เจาเจาเจ็บไข้ ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย
หลังจากท่านหมอหลวงจางจ่ายยามา หนานิเหอกับเสี่ยวชุ่ยก็ช่วยกันป้อน แต่นางกลับยังไม่ฟื้น ทั้งที่อุณหภูมิร่างกายค่อยๆ ลดลงแล้ว
หนานิเหอนั่งเงียบๆ ราวกับรูปปั้นอยู่ข้างกายนางมาทั้งวัน เจาเจาป่วยจนกระสับกระส่าย บางครั้งก็ละเมอพึมพำออกมา ซึ่งล้วนเป็หนานิเหอที่ตบหลังมือของนางเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับ
แม้เวลาจะล่วงเลยจนเริ่มดึก แต่หนานิเหอก็ยังไม่มีท่าทีจะผละออกไป
เฝ่ยชุ่ยอึกๆ อักๆ จนปี้สี่มากระซิบเชิญเขาไปพักผ่อนในเรือนด้านข้างชั่วคราว หนานิเหอก็ยังนิ่งเฉย
ไม่รู้ว่าเสี่ยวชุ่ยคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงเอ่ยออกมาว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูกล่าวว่าหอเซียวเซียงของคุณชายคงพักไม่ได้สักระยะ จึงให้บ่าวเก็บเรือนที่อยู่ถัดไปแล้ว สองสามวันนี้เชิญคุณชายพักอยู่เรือนหิมะมรกตไปพลางๆ ก่อนนะเ้าคะ”
คราวนี้หนานิเหอยอมไปแต่โดยดี ทว่าเขาพูดไม่ได้ ทำได้เพียงส่งสายตาให้เด็กรับใช้ข้างๆ และส่งภาษามืออีกหลายท่า
มือเขาขาวราวหิมะ ข้อต่อชัดเจน ปลายนิ้วมือขาวจนเกือบโปร่งแสง ยามใช้ภาษามือจึงดูดีเป็พิเศษ ทว่าเหล่าข้ารับใช้ในเรือนได้แต่มองด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ
แต่เด็กรับใช้คนนั้นรู้ทันที จึงเอ่ยกับสาวใช้ทุกคนเสียงต่ำ “คุณชายหมายความว่า หากอีกสักพักคุณหนูไม่สบายตรงไหน ต้องไปแจ้งที่เรือนถัดไปด้วย ยามนี้ในจวนไม่มีเ้านายสักคน ดีร้ายอย่างไรเขาก็อายุมากกว่าคุณหนู มีเื่ใดเกิดขึ้นก็ยังสามารถดูแลได้”
หนานิเหอดูแลเยี่ยนเจาเจาอย่างดีเยี่ยมมาตลอด และทั้งสองยังโตมาด้วยกันราวกับพี่น้องแท้ๆ ไฉนเลยปี้สี่และเฝ่ยชุ่ยจะไม่ไว้วางใจ เพียงแต่หนานิเหอเพิ่งเดินทางกลับมาจากวัดม้าขาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย ย่อมต้องพักผ่อน
หลังเฝ่ยชุ่ยส่งหนานิเหอออกไปแล้ว จู่ๆ เยี่ยนเจาเจาที่นอนอยู่บนเตียงก็ร้องไห้ขึ้นมา ราวกับกำลังฝันร้าย
สองมือของนางกำผ้าห่มไหมไว้แน่น น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาจากหางตา ริมฝีปากเอ่ยร้องเรียกท่านพ่อท่านแม่ด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
คงจะคิดถึงครอบครัวกระมัง?
แต่ก็ใช่ เยี่ยนเจาเจาผูกพันลึกซึ้งกับบุพการีมาั้แ่เล็ก แม้นองค์หญิงฉงหยางจะต้องเสด็จไปที่อื่นอยู่บ่อยๆ ทว่าเยี่ยนเหิงก็ดูแลเยี่ยนเจาเจาเป็อย่างดี
แต่ตอนนี้องค์หญิงฉงหยางประทับอยู่ที่ค่ายทหารเหลียงเป่ย ส่วนเยี่ยนเหิงยังโดนรั้งอยู่ในวังไม่ได้กลับจวนมาหลายวันเพราะเื่ของเหล่าโอรส เวลาที่เด็กผู้หญิงทุกคนฝันร้ายก็มักจะร้องหาท่านพ่อท่านแม่เป็คนแรกเสมอ
จะว่าไปก็ช่างไร้สาระนัก คาดว่าบ้านใหญ่จวนเยี่ยนคงไม่เคยใส่ใจบ้านสามเลย เด็กสาวอย่างเยี่ยนเจาเจาต้องอยู่สวนมวลบุปผาหอมคนเดียว กลับไม่มีผู้ใหญ่มาเหลือบแลสักคน กระทั่งนางป่วยยังไร้เงาคน แต่เอาเื่ผีสางมาก่อความวุ่นวายในสวนมวลบุปผาหอมเสียแทน
เสี่ยวชุ่ยกับปี้สี่รีบคุกเข่าข้างเตียงนุ่มแล้วปลอบโยนเยี่ยนเจาเจา คิดไม่ถึงว่านางกลับร้องไห้หนักขึ้น อาจเพราะป่วยจนสับสน ดวงตาสองข้างจึงทั้งฉงนและโกรธเคือง เอาแต่เพ้อถึงท่านพ่อท่านแม่
ห้องหลักของเรือนหิมะมรกตส่งเสียงเอะอะจนหนานิเหอที่เพิ่งเดินมาถึงห้องของตนเองยังได้ยินลางๆ เขาจึงหันหลังเดินย้อนกลับไป
“คุณชายรอง...”
เฝ่ยชุ่ยไม่เคยเห็นเยี่ยนเจาเจาในสภาพนี้มาก่อน เมื่อสายตาของหนานิเหอทอดมองไปยังเยี่ยนเจาเจาก็พบว่าใบหน้านางไร้สี อีกทั้งน้ำตายังอาบเส้นผมข้างขมับจนเปียกชุ่ม ใจเขาจึงทนไม่ได้ขึ้นมา
หนานิเหอส่งสายตาให้เสี่ยวชุ่ยและปี้สี่ ปี้สี่เข้าใจเลยยกที่นั่งบนเบาะให้แก่เขา
เขาถอดชุดคลุมสกปรกของตนเองออก แล้วย่อตัวลงข้างเตียงเยี่ยนเจาเจา ก่อนจะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากนางจนสะอาด จากนั้นก็กุมมือของนางเบาๆ
เสียงร้องไห้ของเยี่ยนเจาเจาเบาลงเล็กน้อย แต่คิ้วกลับขมวดแน่น น้ำตาคลออยู่ข้างสันจมูก ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
หนานิเหอยื่นมืออีกข้างไปลูบเบาๆ ที่กลางหลังนางผ่านผ้าห่มไหม ไม่ต่างกับแม่ที่กำลังกล่อมลูกน้อยวัยแบเบาะ
เยี่ยนเจาเจาหยุดร้องไห้และสงบลงในพริบตา นางขดตัวขยับเข้ามาชิดร่างเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ราวกับกำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมกอด อีกทั้งยังอิงหน้าผากเหนือฝ่ามือของหนานิเหอโดยไม่รู้ตัวด้วย
นี่น่าแปลกนัก
ั์ตาเสี่ยวชุ่ยเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่รู้สักนิดว่าหนานิเหอทำได้อย่างไร
เยี่ยนเจาเจาหลับไปอย่างรวดเร็วภายใต้การปลอบโยนของหนานิเหอ เขาจึงจะชักมือออก คาดไม่ถึงว่านางจะร้องไห้ขึ้นมาอีก
นางไม่ยอมปล่อยมือหนานิเหอ แม้จะยังไม่ตื่นจากฝันร้ายอันหนักหน่วง แต่มือของนางกลับจับเขาไว้แน่น เค้นกำลังออกมาสุดแรงเพื่อรั้งมิให้หนานิเหอจากไป
ใครต่อใครต่างจนปัญญา แต่จะมาขอให้คุณชายรองอยู่เป็เพื่อนคุณหนูทั้งคืนคงไม่ได้
ทว่ายามนี้เยี่ยนเจาเจายังคงดึงดันไม่ยอมปล่อยหนานิเหอ แค่เขาขยับเพียงเล็กน้อย นางก็ร้องไห้แล้ว
เยี่ยนเจาเจาลืมตาอย่างมึนงง นางจำเค้าโครงหน้าของเด็กหนุ่มรูปงามหล่อเหลาผู้นี้ได้ แต่ดวงตาฉ่ำน้ำดั่งลูกองุ่นของนางยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวังพึ่ง ชัดว่ายังไม่ตื่นจากห้วงฝัน
“พี่ชายรอง...ช่วยข้าด้วย”
ใบหน้าของหนานิเหออ่อนโยนลง ทั้งยังแฝงไปด้วยความปลอบประโลมอย่างเต็มที่ ราวกับบ่อปลาหลี่ฮื้อ[1] นับพันในสวนมวลบุปผาหอม ที่โดนลมพัดเป็ระลอกเหนือผิวน้ำ ไหวคลอจากดวงตาเข้าสู่หัวใจ
“เจาเจาอย่ากลัว ข้าอยู่นี่ ข้าไม่ไปไหน”
เยี่ยนเจาเจาไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ หลังจากหมดสติไป นางก็รู้สึกราวกับกำลังจมอยู่ใน่ใกล้ตายเมื่อชาติก่อน ปรากฏภาพเหลียงอินที่มองมาอย่างเ็า ข้างกายเขาเป็เยี่ยนฟางหวาผู้งดงามน่ารักใคร่ ประกายดาบในมือเพชฌฆาตสลักลงในแววตาสิ้นหวังของเยี่ยนเจาเจา
นางไม่อยากตาย แต่นางปราชัยแล้ว
ทว่าฝ่ายแพ้ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ นางทำได้เพียงนอนพังพาบกับพื้นพลางเบิกตามองดาบที่เงื้อขึ้นสูง
แล้วภาพทุกอย่างเบื้องหน้าก็พลันผสมรวมกันเป็วงกลม นางรู้สึกราวกับร่างกายของตนโดนผลักอย่างแรงจนพลัดร่วงลงมาจากที่สูงอย่างกะทันหัน แต่นางกลับคว้ามือใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
เยี่ยนเจาเจาเจาะโเรียกชื่อของทุกคน หวังเพียงจะมีใครสักคนที่ดึงนางไว้ได้ แล้วทันใดนั้น ความอบอุ่นเจือจางก็ส่งมาถึงมือนาง มือข้างหนึ่งคว้ามือนางไว้แน่น ส่วนอีกข้างโอบหลังของนางแ่เบา พร้อมกับลูบอย่างอ่อนโยน
แว่วเสียงกระซิบนุ่มนวลข้างหู “เจาเจาไม่ต้องกลัว”
นางไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าเป็ใคร เมื่อพยายามถ่างตาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งฟุบหลับอยู่เงียบๆ ข้างเตียงนาง
เยี่ยนเจาเจาเอนนอนอยู่ข้างมือของเขา ใบหน้าทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก
รูปหน้าของเขาซูบผอมและขาวซีด อาจเพราะไม่พบเจอดวงตะวันเกือบตลอดทั้งปี ผิวพรรณจึงขาวกว่าสตรีทั่วไป ส่วนใบหน้าที่ซ่อนไว้ก็งดงามจนแทบลืมหายใจ
ขณะนี้เขากำลังฟุบอยู่ข้างเตียงนุ่มของเจาเจา ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย สีหน้ามีร่องรอยความเหนื่อยล้าเบาบาง แต่กลับจับมือของเจาเจาไว้แน่น
เยี่ยนเจาเจายังเวียนศีรษะอยู่บ้าง นางกลัวว่าการกลับมาเกิดใหม่ของตนจะเป็เพียงแค่ความฝัน แล้วหลังตื่นมาก็จะเห็นใบหน้าของเหลียงอินอีกครั้ง แต่เมื่อพบว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็หนานิเหอ ใจของนางจึงรู้สึกสงบลงในพริบตา
เชิงอรรถ
[1] ปลาหลี่ฮื้อ หมายถึง ปลาคาร์ป