไปแล้ว ท่านว่า ท่านควรจะ...”
ท่านแม่กำลังจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกเยว่เฟิงเกอขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ต้องหรอก ข้าเองก็ไม่ใช่ว่า้าแค่อันดับหนึ่งของหอเ้าคนเดียวเสียเมื่อไร หาแม่นางที่ร้องเพลงเล่นดนตรีได้ให้ข้าเป็พอ”
ท่านแม่ของหอชมบุปผาได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มหน้าบาน นางคิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยท่านนี้จะว่าง่าย เพราะเมื่อก่อนคนที่มาที่นี่ไม่ว่าใครต่างก็พุ่งเป้าไปที่บุปผาอันดับหนึ่งอย่างเมิ่งซีหลันกันทั้งสิ้น บางครั้งยังถึงขั้นตีกันจนหัวร้างข้างแตกเพื่อแย่งชิงอีกฝ่ายกัน
ในเมื่อคุณชายท่านนี้พูดง่าย แน่นอนว่านางไม่รอช้ารีบไปหาสาวใช้ที่ร้องเพลงได้มาให้อย่างรวดเร็ว และยังพาคนมานั่งรอที่ห้องรับรองห้องหนึ่ง
ห้องที่เยว่เฟิงเกอนั่งอยู่นี้ใหญ่มาก จึงถูกแบ่งเป็สองส่วนโดยใช้ฉากกันลมกั้นไว้ตรงกลาง
เยว่เฟิงเกอนั่งลง ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม
ก่อนจะเห็นสาวใช้นางหนึ่งที่ทำหน้าที่ขับร้องบทเพลงกอดผีผาไว้ บรรเลงบทเพลงไปพลางขับร้องไปพลาง
ทว่า สาวใช้ที่อยู่ฝั่งนางร้องเพลงเสียงดังไปหน่อย รบกวนแขกอีกฟากของฉากกันลมที่กำลังสนทนาอยู่
ด้วยเื่นี้ทำให้บุปผาอันดับหนึ่งเมิ่งซีหลันอดขมวดคิ้วไม่ได้
สายตานางปรากฏแววดูแคลนออกมา แต่เพียงพริบตาก็เก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
นางยกจอกสุราขึ้นคารวะกงซุนหนานเสียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายกงซุน ผู้น้อยขอคารวะให้ท่านหนึ่งจอกเ้าค่ะ”
กงซุนหนานเสียนส่งยิ้มตอบกลับ ยกจอกสุราวางไว้ที่ริมฝีปากเช่นกัน แต่ไม่ได้ดื่มลงไป
ยามนี้สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่เงาร่างหลังฉากกันลมนั่น
“คุณชายกงซุน ท่านมองอันใดอยู่หรือเ้าคะ? ” เมิ่งซีหลันถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ก่อนจะเบนศีรษะไปมองทางฉากกันลม
สิ่งที่นางเห็นเป็เพียงเงาร่างของชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างผอมบางนั่งอยู่หลังฉากนั้น มืออีกข้างยังเคาะเป็จังหวะตามเสียงผีผา
แค่คนที่มาหาดนตรีฟังที่หอชมบุปผา มีอะไรให้น่ามองกัน?
อีกอย่างมีฉากกันลมขวางอยู่ อีกฝ่ายหน้าตาเป็อย่างไรก็หารู้ไม่
แล้วเหตุใดกงซุนหนานเสียนถึงได้ตั้งอกตั้งใจมองเช่นนั้น
กงซุนหนานเสียนดึงสติกลับมา ดื่มสุราในจอกหมดในคราวเดียว
เมิ่งซีหลันเห็นว่ากงซุนหนานเสียนดื่มหมดแล้ว นางก็รินให้เขาอีกจอก
เพียงแต่เมื่อนึกถึงความเป็ไปได้ที่กงซุนหนานเสียนอาจจะพึงพอใจในเสียงดนตรีที่อีกฝั่งเล่นอยู่ จึงถูกดึงดูดความสนใจไป เมิ่งซีหลันในฐานะบุปผาอันดับหนึ่ง จะยอมพ่ายแพ้ให้กับสาวใช้ที่ไร้ชื่อเสียงผู้หนึ่งได้อย่างไร
นางยืนขึ้นยิ้มแย้มงดงามให้กงซุนหนานเสียน “คุณชายกงซุน ให้ข้าร่ายรำให้ท่านดูสักเพลงดีหรือไม่เ้าคะ? ”
“เอาสิ ข้าไม่ได้เห็นแม่นางเมิ่งร่ายรำมานานแล้ว” ยามนี้ความสนใจของกงซุนหนานเสียนอยู่ที่เมิ่งซีหลันแต่เพียงผู้เดียว
เมิ่งซีหลันเริ่มร่ายระบำโดยอาศัยเพลงจากสาวใช้คนนั้น
การกวาดมือวาดเท้าของนางล้วนแฝงไว้ด้วยความอาวรณ์ เมื่อประสมรวมกับใบหน้างดงามดวงนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจละสายตาไปจากร่างของนางได้
หากว่ากงซุนหนานเสียนไม่เคยพบเยว่เฟิงเกอมาก่อน เขาย่อมต้องคิดว่าเมิ่งซีหลันเป็หญิงที่งามที่สุดแห่งแคว้นเป่ยชวนเป็แน่
น่าเสียดาย หลังจากครั้งนั้นที่เขาได้พบอีกฝ่ายตอนไม่แต่งหน้า ภาพความงามของเยว่เฟิงเกอก็ถูกประทับไว้อย่างแแ่ในความทรงจำของเขา ดังนั้น ั้แ่นั้นเป็ต้นมากงซุนหนานเสียนก็ไม่รู้สึกว่าเมิ่งซีหลันงดงามเท่าใดแล้ว
กงซุนหนานเสียนมองเมิ่งซีหลันที่บิดเอวไปมาพลางยื่นแขนมาทางเขา ก็อดไม่ได้ให้รู้สึกว่าเกินงามและไร้รสนิยมไปหน่อย
สายตาของเขาเอาแต่มองไปยังเงาร่างหลังฉากกันลมนั่นบ่อยๆ ถึงแม้เงาร่างนั้นจะอยู่ในอาภรณ์บุรุษ แต่เขากลับมีความรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายคนผู้นั้นช่างคุ้นเคยนัก
เยว่เฟิงเกอไม่ได้รู้เลยว่าหลังฉากกันที่อีกฝั่งมีคนแอบจ้องนางอยู่บ่อยๆ เมื่อสาวใช้คนนั้นบรรเลงเพลงจบ เยว่เฟิงเกอก็ปรบมือให้
เดิมนางยังนึกไปว่าคนที่นี่คงไม่ได้ร้องเพลงไพเราะนัก แต่ที่นางให้ท่านแม่เรียกหญิงที่ร้องเพลงได้มาก็เพราะอยากจะลองฟังดูสักครั้งว่าคนโบราณร้องเพลงกันอย่างไร มิคาดสาวใช้ที่ไม่ได้หน้าตางดงามมากนักคนนี้กลับดีดผีผาได้ไพเราะยิ่ง แม้แต่เสียงร้องก็ยังไพเราะเพราะพริ้ง
“เ้ามีนามว่าอะไร? ” เยว่เฟิงเกอเอาอย่างคุณชายท่านอื่นๆ ถามสาวใช้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า
สาวใช้คนนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ก้มหน้าตอบว่า “ผู้น้อยมีนามว่าฉิงเอ๋อร์เ้าค่ะ”
“ฉิงเอ๋อร์ ชื่อนี้ไพเราะนัก” เยว่เฟิงเกอพยักหน้า จากนั้นจึงใช้พัดเคาะที่นั่งข้างตัว “มานั่งนี่”
เมื่อสาวใช้นามว่าฉิงเอ๋อร์ได้ยินคำเชื้อเชิญของเยว่เฟิงเกอ ใบหน้าพลันปรากฏแววหวาดกลัว นางกอดผีผาในอ้อมแขนไว้แน่น ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
เยว่เฟิงเกอมองสาวน้อยที่ดูเหมือนได้รับความใอย่างหนัก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินก้าวยาวๆ ไปหาอีกฝ่าย จากนั้นจึงใช้พัดเชยคางสาวใช้คนนั้นขึ้น เมียงมองแม่นางตรงหน้าให้ชัดๆ
สาวใช้คนนี้มีดวงตากลมโตแวววาว ปากนิดจมูกหน่อย พอนำมารวมกันแล้วก็ราวกับตัวละครในการ์ตูนก็ไม่ปาน
คิดไม่ถึงเด็กน้อยที่น่ารักเพียงนี้จะเป็หญิงขายเสียงดนตรีอยู่ในหอชมบุปผา
สาวน้อยถูกเยว่เฟิงเกอจับจ้อง สายตาฉายแววหวาดกลัวออกมาทันที เพียงแต่ยังคงไม่กล้าขยับเขยื้อนด้วยกลัวว่าตนจะไปทำให้คุณชายตรงหน้าโกรธ
เยว่เฟิงเกอหรี่ตาดอกท้อลงเล็กน้อยแล้วดึงมือของแม่นางน้อยตรงหน้าให้เข้ามาใกล้ นางตั้งใจจะลากอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนตน
“คุณชาย ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ ผู้น้อยขายเพียงเสียงดนตรี ไม่ขายตัวเ้าค่ะ” ฉิงเอ๋อร์ใ จะผลักเยว่เฟิงเกอออก แต่กลับได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา
เยว่เฟิงเกอไม่คิดฉุดรั้ง นางปล่อยตัวฉิงเอ๋อร์ออกไปทันที เมื่อครู่นางเพียงอยากล้อฉิงเอ๋อร์เล่นเท่านั้น เมื่อได้เห็นท่าทางใราวกับลูกนกของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ให้รู้สึกว่าน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เมื่อฉิงเอ๋อร์ได้รับอิสระแล้วก็เขยิบเข้าไปแอบซ่อนอยู่ที่มุมห้อง
เยว่เฟิงเกอเองก็ขยับตามไปเช่นกัน
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะเป็สตรี แต่นางก็สูงกว่าฉิงเอ๋อร์มาก ตอนที่แผ่นหลังของฉิงเอ๋อร์ถอยร่นจนไปััฉากกันลม เยว่เฟิงเกอก็เอื้อมมือไปค้ำฉากกันลม กักขังฉิงเอ๋อร์เอาไว้
เยว่เฟิงเกอโน้มใบหน้าลงช้าๆ ใบหน้านางค่อยๆ เข้าใกล้ฉิงเอ๋อร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะที่ใบหน้าของคนทั้งสองกำลังจะแตะกันอยู่รอมร่อ ฉิงเอ๋อร์ก็ใหน้าซีดขาว แต่ยังคงกอดผีผาในมือไว้แน่น ทำเอาเยว่เฟิงเกอต้องเอื้อมมือไปหมายจะดึงผีผามาจากอ้อมอกนาง
“ของสิ่งนี้เกะกะยิ่งนัก เปิ่นกงจื่อจุมพิตเ้าไม่ได้เลย ข้าว่า โยนมันทิ้งไปเลยจะดีกว่า” เยว่เฟิงเกอยิ้มชั่วร้าย กล่าววาจาที่ชวนให้หัวใจฉิงเอ๋อร์เต้นแรง
ยามนี้ฉิงเอ๋อร์ใจนจะร้องไห้แล้ว น้ำตาคลอหน่วย ขอบตาแดงก่ำ
เยว่เฟิงเกอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของฉิงเอ๋อร์เบาๆ สองสามที ทำให้ฉิงเอ๋อร์ใจนต้องหดคอแล้วหันหน้าไปทางอื่น
เยว่เฟิงเกอมองใบหน้าของฉิงเอ๋อร์นิ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาอีกครั้ง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วถอยหลังไปสองก้าว ไม่มีท่าทีเย้าแหย่อีกต่อไป
ในที่สุดฉิงเอ๋อร์ก็เป็อิสระ นางแอบถอนใจโล่งอก
และเมื่อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอถอยออกไปแล้ว นางก็รีบร้อนวิ่งไปที่ประตู
แต่ตอนที่นางไปถึงหน้าประตูและกำลังจะเปิดประตูออกนั้น กลับถูกเยว่เฟิงเกอดึงกลับมา
“อ๊า” ฉิงเอ๋อร์ร้องออกมา