ท่ามกลางสายตามองส่งด้วยความไม่เข้าใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานเดินมุ่งตรงไปทางประตู เนื่องจากเขาไม่ได้อธิบายอะไรเลย ความรู้สึกที่เหมือนถูกขังอยู่ในกล่องเช่นนี้ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง แล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นี่!”
เยวี่ยเจาหรานที่เดินมาถึงประตูหยุดฝีเท้าลง เขาหันกลับมาถามว่าทำไมคำหนึ่ง แล้วจึงได้ยินเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยตอบกลับมาอย่างเชื่องช้า “ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากถามเ้าว่า ดึกป่านนี้ยังจะไปไหนอีก”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีนิสัยโผงผางอยู่เสมอถึงได้เกิดความเก้อเขินขึ้นมากะทันหัน อาจเป็เพราะกลัวว่าเยวี่ยเจาหรานจะรู้สึกว่านางโง่เขลากระมัง แต่ว่า…
แต่ว่าเยวี่ยเจาหรานก็แจ่มแจ้งว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็คนโง่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?
“แน่นอนว่าต้องไปเอาอกเอาใจท่านแม่ของเ้า ให้นางเห็นด้วยกับการที่ข้าจะไปส่งสวี่ชิวเยวี่ยขึ้นอารามชีอะไรนั่นด้วยกันกับเ้าอย่างไรเล่า” เยวี่ยเจาหรานเอียงหัว บอกความคิดของตนให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วฟังอย่างละเอียด ไม่ได้มีเจตนาทำตัวลึกลับอะไรเลย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่งเสียงอืมคำหนึ่ง แต่กลับยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเยวี่ยเจาหรานถึงต้องพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับเื่ที่ไม่ควรยุ่งเท่าไรนักนี้ด้วย “เ้าไม่ได้เกลียดชังสวี่ชิวเยวี่ยหรอกหรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงขอไปอารามชีกับนางด้วยล่ะ?”
สำหรับคำถามของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้น เยวี่ยเจาหรานรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย เมื่อครู่ก็อธิบายส่วนได้ส่วนเสียในเื่นั้นไปพอสมควรแล้วแท้ๆ เหตุใดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังต้องถามเช่นนี้อีก
“ข้าบอกไปแล้ว เื่นี้ไม่ธรรมดา ข้าไม่อยากให้เ้าไปเสี่ยงโดยลำพัง บางทีตัวตนของเ้าอาจถูกค้นพบได้ เช่นนั้นจะยิ่งจัดการได้ยาก”
คำตอบที่รวบรัดนั้น ได้ปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของเยวี่ยเจาหรานเอาไว้อย่างดีเยี่ยม ที่จริงแล้วเขาเพียงเป็ห่วง ห่วงว่าเื่นี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพียงลำพังจะรับมือกับสวี่ชิวเยวี่ยไม่ไหว น่ากลัวจะถูกสวี่ชิวเยวี่ยหลอกเอา ถูกคนเคิดร้ายก็ยังไม่รู้เลยกระมัง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินคำตอบของเขาเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างแข็งทื่อแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ ขอบคุณนะ”
เยวี่ยเจาหรานรู้สึกอยากหัวเราะอยู่ภายใน ต้องเข้าใจว่า นี่เป็ครั้งแรกที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดกับตนว่า ‘ขอบคุณ’ หากพูดถึงเื่เอ่ยคำขอบคุณ สู้บอกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นควรจะเอ่ยขอบคุณกับเยวี่ยเจาหรานมาตั้งนานแล้วจะดีกว่า
ถ้าหากไม่มีเยวี่ยเจาหราน อุปสรรคในการเดินทางครั้งนี้จะตกเป็ความรับผิดชอบของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพียงผู้เดียว สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งแล้ว มันจะไม่ไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อยหรือ?
เยวี่ยเจาหรานคิดอยู่ในใจ พลันเสริมคำขยายใหม่ว่า ‘แม่นางน้อย’ อีกครั้ง… หากอุปสรรคในการเดินทางนี้ ล้วนต้องให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแม่นางน้อยแสนน่ารักผู้นี้แบกรับอยู่คนเดียว เช่นนั้นสำหรับนางแล้ว มันก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อยไม่ใช่หรือ?
“ขอบคุณอะไรกัน พวกเราเป็เหมือนพี่ชายน้องชายกันนะ มีเื่อะไรก็ต้องเผชิญไปด้วยกันสิ~”
น้ำเสียงขำขันค่อยเงียบๆ ลง ไม่รอให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตอบอะไรกลับมาอีก เยวี่ยเจาหรานก็เดินออกจากเรือนไปทันที เหลือเพียงแผ่นหลังอันสง่าผ่าเผยให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เพิ่งนึกอยากจะบอกว่าตนถูกเยวี่ยเจาหรานปลอบสองสามคำในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยกลับขมวดคิ้วในฉับพลัน แล้วก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ เ้าหมอนี่ ข้าเป็สาวน้อยโดยแท้คนหนึ่ง ไม่ใช่พี่ชายน้องชายงี่เง่าอะไรของเ้าเสียหน่อย เฮอะ!
...
“ท่านแม่”
เยวี่ยเจาหรานที่เรียนรู้การเคารพนอบน้อมแล้วนั้นเดินผ่านครัวเล็กไป ให้เหล่าเกาเตรียมมะละกอตุ๋นไข่กบหิมะ [1] ให้ชามหนึ่ง เมื่อนั้นถึงกล้าเดินเข้าห้องของฮูหยินเยี่ยนอย่างซื่อตรงผ่าเผย ถึงอย่างไรการขอให้คนช่วย การเตรียมการก็ต้องทำให้ดีสักหน่อย อย่างไรเสียใครๆ ก็ว่ามือที่ยื่นมานั้นย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ ยิ่งกว่านั้นเยวี่ยเจาหรานก็มั่นใจว่าสิ่งที่ตนนำมาเป็รอยยิ้มที่งดงามที่สุดเลยทีเดียว
“หืม?” น้ำเสียงและแววตาของฮูหยินเยี่ยนได้ปรากฏ... ความประหลาดใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไร ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ลูกสะใภ้ของตนผู้นี้แต่ไหนแต่ไรก็เป็เ้านายที่ไม่มีเื่ไม่มาอุโบสถ นอกจากนี้เื่ที่นางมักจะได้รับเกียรติมาหานั้น เป็ไปได้มากว่าล้วนไม่ใช่เื่ดีอะไรนัก
ว่ากันตามตรง ในใจของฮูหยินเยี่ยนเองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ยังไม่รู้ว่าคราวนี้ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ จะพาปัญหาวุ่นวายอะไรมาให้ตน
“ครัวเล็กเพิ่งทำมะละกอตุ๋นไข่กบหิมะเสร็จ ท่านแม่ลองชิมดูสิเ้าคะ” ครั้งนี้เยวี่ยเจาหรานเอาใจใส่อย่างยิ่ง ถึงกับเปิดฝามะละกอตุ๋นไข่กบหิมะให้ฮูหยินเยี่ยนด้วยตัวเอง พร้อมกับแย้มรอยยิ้มหวานหยดออกมาอีกครั้ง พลางถือโอกาสเอ่ยว่า “ได้ยินอวิ๋นเฟยบอกว่าไม่กี่วันมานี้ท่านยุ่งอยู่กับการหาผู้ที่เหมาะสมให้กับเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย ทั้งวุ่นวายและเหนื่อยล้ายิ่งนัก”
เมื่อฮูหยินเยี่ยนได้ยินเขาเอ่ยอย่างละมุนละไมเรียบร้อย ในใจก็ผ่อนคลายลงไปไม่น้อย ทั้งไม่ได้ปกปิดความสบายใจของตน แล้วเอ่ยตามตรง “เ้าพูดเช่นนี้เพราะอยากให้ข้าชมเชยเ้าใช่หรือไม่? ที่ช่วยนางคัดเลือกคนไว้ล่วงหน้าอยู่เื้ั เ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ครั้งนี้… ทำได้ไม่เลวเลย”
“ท่านแม่เกรงใจเกินไปแล้ว การแบ่งเบาความเหนื่อยล้าของท่าน ก็เป็สิ่งที่เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเราควรทำไม่ใช่หรือเ้าคะ” เยวี่ยเจาหรานไม่กล้าชักช้าอยู่นาน จึงรีบเอ่ยประโยคถัดไปทันที “ได้ยินว่าเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยอยากจะไปผ่อนคลายจิตใจที่อารามชี ท่านจึงให้อวิ๋นเฟยไปเป็เพื่อนด้วยหรือเ้าคะ?”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ชัดเจนว่าฮูหยินเยี่ยนไม่ได้สงสัยอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรฮูหยินเยี่ยนเองก็เป็มือฉมังของศึกในจวนรุ่นก่อน และยังเป็ฝ่ายได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด เช่นนั้นต่อให้จะผ่านไปสักแปดปีสิบปี ฝีมือก็คงจะยังเหนือกว่าไม่ใช่หรือ? ด้วยเหตุนี้ ยามนี้นางจึงเข้าใจเจตนาของเยวี่ยเจาหรานแล้ว ในแววตานั้นก็ฉายความเ้าเล่ห์ไม่น้อย
“เ้ากำลังกังวลใจเช่นนั้นหรือ?” ฮูหยินเยี่ยนเหลือบมองเยวี่ยเจาหรานอย่างเข้าใจชัดแจ้ง เยวี่ยเจาหรานที่ถูกจ้องเกิดลุกลนขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าเข้าใจ ชิวเยวี่ยชอบพออวิ๋นเฟยมาแต่ไหนแต่ไร เ้าจึงเป็กังวลอยู่บ้าง แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่... แต่วันนี้ข้าเห็นว่า ดูเหมือนชิวเยวี่ยจะพึงพอใจกับการแต่งงานในอนาคตของตนยิ่งนัก คิดดูแล้วคงจะไม่เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาหรอก...”
แม้ว่าฮูหยินเยี่ยนเองจะไม่ได้เชื่อสวี่ชิวเยวี่ยไปทั้งหมด แต่เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ตรงหน้าผู้นี้ก็เป็คนนอกเสียมากกว่า ดังนั้นเมื่อพูดคุยกับนาง อย่างไรก็ต้องปกปิดซ่อนเร้นความจริงเอาไว้บ้าง
“ท่านแม่ล้อกันเล่นแล้วเ้าค่ะ ข้ามาวันนี้ ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น...” เยวี่ยเจาหรานเม้มปาก แย้มยิ้มอย่างเก้อเขิน แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เพียงแต่ อย่างไรอวิ๋นเฟยก็เป็บุรุษ ยามนี้เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยยังไม่ออกเรือน ทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ที่ตกปากรับคำกับผู้อื่นแล้วด้วย พวกเขาสองคนเดินทางกันไปลำพัง หากใครรู้เข้าคงฟังดูไม่ดีนักนะเ้าคะ?”
คำพูดของเยวี่ยเจาหรานก็นับว่าสอดคล้องทำนองคลองธรรม ทั้งไม่ทิ้งจารีตกฎเกณฑ์ ฮูหยินเยี่ยนพยักหน้าตาม “จากที่เ้าพูด ข้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ก่อนหน้านี้เพียงคิดว่าพวกเขาเป็พี่ชายน้องสาวเท่านั้น ไม่เคยคำนึงเื่พวกนี้เลย กลับเป็ความประมาทเลินเล่อของข้าเสียแล้ว...”
ฮูหยินเยี่ยนหลุบตาลง คิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ราวกับกำลังคิดแผนการเพิ่มเติม ทางฝั่งของเยวี่ยเจาหรานผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีระหว่างชายหญิงนั้น พอหกเจ็ดขวบก็ไม่นั่งด้วยกันแล้ว แม้จะเป็พี่ชายน้องสาว แต่ก็ยังมีเส้นแบ่งที่ค่อนข้างชัดเจน เพื่อให้ผู้คนสบายใจหมดกังวล ยิ่งกว่านั้นทางฝ่ายของคุณชายจ้าว หากไต่ถามขึ้นมาจริงๆ ชื่อเสียงของจวนเยี่ยนเราก็คงเสื่อมเสียไปด้วย...”
“เช่นนั้น...”
เวลาไม่คอยท่า ต้องถือโอกาสตีเหล็กตอนร้อน หากรอต่อไปอาจจะมีโอกาสหลุดมือไปอีกครั้งก็ได้ เยวี่ยเจาหรานจึงพยายามทำให้สำเร็จในรวดเดียว แล้วเอ่ยไปตามตรงเสียเลย “เช่นนั้นสู้ให้ข้าไปด้วยกันกับอวิ๋นเฟยและเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยเป็อย่างไรเ้าคะ? ประการแรกข้าคือพี่สะใภ้ของนาง เื่ฐานะตัวตนไม่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อน ประการที่สองข้าก็เป็ผู้... หญิง ไปด้วยกันก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ท่านเห็นว่าอย่างไรเ้าคะ?”
เมื่อเยวี่ยเจาหรานพูดจบ ฮูหยินเยี่ยนก็เกิดความชื่นชมยินดีด้วยใจจริงขึ้นมาเล็กน้อย นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม “คำพูดของเ้ามีเหตุผลยิ่งนัก ข้าเห็นว่าก็ไม่เลว เช่นนั้นตัดสินใจเลยแล้วกัน เ้าก็ไปอารามชีด้วยกันกับพวกเขาสองคนเถิด”
“ขอบพระคุณท่านแม่ ขอบพระคุณท่านแม่...”
เยวี่ยเจาหรานลิงโลดอยู่ในใจ พยายามข่มอาการเอาไว้ สุดท้ายจึงขานรับด้วยรอยยิ้มแล้วถอยออกมา
เชิงอรรถ
[1] มะละกอตุ๋นไข่กบหิมะ (木瓜炖雪蛤) เป็อาหารว่างตำรับกวางตุ้ง อันเป็เมนูของหวานชื่อดังมาแต่โบราณ โดยมีวัตถุดิบหลักคือมะละกอและไข่กบหิมะ ไข่กบหิมะนี้ ทำมาจากเยื่อไขมันใกล้ท่อนำไข่ของกบูเา เป็ยาจีนล้ำค่าที่ใช้บำรุงและเสริมสร้างร่างกาย น้ำมาตุ๋นกับนมและมะละกอสุก ช่วยกลบรสฝาดของไข่กบหิมะได้
