ก่อนนี้เมื่อเด็กหนุ่มสกุลหลี่ไปที่จวนเจียงจะไม่พาหลี่หรูอี้ไปด้วย แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะบ้านสกุลหลี่จะไปไหว้ปีใหม่เจียงชิงอวิ๋น
ก่อนปีใหม่ เจียงชิงอวิ๋นเคยบอกกับเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คนแล้วว่า เขาจะอยู่ในตัวเมืองเยี่ยนั้แ่วันที่หนึ่งถึงวันที่สี่เดือนหนึ่ง วันที่ห้าจึงจะกลับจวน
“วันนี้พี่เจียงจะสอบพวกเราหรือไม่”
“เป็่ปีใหม่คงไม่สอบหรอก”
“นี่ก็พูดยาก”
“พี่ๆ พวกท่านเตรียมคำถามมาถามพี่เจียงแล้วหรือไม่เ้าคะ”
“เตรียมมาแล้ว”
กระทั่งพี่น้องชายหญิงสกุลหลี่มาถึงจวนเจียงกลับได้รับแจ้งจากองครักษ์เฝ้าประตูว่า เจียงชิงอวิ๋นยังไม่กลับมา
หลี่เจี้ยนอันรู้สึกผิดหวัง กล่าวว่า “พวกเราพี่น้องขออำลา วันพรุ่งค่อยมาใหม่ขอรับ”
องครักษ์รีบบอกว่า “ช้าก่อนขอรับ นายท่านจวนเราส่งคนมาแจ้งว่า ่เช้าวันนี้จะกลับจวนแล้ว หากพวกท่านมาแล้วก็ให้เข้าไปรอนายท่านในจวนได้ขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันดีใจยิ่งนัก “เช่นนั้นพวกเราก็รอท่านพี่เจียงกลับจวนเถิด”
องครักษ์เอ่ยต่อว่า “ลุงโจวและป้าหลิวล้วนติดตามนายท่านไปที่ตัวเมืองเยี่ยน ลุงฝูอยู่ในจวน ข้าน้อยจะไปแจ้งลุงฝูก่อนขอรับ”
หลี่เจี้ยนอันเคยได้ยินเจียงชิงอวิ๋นบอกว่า ป้าหลิวเป็บ่าวจากบ้านมารดาของฉินไท่เฟย ครานี้ป้าหลิวสามีภรรยาติดตามไปจวนเยี่ยนอ๋องด้วยคงจะไปพบกับฉินไท่เฟย
ลุงฝูได้ยินว่า หลี่หรูอี้มาด้วยตนเองจึงออกไปต้อนรับทันที เขาเชิญพี่น้องสกุลหลี่ไปนั่งที่โถงใหญ่และยังอยู่สนทนากับพวกเขาด้วย
หลี่หรูอี้ตั้งใจเอ่ยว่า “ท่านพี่เจียงกลับมาจากตัวเมืองเยี่ยน คงจะเหน็ดเหนื่อยนัก พวกเราพี่น้องจะอยู่เพียงครู่หนึ่งก็จะกลับแล้วเ้าค่ะ”
ลุงฝูรีบบอกว่า “พวกท่านไม่ต้องรีบกลับ นายท่านของพวกเราออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายดีกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ได้เหนื่อยง่ายๆ แล้ว” เขารู้ดีว่านายท่านบ้านตนให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่มากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นยามที่นายท่านบ้านเขาอยู่กับเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่ จำนวนครั้งที่เขายิ้มก็มากขึ้นกว่าปกติด้วย
หลี่เจี้ยนอันบอกว่า “ลุงฝูขอรับ นี่เป็ของว่างที่พวกเรานำมาให้ท่านพี่เจียงขอรับ”
ของที่อยู่ในกล่องอาหารคือ ขนมเกลียวทอง[1]และข้าวซอยตัด[2] ซึ่งเป็ของว่างชนิดใหม่ที่หลี่หรูอี้ทำเองกับมือ
ลุงฝูเอ่ยขอบใจและให้คนยกกล่องอาหารไปเก็บ เขาจำได้ว่า หลี่หรูอี้ชอบกินผลไม้สดใหม่ จึงสั่งให้คนยกลิ้นจี่มาให้พี่น้องสกุลหลี่ได้ลิ้มรส
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเจียงชิงอวิ๋นก็กลับมา และยังมีท่านชายเสี้ยนกงโม่เสวียนตามมาด้วย
ลุงฝูลุกขึ้นบอกกับพี่น้องสกุลหลี่ว่า “เชิญพวกท่านตามข้าไปต้อนรับท่านชายสักหน่อยขอรับ”
เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่เอ่ยเป็เสียงเดียวว่า “ขอรับ”
ลุงฝูบอกกับหลี่หรูอี้ว่า “ท่านชายเป็ผู้ที่เข้ากับคนง่ายดายเป็ที่สุดขอรับ”
หลี่หรูอี้ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้ารับ แล้วเดินตามหลังพี่ชายไปอย่างเรียบร้อย ไม่นานจากนั้นก็เดินผ่านประตูวงพระจันทร์และได้พบกับเจียงชิงอวิ๋นและโจวโม่เสวียน
เจียงชิงอวิ๋นสวมหมวกขนจิ้งจอกสีดำประดับหยกขาว ด้านนอกคลุมเสื้อขนสัตว์สีดำยาวถึงเข่า ด้านในสวมเสื้อผ้าจิ่นตัวยาวสีดำ กางเกงสีดำ ผิวพรรณขาวดังหยกนวล คิ้วดาบยาวเข้าไปในไรผม แววตาลึกล้ำ สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ยังคงมีกลิ่นอายของความเจ็บป่วยอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ดูสง่างามอย่างยิ่ง ยามมองทำให้ผู้คนต้องจับจ้องเนิ่นนานไม่อาจเคลื่อนคลายสายตา
โจวโม่เสวียนที่อยู่ข้างๆ คลุมเสื้อคลุมสีดำ ด้านในสวมเสื้อสีม่วง ใบหน้าเมล็ดแตง ดวงตาดอกท้อ ใบหน้าหล่อเหลาเป็ที่สุด ยังคงความสง่าสูงศักดิ์มิเปลี่ยน
ทั้งสองคนล้วนเป็เด็กหนุ่มรูปงามที่หาได้ยาก ประหนึ่งดวงเดือนเจิดจรัส แต่มีความสง่างามที่ต่างกัน ซึ่งมีเอกลักษณ์ของตน
เมื่อมีพวกเขาอยู่ ก็ทำให้เหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างหลัง ที่แม้จะมีหน้าตาเรียบร้อยบ้าง หมดจดบ้าง หล่อเหลาบ้าง ต้องหม่นหมองจืดชืดไปทันใด
สายตาของเจียงชิงอวิ๋นมาจับจ้องอยู่ที่หลี่หรูอี้ ไม่ได้พบกันหลายวันเด็กหญิงตัวน้อยสูงขึ้นแล้ว ผิวพรรณก็ยิ่งขาวขึ้น นางสวมกระโปรงสีน้ำเงิน ราศีของนางหาได้ด้อยไปกว่าคุณหนูในตระกูลเลื่องชื่อของเมืองเยี่ยนแต่อย่างใด จึงยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “หมอเทวดาน้อย ให้มีความสุขวันปีใหม่”
ดวงตาดอกท้อของโจวโม่เสวียนเบิกกว้างจนกลมโต ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านผู้นี้ก็คือท่านหมอเทวดาน้อยหรือ” แม่นางตัวน้อยตรงหน้าก็คือผู้ที่รักษาเขาจนหายดี ที่แท้หมอเทวดาน้อยเป็แม่นางน้อยผู้หนึ่งจริงๆ
“เป็หม่อมฉันเองเพคะ” หลี่หรูอี้มองโจวโม่เสวียนสองครั้งแล้วละสายตาไป ครั้งที่ได้พบโจวโม่เสวียนคราก่อน เขานอนหลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่บนเตียง ใต้แสงเทียนมองออกเพียงว่าเขาเป็หนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ โชคดีที่เขามีฐานะสูงส่งเกินจะเปรียบ หาไม่แล้วด้วยรูปโฉมเช่นนี้จะต้องมีชะตาที่แสนสาหัสเสียอย่างยิ่ง
โจวโม่เสวียนรู้ถึงเสน่ห์ของตนเป็อย่างดี เด็กหญิงตัวน้อยในวัยไล่เลี่ยกับหลี่หรูอี้มีคนใดบ้างที่เห็นเขาแล้วจะไม่หลบสายตา มีเพียงหลี่หรูอี้ที่ยังคงครองสติได้ดีและมองเขาแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น จึงอดที่จะมีความรู้สึกที่ดีต่อหลี่หรูอี้เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนว่า “คราก่อนเ้าจากไปรีบร้อนนัก ข้ายังไม่ทันได้ขอบใจเ้าต่อหน้าเลย ครานี้ข้ากลับได้พบเ้าแล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นจ้องมองหลี่หรูอี้ไม่คลายสายตา พลันนึกขึ้นได้ว่า ตนเคยเข้าใจผิดว่าสกุลหลี่้าเข้าหาจวนเยี่ยนอ๋อง ก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ ว่าแล้วก็เอ่ยเบาๆ ไปว่า “พวกเราเข้าไปสนทนากันที่โถงใหญ่เถิด”
ทุกคนมาถึงโถงใหญ่ พี่น้องสกุลหลี่คำนับโจวโม่เสวียน กล่าวว่า “กระหม่อม หลี่เจี้ยนอัน (หลี่ฝูคังและคนอื่นๆ) คารวะท่านชายเสี้ยนกงพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนกลับโค้งตัวคำนับหลี่หรูอี้ ทั้งสีหน้าเปี่ยมด้วยความจริงใจ “ท่านหมอเทวดาน้อย โปรดรับการคารวะจากข้า ขอบคุณในบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“รับไว้ไม่ได้เพคะ” หลี่หรูอี้รีบขยับหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านชายไม่ต้องขอบพระทัยหม่อมฉัน เป็ท่านพี่เจียงพาหม่อมฉันไป ท่านชายขอบพระทัยท่านพี่เจียงเป็พอเพคะ”
โจวโม่เสวียนยังไม่ทันได้คำนับ พลันคิดขึ้นมาในใจ ท่านหมอเทวดาน้อยช่างถ่อมตนเหลือเกิน จึงหันหน้าไปยิ้มให้เจียงชิงอวิ๋น กล่าวว่า “ท่านอาน้อยเป็ญาติของข้า บุญคุณที่เขามีต่อข้านั้น ข้าล้วนจดจำไว้ในใจนิรันดร์มิเลือน”
เจียงชิงอวิ๋นกระแอมเบาๆ คราวหนึ่ง
โจวโม่เสวียนจึงเอ่ยเสียงสูงว่า “แน่นอนว่าบุญคุณที่ท่านหมอเทวดาน้อยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าก็จดจำไว้ในใจไม่เลือนตราบนิรันดร์เช่นกัน”
หลี่หรูอี้ฟังจนขนแทบลุก แต่เห็นว่าทั้งเจียงชิงอวิ๋นและองครักษ์ต่างก็มีสีหน้าเป็ปกติ ดูท่าว่าปกติแล้วโจวโม่เสวียนคงจะพูดจาเช่นนี้ เด็กในจวนอ๋องนี้ช่างแก่แดดแก่ลมเสียจริง
ใบหน้าของเจียงชิงอวิ๋นฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในใจไม่เป็เช่นนั้น กล่าวออกไปว่า “โม่เสวียน เ้ารีบไปจัดการเื่ของเ้าเถิด ข้าไม่รั้งตัวเ้าไว้ที่นี่หรอก”
“ท่านอาน้อย อย่าเพิ่งสิ ข้ายังมีคำจะถามท่านหมอเทวดาน้อยอีก” โจวโม่เสวียนเดินเข้าไปหาหลี่หรูอี้สามก้าว อยู่ห่างจากนางสามฉื่อ เอ่ยถามด้วยสีหน้าขึงขังว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านชำนาญรักษาโรคใด”
หลี่หรูอี้ตอบว่า “โรคที่รักษายากเพคะ”
โจวโม่เสวียนคิดในใจว่า เมื่อครู่ยังเพิ่งบอกว่าหมอเทวดาน้อยถ่อมตนอยู่เลย หรือว่าข้าจะคิดมากไป’ จึงถามต่อว่า “อย่างเช่น?”
“โรคของท่านชายและลุงโจวเพคะ”
โจวโม่เสวียนถามต่ออีกว่า “พอนอนหลับก็จะฝันร้าย ตื่นขึ้นมาก็มีเหงื่อออกท่วมตัว เคยแข็งแรงดังกระทิงแกร่งที่สังหารพยัคฆ์ได้ แต่ยามนี้อ่อนแอเกินจะเปรียบ กระทั่งเดินก็ยังไม่ไหว โรคเช่นนี้ท่านรักษาได้หรือไม่”
ในสมองของหลี่หรูอี้มีหลากหลายโรคปรากฏขึ้นมา จึงตอบไปเรียบๆ ว่า “จะต้องได้เห็นผู้ป่วยก่อนจึงจะรู้ได้เพคะ”
โจวโม่เสวียนถามอีกว่า “กายต้องศรพิษ หัวศรยังอยู่ในอกไม่อาจเอาออกได้ พิษแพร่ถึงหัวใจอย่างรวดเร็ว ท่านรักษาได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก็ต้องดูว่าเป็พิษใดเพคะ”
เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของโจวโม่เสวียนขายยาใด[3] จึงพากันมองไปทางเจียงชิงอวิ๋น
เจียงชิงอวิ๋นกลับเดาความคิดอ่านของโจวโม่เสวียนออก แต่วันนี้ออกจะกระชั้นชิดเกินไป จึงตบไหล่เขาบอกว่า “เ้าจะไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาาุโของเสด็จพ่อเ้า เหตุใดยังไม่ไปอีก”
โจวโม่เสวียนขยับเข้าไปข้างหูเจียงชิงอวิ๋น จึงเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก และคอยสังเกตสีหน้าของพี่น้องสกุลหลี่ “ท่านอาน้อย พวกท่านลุงของข้าหลายคนล้วนมีโรคเก่ารุมเร้า ทั้งแพทย์หลวงและแพทย์เลื่องชื่อล้วนรักษาไม่ได้ สองวันมานี้ครอบครัวเขามาไหว้ปีใหม่พวกเราที่จวน ทั้งวาจาท่าทางล้วนบอกว่าพวกเขาต้องทนทรมานด้วยโรคร้ายอยู่ทุกวัน ประหนึ่งตายเสียดีกว่าอยู่ ข้าอยากพาท่านหมอเทวดาน้อยไปตรวจรักษาโรคให้พวกเขาสักหน่อย ท่านว่าจะได้หรือไม่”
เจียงชิงอวิ๋นปรายตาไปทางหลี่หรูอี้คราวหนึ่ง เห็นแต่นางหลบตาลงต่ำไม่รู้ว่าคิดสิ่งใด จึงว่า “โจวโม่เสวียน เ้ามีความปรารถนาดี ทว่าปีใหม่เช่นนี้หากเ้าพาหมอเทวดาน้อยเข้าเรือนไปรักษา ครอบครัวของท่านลุงทั้งหลายจะคิดเช่นไร”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ขนมเกลียวทอง (麻花 หมาฮวา) เป็ของทานเล่นชนิดหนึ่งคล้ายกับขนมเกลียวทองของไทย ใช้แป้งผสมปั้นเป็เส้นม้วนออกมาคล้ายเปีย ถ้าทำเป็เส้นขนาดเล็กทอดแล้วจะกรอบทั้งแท่ง อาจเคลือบด้วยน้ำตาลหรืออื่นๆ ถ้าทำเส้นหนาจะคล้ายๆ ปาท่องโก๋ที่ทำเป็รูปเปีย ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม
[2] ข้าวซอยตัด (萨其马) คือ แป้งที่ผสมแล้วตัดเป็เส้นและนำไปทอดจนกรอบพอง ผสมกับเครื่องต่างๆ เช่น ถั่ว งา ผลไม้แห้ง คลุกด้วยน้ำเชื่อม วางใส่พิมพ์จนจับตัวแข็งดีแล้ว และนำมาตัดเป็ชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ
[3] ในน้ำเต้าขายยาใด หมายถึง ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ (ใส่ยามาในขวดที่ทำจากผลน้ำเต้า ซึ่งทึบจนมองไม่เห็นว่าข้างในเป็ยาชนิดใด)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้