17
“ทำไมถึงมองหน้าเราแบบนั้นล่ะ”
“นายจะฆ่าพอร์ตเหรอ”
“หืม? นี่เราบอกแปนว่าอย่างนั้นเหรอ”
“...”
“ถ้าเราไม่ได้พูดก็แสดงว่าไม่ได้ทำไง ดังนั้นแปนอย่าคิดไปเองสิ” พัตเตอร์เอ่ยพร้อมระบายยิ้มเล็กน้อยแบบที่เ้าตัวชอบทำเสมอ ในขณะที่เจแปนก็นั่งจ้องหน้าอีกฝ่ายทั้งคิ้วขมวด เมื่อเขาพยายามตีความหมายของรอยยิ้มนั้น
แต่เจแปนไม่เคยคาดเดาความคิดของพัตเตอร์ได้เลย เขาไม่เคยเดาใจอีกฝ่ายถูกเลยสักครั้ง
“ก็นาย...”
“เราทำไม?” พัตเตอร์ถามต่อทันที หลังอีกฝ่ายเห็นว่าเจแปนทำเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดมันออกมา
“เปล่า ไม่มีอะไร” เจแปนส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป
“ทำไมแปนถึงชอบทำให้เราสงสัยอยู่เรื่อยนะ สนุกเหรอ?” ร่างดอพเพลแกงเกอร์ถามกลับมาพร้อมจ้องเจแปนตาไม่กะพริบ
“เราไม่ได้ชอบ แต่เราก็แค่คิดว่าการที่เราไม่พูดมันออกไป มันน่าจะดีกว่า” เขาเอ่ยและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพัตเตอร์เช่นกัน จากนั้นเจแปนถึงค่อยพูดบางอย่างต่อเมื่อเขาคิดว่าหากยังมัวนั่งจ้องตากับพัตเตอร์แบบนี้ เห็นทีงานที่เขาตั้งใจจะทำในคืนนี้มันคงไม่ขยับไปไหนแน่
“เดี๋ยวนายจะไปนอนก่อนเลยก็ได้นะ เพราะว่าคืนนี้เราคงอยู่ทำงานที่นี่ทั้งคืน” ว่าจบ เจแปนก็หมุนเก้าอี้หันหน้ากลับไปทำงานอีกครั้ง ทิ้งให้พัตเตอร์ยืนจ้องแผ่นหลังของตัวเองอยู่อย่างนั้น
โดยรวมแล้วการอยู่ร่วมกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ในคืนแรกแบบที่เขายินยอมให้มันเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะตราบใดที่เจแปนไม่ได้เอาแต่ให้ความสนใจกับอีกฝ่าย พยายามปฏิบัติตัวเหมือนตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง ร่างดอพเพลแกงเกอร์เองก็จะปฏิบัติตัวประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในห้องนี้เช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่และนาฬิกาก็บอกว่าตอนนี้มันเป็เวลาตีสามแล้ว เจแปนที่กำลังอยู่ในสภาวะเปลือกตาหนักอึ้งก็ตัดสินใจเก็บงานของตัวเองลง เนื่องจากเขารู้สึกง่วงจนทำงานไม่รู้เื่แล้ว ซึ่งพอเขาจัดการเก็บทุกอย่างเสร็จ เจแปนถึงค่อยหันไปมองอีกคนที่อยู่ในห้องเดียวกัน คล้ายกับเพิ่งนึกได้
“ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติเลยแฮะ” หลังเห็นว่าพัตเตอร์กำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง เจแปนก็พึมพำเสียงแ่พร้อมจ้องมองอีกฝ่ายทั้งคิ้วขมวด
เจแปนยังต้องเรียนรู้โลกของดอพเพลแกงเกอร์อีกเยอะ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดได้ เมื่อเขาลองสอบถามอะไร ๆ จากร่างดอพเพลแกงเกอร์ตัวจริงเสียงจริงแล้ว
เหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจโลกของดอพเพลแกงเกอร์มากขึ้นแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงเจแปนกลับไม่ได้เข้าใกล้คำนั้นเลย ยิ่งเขาได้ถามและได้รู้อะไรที่ไม่มีให้อ่านในอินเทอร์เน็ต เจแปนก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่เขารับรู้มามันก็แค่ข้อมูลผิวเผินเท่านั้น แล้วถ้าหากเขา้าจะเข้าใจโลกของดอพเพลแกงเกอร์มากกว่านี้ คนเดียวที่พอจะช่วยเขาได้ก็คือพัตเตอร์
“ไม่เอาดีกว่า” จังหวะที่เจแปนกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตั้งใจจะไปทิ้งร่างลงบนเตียงดี ๆ เขาก็พูดกับตัวเองเสียงแ่ เมื่อเจแปนเกิดการเปลี่ยนใจกะทันหัน เพราะถ้าเขาคิดจะไปนอนบนเตียงของตัวเอง นั่นก็หมายความว่าเจแปนจะต้องไปนอนร่วมเตียงกับพัตเตอร์
ซึ่งเขาก็ไม่้าอย่างนั้น
พอนึกได้แบบนั้น เจแปนจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางจากการจะฟุบหลับที่เก้าอี้ทำงานเป็การทิ้งตัวนอนอยู่โซฟา แล้วปล่อยให้พัตเตอร์ยึดครองเตียงนอนของตัวเองน่าจะดีกว่า
ทุกอย่างน่าจะจบลงแค่เท่านั้น พอเจแปนทิ้งร่างลงโซฟาได้ เขาก็หลับตาเตรียมพักผ่อนทันที ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจแปนก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างและยังไม่ทันที่เขาจะได้ลืมตาขึ้นมาดู ร่างของเจแปนก็ลอยขึ้นจากโซฟาเสียก่อน หลังพัตเตอร์ที่คิดว่าหลับไปแล้วได้ลุกออกมาอุ้มเขา
“ทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยเลยนะ!” เขาบอกอีกฝ่ายเสียงใ
“ทำไมถึงไม่ไปนอนที่เตียงดี ๆ เราก็อุตส่าห์รอ”
“อ้าว เมื่อกี้นายไม่ได้หลับไปแล้วเหรอ”
“ยังไม่ได้หลับ แค่พักสายตา” พูดจบ พัตเตอร์ก็อุ้มร่างเจแปนพาเขาเข้าไปในห้องนอนด้วยกัน อีกฝ่ายวางร่างเจแปนลงอย่างเบามือ ในขณะที่คนถูกอุ้มมาหมาด ๆ ก็เอาแต่จ้องหน้าพัตเตอร์ตาไม่กะพริบ
“ทำไมถึงชอบจ้องหน้ากันอยู่ได้ มันมีอะไรนัก” พัตเตอร์ที่เห็นเช่นนั้นถามกัน พลางจ้องเจแปนกลับบ้าง
“ก็แค่สงสัย”
“...”
“ทำไมนายถึงเอาแต่ให้ความสนใจเรานัก” เจแปนพูดสิ่งที่รู้สึกออกมา เนื่องจากไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือกำลังทำอะไรอยู่ พัตเตอร์ก็เอาแต่ให้ความสนใจกับเขา ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งมันก็มีบ้างที่เจแปนรู้สึกอึดอัดกับการกระทำนั้น...
“แล้วแปนอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ” คราวนี้พัตเตอร์ถามกลับมาบ้างและพูดต่อ “เราว่าเื่นี้แปนน่าจะให้คำตอบกับตัวเองได้นะ ว่าทำไมเราถึงเอาแต่ให้ความสนใจกับแปน”
ฝั่งของเจแปน เมื่อพัตเตอร์บอกมาอย่างนั้น เขาก็เงียบไปทันทีไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ สุดท้ายเขาจึงได้แค่เงียบแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเดินอ้อมปลายเตียงกลับไปประจำที่ของตัวเองอีกครั้ง
หลังพัตเตอร์กลับมาทิ้งตัวนอนตรงที่เดิมแล้ว อีกฝ่ายก็พลิกข้างหันหน้ามาทางเจแปนต่อ คล้ายกับ้าให้เขาได้สังเกตเครื่องหน้าของเ้าตัวอย่างชัด ๆ
“แล้วนายจะหันหน้ามาทำไม หันหลังไปสิ” เจแปนออกปากไล่
“ก็เห็นจ้องเราตาไม่กะพริบเลย เราก็นึกว่าแปนอยากมองเราแบบชัด ๆ ซะอีก” อีกฝ่ายตอบกลับมา ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่เป็เ้าของห้องต้องเป็ฝ่ายพลิกตัวนอนหันหลังให้ร่างดอพเพลแกงเกอร์เสียเอง เนื่องจากดูท่าแล้วพัตเตอร์คงไม่อ่อนข้อให้กันแน่
“นายเอามือออกไปจากเอวเราเดี๋ยวนี้เลย” ท่ามกลางความมืดในห้อง เจแปนที่พยายามละทิ้งทุกอย่างแล้วข่มตาหลับก็ต้องบอกอีกคนเสียงเข้ม เมื่อพัตเตอร์ไม่ยอมอยู่ใครอยู่มัน แต่อีกฝ่ายกลับเอาแขนมาพาดที่เอวเขาเอาไว้ มิหนำซ้ำยังขยับกายเข้ามาใกล้ จนมันกลายเป็ภาพที่เจแปนกำลังถูกอีกฝ่ายนอนกอดเอาไว้
“ถ้าเราไม่เชื่อฟังล่ะ แปนจะทำยังไงกับเราเหรอ” พัตเตอร์ท้าทาย
“ก็ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ แต่จะทำเหมือนนายไม่มีตัวตน”
“มากกว่านี้อีกเหรอ” อีกฝ่ายถามต่อ
“...”
“น่ากลัวจังแฮะ” พูดจบ พัตเตอร์ก็ขยับตัวเข้ามาอีก ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ อยากจะหันไปโวยวายใส่อย่างที่เขาชอบทำ แต่เพราะความเหนื่อยล้าที่มันสะสมมาตลอดทั้งวัน นั่นจึงทำให้เจแปนี้เีที่จะทำอย่างนั้นและเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลย
พัตเตอร์อยากทำอะไร อยากนอนแบบไหนก็ให้เ้าตัวทำไป
เวลาต่อมา หลังความเงียบเข้าปกคลุมทั้งคู่อยู่พักใหญ่และเจแปนก็กำลังอยู่ในอาการสะลึมสะลือแล้ว เขาก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดจากทางด้านหลังของตัวเองที่มีมากขึ้น ซึ่งในระหว่างนั้นฝ่ามือของพัตเตอร์ที่คราวแรกโอบกอดร่างเจแปนเอาไว้ก็ค่อย ๆ เลื่อนตำแหน่งมาลูบไล้ที่ข้างแก้มของเขาแทน
โดยการกระทำของอีกฝ่ายที่ไม่มีที่มาที่ไป ก็ทำเอาคนที่ยังพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้างต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอีกหน พร้อมตั้งคำถามกับตัวเองในใจเป็ครั้งที่ร้อยว่าพัตเตอร์้าอะไรจากเขากันแน่
เช้าวันต่อมา... มันเป็วันที่เจแปนไม่อยากจะลุกด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาก็ต้องลุกเนื่องจากวันนี้เขามีเรียน่เช้า
กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก ทำเอาคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงและอยู่ในอาการงัวเงียไม่ยอมลุกจากที่นอนต้องย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งคราวแรกเจแปนก็ไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ ทว่าพอเขาฉุกคิดได้ว่าตัวเองกำลังอยู่กับใคร เจแปนจึงต้องรีบลืมตาขึ้นมาโดยพลัน
“ทำอะไรน่ะ!” นั่นเป็ประโยคแรกที่เจแปนเอ่ยขึ้น ขณะที่เขากำลังลุกลงจากเตียงแล้วเดินปรี่ไปหาพัตเตอร์ที่กำลังสวมบทเป็พ่อบ้านอยู่
“ก็ทำอาหารเช้าให้ไง” อีกฝ่ายที่ยืนอยู่หน้าเตาหันกลับมาตอบทั้งรอยยิ้ม พลางพยักพเยิดไปทางโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารบางส่วนวางเอาไว้ให้อยู่
“พอดีเราไม่เห็นว่าแปนจะตื่นสักทีน่ะ เราก็เลยถือวิสาสะมาทำอาหารให้ซะเลย” พัตเตอร์พูดต่อ ระหว่างที่เจแปนกำลังจ้องมองจานอาหารเช้าฝีมือของอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
“ทีหลังนายไม่ต้องทำแล้วนะ” คนเป็เ้าของห้องพูดขึ้น และนั่นก็ทำให้อีกคนมีท่าทีชะงักไปเล็กน้อย จนเจแปนต้องอธิบายต่อ “พอดีเราไม่ค่อยกินมื้อเช้าอยู่แล้วน่ะ แล้วถ้าวันไหนเรามีเรียนตอนเช้า เราก็จะเข้าไปกินที่มอเลย”
“...”
“เพราะงั้นนายไม่ต้องลำบากมาทำให้เราหรอกนะ”
“ได้สิ เราจะจำเอาไว้ก็แล้วกัน” พัตเตอร์บอกอย่างเข้าใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะถามต่อด้วยท่าทีคาดหวัง “แล้วอาหารเช้าวันนี้ แปนจะกินมันหรือเปล่า?”
“กินสิ เพราะไหน ๆ นายก็อุตส่าห์ทำให้เราแล้ว” เจแปนตอบ จากนั้นเขาก็ปลีกตัวไปคว้าผ้าเช็ดตัว ตั้งใจจะไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วค่อยมานั่งกินมื้อเช้าฝีมือพัตเตอร์
หากเจแปนพยายามไม่ทำตัวให้มีปัญหากับร่างดอพเพลแกงเกอร์ บางทีเขาก็อาจไม่ต้องมาปวดหัวกับการกระทำของอีกฝ่ายก็ได้...
เวลาต่อมา หลังเจแปนปล่อยให้พัตเตอร์ใช้ชีวิตอยู่ในห้องของตัวเอง ส่วนตัวเขาก็มาเรียนมหาลัย ขณะที่กำลังยืนรอลิฟต์ เจแปนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กไปเพลา ๆ เพราะั้แ่ที่เขาทักหาพอร์ตในคราวนั้น เขาก็ไม่ได้จับโทรศัพท์ของตัวเองอีกเลย
“โทรมาหาตั้งสี่สาย มีอะไรหรือเปล่านะ” พอเปิดหน้าจอแล้วเห็นว่าแฟนหนุ่มโทรมาหากันถึงสี่สาย เจแปนก็พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนัก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโทรกลับไป เผื่อว่าอีกฝ่ายมีเื่ด่วน
“โทษที เราเพิ่งได้จับโทรศัพท์น่ะ พอร์ตมีอะไรหรือเปล่า” พอคนปลายสายกดรับ เจแปนก็รีบถามทันที
[มีสิ เมื่อคืนนี้แปนกลับห้องกับใครเหรอ] พอร์ตเข้าประเด็นอย่างไม่รีรอ ทว่าคำถามของอีกฝ่ายทำให้เจแปนต้องนิ่งค้างไป เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะถูกถามแบบนี้
เจแปนยังไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่ามันจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
“...”
[เงียบไปเลยเหรอ หรือว่าที่เขาพูดมามันจะจริง] คนปลายสายว่า
“เมื่อคืนเรากลับห้องคนเดียวนะ ใครเอาอะไรไปพูดให้ฟังล่ะ” พอตั้งสติได้เจแปนก็รีบถามกลับไป เพราะถ้าเขายิ่งเงียบนานเท่าไร มันก็จะยิ่งดูผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น
[แน่ใจเหรอ แต่มีคนหวังดีมาบอกเรานะว่าเมื่อคืนนี้เหมือนแปนไม่ได้กลับห้องคนเดียว]
“งั้นก็เอาหลักฐานมาสิ” เจแปนท้า
[...]
“คนหวังดีที่ว่าเขาหวังดีจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วพอร์ตก็ไปเชื่อคำพูดของคนที่ไม่มีหลักฐานเนี่ยนะ” เจแปนถามต่อ เมื่อเขาคิดได้ว่าต่อให้คน ๆ นั้นจะมีหลักฐานจริง แต่เขาก็สามารถหาคำตอบมารองรับได้อยู่แล้ว ในเมื่อคนที่คนอื่น ๆ เห็นก็คือพัตเตอร์ที่เป็ร่างดอพเพลแกงเกอร์ของพอร์ต
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือท่ามกลางผู้คนที่แยกตัวตนระหว่างพอร์ตกับพัตเตอร์ไม่ออก ทำไมถึงมีคนรู้ว่าคนเมื่อคืนนี้ไม่ใช่พอร์ตล่ะ?
“นี่พอร์ตถามลองใจเราเหรอ” เจแปนลองกลั้นใจถามกลับไป เมื่อเขาเริ่มหันกลับมาตงิดใจกับคนรักแทน
[ใช่] คนปลายสายยอมรับกลับมาแบบไม่อ้อมค้อม และนั่นก็ทำให้เจแปนต้องเงียบไปนานเกือบนาที ก่อนที่เขาจะถามต่อ เพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ไปทำไม
“ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ”
[ก็เรารู้สึกแปลก ๆ ั้แ่เมื่อวานแล้ว แปนพยายามขัดขวางไม่ยอมให้เราไปหาที่สตูดิโอ ทั้งที่ปกติแปน้าเราจะตาย]
“อ้าว... ก็พอร์ตบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากอ่านหนังสือเพราะใกล้สอบแล้ว เราก็เลยไม่อยากรบกวนไง มันไม่ดีเหรอ” เจแปนเถียงสู้
[นี่แปนรู้ตัวไหมว่าแปนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ]
“พอร์ตนั่นแหละเป็บ้าอะไร ตอนแรกก็เหมือนจะกลับมาดี ๆ แล้วแต่พอวันนี้ก็มาหาเื่ทะเลาะกับเราจนได้ งั้นก็แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน พอดีเรามีเรียนตอนเช้า” ว่าจบ เจแปนก็กดตัดสายแฟนหนุ่มของตัวเองทันที ซึ่งก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องเรียนนั้น เจแปนก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อทำให้ตัวเองใจเย็นลงกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเพื่อนเขาคงได้ถามแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เมื่อเช้าก็ยังดี ๆ อยู่เลยนี่ แต่ทำไมตกเย็นมาแปนถึงทำหน้าบึ้งมาแบบนี้ล่ะ ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ?”
“เปล่า” เจแปนบอกพัตเตอร์เสียงห้วน ระหว่างที่เขากำลังถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้น
“หรือว่าเหนื่อย?”
“ไม่ใช่”
“...”
“ช่างมันเถอะ นายไม่ต้องมาสนใจกันหรอก” เจแปนว่าต่อพร้อมเดินไปหยิบน้ำเปล่าจากตู้เย็น เมื่อจนถึงตอนนี้หลังจากที่เขากลับจากมหาลัยแล้ว เจแปนก็ยังไม่หายโมโหเื่ที่พอร์ตโทรมาหากันเลย ซึ่งเขาก็ไม่เคยเป็แบบนี้มาก่อน
“โอเค งั้นเราจะไม่เซ้าซี้ก็แล้วกัน” พัตเตอร์เอ่ย เหมือนเข้าใจว่าเวลานี้เจแปน้าจะอยู่เงียบ ๆ มากกว่าคอยมานั่งตอบคำถามของอีกฝ่ายว่าเขาไปเจออะไรมา
“นี่นายทำความสะอาดห้องให้เราเหรอ?” ผ่านไปพักใหญ่ เสียงของเจแปนก็ดังขึ้นอีกครั้ง หลังเขาเพิ่งสังเกตว่าถ้วยจานที่ถูกแช่เอาไว้ยังไม่ได้ล้าง ตอนนี้มันถูกวางไว้ตรงที่เก็บเรียบร้อยแล้ว ไหนจะผ้าในตะกร้าที่เจแปนเตรียมจะเอาไปลงถังซัก่เย็น ตอนนี้มันก็ถูกตากไว้ที่ริมระเบียงเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ พอดีเราว่างน่ะ ก็เลยทำความสะอาดห้องให้ดีกว่า”
“จะว่าไปแล้ว... นายก็ดูมีประโยชน์ดีนะ” เจแปนพูด ซึ่งอาการหงุดหงิดที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้างก็หายวับไปในทันที เมื่อเขาไม่ต้องกลับมาทำหน้าที่พวกนี้อีก เพราะมีคนทำให้แล้ว
“แล้วเรามีประโยชน์กว่าแฟนแปนหรือยัง?” พัตเตอร์ถามต่อ โดยนั่นก็ทำให้คนที่กำลังระบายยิ้มพอใจในตอนแรกค่อย ๆ เปลี่ยนท่าทีไปโดยพลัน
“...”
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ เราก็แค่ล้อเล่นเอง” พัตเตอร์ว่าพร้อมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เหมือนเ้าตัวกำลังขำให้กับท่าทีของเจแปนจริง ๆ
“นายล้อเล่นหรือพูดจริงกันแน่” เจแปนถามอย่างรู้ทัน เนื่องจากเขารู้ว่าพัตเตอร์คงไม่ล้อเล่นตามที่บอก ซึ่งหลังจากที่เจแปนถามออกไปอย่างนั้น เขาก็เดินเลี่ยงไปทางอื่น เมื่อไม่้าสนทนากับอีกฝ่ายแล้ว
เจแปนไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่พัตเตอร์ถามแบบนั้น มันคืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ มันคงไม่ใช่เื่ดีแน่นอน
หรือว่านิสัยหนึ่งของพวกดอพเพลแกงเกอร์ที่มักจะมีกัน คือพวกนี้จะชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเ้าของร่างที่แท้จริง? ระหว่างที่เขากำลังนั่งดูรายการตลกอยู่บนโซฟาเพื่อคลายเครียดอยู่นั้น ภายใต้ท่าทีเหมือนคนไม่ได้คิดอะไรอยู่ในหัว เจแปนก็เอาแต่หมกหมุ่นเื่พฤติกรรมของพัตเตอร์อย่างคนขี้สงสัย
“นี่นายจะทำอะไร” ต่อมา เจแปนก็ถามพัตเตอร์ทั้งเสียงแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แต่กลับไปหากะละมังเอาน้ำอุ่นเทใส่ข้างในนั้นแล้วยกมาวางไว้ตรงหน้าเขา เหมือนอีกฝ่าย้าทำบางอย่างให้
“เดี๋ยวเราจะนวดเท้าให้ไง เราเห็นแปนแปลก ๆ มาั้แ่เมื่อวานนี้แล้ว ปวดเท้าเหรอ?”
“อือ พอดีเมื่อวานเราเดินเยอะไปหน่อยน่ะ” เจแปนบอกกลับไป รู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เมื่อเขาถูกพัตเตอร์จับเท้าให้เอาไปแช่ในกะละมัง ซึ่งั้แ่ที่เจแปนคบกับพอร์ตมานานหลายปี คนรักของเขาก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้กันเลยสักครั้ง
“ก็นั่นแหละ เดี๋ยวเรานวดให้”
“แล้วนายนวดเป็เหรอ”
“ไม่อ่ะ แต่เราคิดว่าเราทำได้นะ” ว่าจบ พัตเตอร์ที่กำลังนั่งที่พื้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจแปน อีกฝ่ายจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา ทำเอาคนที่กำลังถูกมองรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เจแปนเผลอไผลไปกับดวงตาแข็งกระด้างดูไร้ความรู้สึกของพัตเตอร์ แต่มันก็เกิดขึ้นแค่วูบหนึ่งเท่านั้น เพราะพอเขาได้สติเจแปนก็รีบฉุดดึงตัวเองกลับมาทันที
“ที่มาเอาอกเอาใจกันแบบนี้้าอะไรกันแน่”
“้าใจของแปนไง”
“...”
“ถามอยู่ได้ว่าเรา้าอะไรแล้ว ทำให้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ” พัตเตอร์ตอบทั้งหน้ายิ้ม และในเวลาเดียวกันนั้นมือของอีกฝ่ายก็คอยนวดเท้าให้เจแปนอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
“แบบนั้น มันเป็ไปไม่ได้หรอก...” เจแปนบอกเสียงแ่ เนื่องจากเขาไม่สามารถให้ในสิ่งที่พัตเตอร์้าได้จริง ๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเว้าวอนมันแค่ไหนก็ตาม
“มันเป็ไปได้สิ”
“...”
“อยู่ที่ว่าแปนจะใจถึงพอหรือเปล่า”
“นี่นายกำลังยุแยงให้เรานอกใจพอร์ตอยู่เหรอ?” เจแปนถามต่อ เพราะเขาคิดเป็อย่างอื่นไม่ได้จริง ๆ แล้วพอเขาถามออกไปอย่างนั้น พัตเตอร์ก็ทำเพียงแค่ระบายยิ้มกลับมาให้เท่านั้น ซึ่งมันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เจแปน้าให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมามากกว่า
“ตอบมาสิ” เขาถามย้ำเสียงเข้ม
“เชื่อเถอะว่าพอร์ตเองมันก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับแปนขนาดนั้นหรอก”
“หมายความว่ายังไง”
“...”
“พอร์ตนอกใจเราเหรอ” คราวนี้เขาถามเสียงแ่ เริ่มมีอาการใจสั่นเนื่องจากกลัวคำตอบ
“เราไม่รู้” พัตเตอร์ตอบ จากนั้นอีกฝ่ายก็เอาแต่ให้ความสนใจกับการนวดเท้า ทำเอาคนที่อยากรู้เื่นี้เกิดอาการหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย อยากจะรู้แต่ก็ไม่อยากค้นหาความจริง เพราะเจแปนกลัวว่าภาพที่เขาวาดฝันไว้ในอนาคตมันจะสลายหายไป
ซึ่งเจแปนก็ยังไม่พร้อมรับความเ็ป
หลังปล่อยให้พัตเตอร์บีบนวดตามเท้าของตัวเอง จนเจแปนเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เขาก็บอกให้อีกคนหยุดการกระทำพร้อมชักชวนให้สั่งอาหารเดลิเวอรี่มากินด้วยกันต่อ โดยระหว่างที่ทั้งสองกำลังรออาหาร เจแปนก็ใช้เวลานั้นพูดคุยกับคนที่บ้าน เมื่อแม่ของเขาโทรมาหากัน
[แล้วนี่แปนอยู่กับใคร?]
“อยู่กับพอร์ตอ่ะแม่ วันนี้พอร์ตมานอนค้างด้วย”
[อ๋อ ดีแล้วแปนจะได้ไม่เหงา]
“ปกติแปนก็ไม่เหงาอยู่แล้วนะ แม่ก็เห็นนี่ว่าเพื่อนแปนเยอะขนาดไหน”
[ก็เคยเห็นแค่รูป แต่แม่ยังไม่เคยคุยกับเพื่อนแปนสักคน]
“ก็แม่ไม่ยอมมาหาแปนเองอ่ะ มีแต่แปนที่กลับไปหา” เจแปนตอบคนปลายสายพลางระบายยิ้มออกมาจาง ๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แม่เขาโทรมาหาในคืนนี้ นั่นก็เพราะว่าเธอคิดถึง ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอย่างที่เขากังวล
[ว่าง ๆ ก็กลับมาบ้านอีกนะแปน แม่คิดถึง]
“แปนก็อยากกลับอยู่หรอกแม่ แต่แปนกลับไปทีไรแปนก็อารมณ์เสียทุกที” เขาตอบ ทำเอาแม่เขาถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอไม่คิดเถียงกลับด้วยซ้ำ เนื่องจากมันคือความจริง
[ครั้งหน้าแม่จะพยายามไม่ทำให้แปนอารมณ์เสียแล้วกัน แปนจะได้กลับมาหาแม่บ่อย ๆ ดีไหม?] แม่ถามกลับมา ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่เงียบ หลังมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
ทั้งชีวิตของเธอ แม่มีแค่เขาเท่านั้นที่พอจะพูดจาดี ๆ ด้วยกันบ้าง แต่ใน่ห้าหกปีหลังมานี้พอเจแปนย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพ เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านอีกเลย มันจึงไม่ใช่เื่แปลกนัก หากเธอจะคิดถึงกันจนวอนขอให้เจแปนกลับไปหาแบบนี้
“งั้นเดี๋ยววันศุกร์นี้แปนจะกลับบ้านนะแม่” เจแปนตัดสินใจบอกคนปลายสาย คิดจะหอบงานจากมหาลัยไปทำที่บ้านด้วย มันอาจจะยุ่งยากไปเสียหน่อยแต่มันก็ทำให้เขาได้เจอกับแม่
[จริงเหรอ แล้วเราจะนอนค้างหรือเปล่า] แม่รีบถามต่อด้วยน้ำเสียงดีใจ
“แปนจะค้างที่นั่นสักสองคืนครับ กลับเข้ากรุงเทพตอนวันอาทิตย์”
[ดีเลย งั้นแม่จะรอนะ]
“ครับ แล้วเจอกัน” หลังวางสายจากแม่ไปแล้ว เจแปนก็นั่งจมกับความคิดของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินไปหาพัตเตอร์ เมื่ออีกฝ่ายลงไปรับอาหารขึ้นมาแล้ว