หลินฟู่อินคิดว่าเฟิงซื่อจะตกลง ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าอับอาย
“ท่านป้ารู้สึกไม่ดีหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินยิ้มถาม
เฟิงซื่อเม้มปากน้อยๆ ยังคงดูขายหน้า พูดด้วยท่าทีสิ้นไร้ไม้ตอก “ข้าก็อยากทำน้ำแกงกระดูก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่คุ้นชินกับงานหนัก หากน้ำแกงไม่มีน้ำมันเกรงว่าจะตำหนิเอาได้”
ตอนแรกหลินฟู่อินคิดว่าน้ำแกงใสๆ เบาๆ น่าจะดื่มง่ายกว่า มิคาดเฟิงซื่อจะกล่าวเช่นนี้ แต่พอลองคิดดูแล้วก็เข้าใจได้
แต่อย่างไรนางก็คิดว่าน้ำแดงกระดูกใส่เห็ดขาวอร่อยมากจริงๆ และกระดูกก็ราคาไม่แพงด้วย
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ? เวลามีงานเลี้ยงใหญ่ๆ น้ำแกงพวกนี้มักเป็น้ำแกงลูกชิ้น”
หลินฟู่อินรู้แล้วว่าเหตุใดจ้าวซื่อจึงรู้สึกไม่ดี หากต้องทำน้ำแกงลูกชิ้นจริงๆ เกรงว่าเนื้อยี่สิบจินที่สั่งมาคงไม่พอ
ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ดีๆ หลินต้าหลางก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้จ้าวซื่อลุกขึ้นยิ้มทักทาย
แม้จะกลายเป็คนนอกั้แ่ออกไปเป็ลูกบุญธรรมคนอื่น แต่เฟิงซื่อก็ยังเคารพนักถือบัณฑิตมาก พอคนมาถึงก็ออกตัวจะไปชงชาให้เขาทันที
หลินต้าหลางมองสวนหน้าบ้านใหม่ แม้ลานหน้าบ้านจะกว้างขวางกำลังดีทว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก จึงเบ้ปากเล็กน้อย “ไม่จำเป็ ท่านปู่แค่ให้ข้ามาบอกท่านว่าสร้างบ้านใหม่ได้สำเร็จเป็เื่ดี ให้ข้ามาส่งซองแดงให้พวกท่าน”
เมื่อกล่าวจบคนก็ส่งพวงเงินที่ร้อยด้วยเชือกสีแดงให้กับเฟิงซื่อ บนนั้นมีเงินอยู่ราวห้าสิบอีแปะ
หลินต้าหลางหรี่ตามองเฟิงซื่อ “ท่านป้าสองคิดจะจัดงานเลี้ยงกี่โต๊ะหรือ?”
เฟิงซื่อคิดว่าปู่หลินให้ชายหนุ่มมาถามจึงรีบตอบออกไป “ตั้งใจว่าจะจัดสี่หรือห้าโต๊ะ เชิญมาแค่ครอบครัวละคน”
“อะไรกัน แค่สี่ห้าโต๊ะ?” หลินต้าหลางเบิกตากว้าง น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมา เขาจ้องหน้าเฟิงซื่อก่อนจะส่ายหน้า “ป้าสอง ท่านย่าคิดว่าท่านจะจัดหลิวสุ่ยสี [1] เสียอีก วันสำคัญเช่นนี้หากมีแค่สี่ห้าโต๊ะประเดี๋ยวผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้!”
เฟิงซื่อชะงักไป สีหน้าแตกตื่นขึ้นมา นางมองหลินต้าหลางแล้วกล่าว “ต้าหลางเอ๋ย ตามธรรมเนียมหมู่บ้านเราจัดหลิวสุ่ยสีก็เฉพาะตอนงานขาวแดง วันดีเท่านั้น ข้าคุยกับปู่เ้าแล้ว บ้านเราแค่จัดกินเลี้ยงตามปกติเท่านั้นเอง…”
น้ำเสียงบงการของหลินต้าหลางทำให้เฟิงซื่อประหลาดใจ ทั้งยังดึงดูดหลินต้าเหอที่กำลังทำเก็บกวาดของอยู่ในบ้านด้วย
หลินเฟินหลินฟางพาหลินซานหลางไปเก็บสมุนไพร ตอนนี้จึงไม่อยู่
“ต้าหลาง พูดเื่อะไรกันอยู่หรือ?” หลินต้าเหอสุภาพกับหลานชายคนนี้ยิ่งกว่าเฟิงซื่อ พูดด้วยความระมัดระวัง
หลินต้าหลางเห็นหลินต้าเหอเดินออกมาทั้งที่เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น เส้นผมเต็มไปด้วยผงสีเทาๆ ก็มุมปากกระตุกอย่างรู้สึกขยะแขยง
ทว่าเขารู้ว่าอารองคนนี้ขี้ขลาดหูเบา คำที่คิดจะพูดกับเฟิงซื่อจึงมุ่งเป้าใส่อีกฝ่ายแทน
ชายหนุ่มกลอกตาไปมาก่อนจะกล่าว “ท่านอารอง ท่านย่าคิดว่าเมื่อสร้างบ้านใหม่ก็ควรจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี! แต่กลับได้ยินจากอาสะใภ้รองว่าพวกท่านจะจัดแค่งานเลี้ยงธรรมดาสี่ห้าโต๊ะ นี่มันอะไรกัน?”
หลินต้าเหอรับฟัง ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายประสงค์ร้าย รีบถามกลับทันที “ปู่ย่าเ้าหมายความว่ายังไง?”
หลินฟู่อินเหยียดหยันในใจ เื่นี้ปู่หลินกับภรรยาไม่เกี่ยวสักนิด เกรงว่าหลินต้าหลางคิดจะมาก่อปัญหาให้บ้านสองมากกว่า
แต่คนซื่อเช่นหลินต้าเหอแน่นอนว่าไม่คิดว่าหลานชายที่ไม่เจอกันนานจะมีจิตใจอันดำมืด
หลินฟู่อินยืนมองสถานการณ์ด้วยสายตาเย็นเยียบ หลินต้าหลางคนนี้ใจดำจริงๆ ทั้งคนยังเป็บัณฑิต คนเช่นนี้รีบมือยากกว่าจ้าวซื่อเป็ไหนๆ
นางเชื่อว่าคนทำชั่วจะเดือดร้อนเพราะตัวเอง ญาติของคนเหล่านี้มักจะช่างวางแผน ไม่เห็นคนอื่นเป็คนดี ต่อให้สอบเป็บัณฑิตก็ไปได้ไม่ไกล!
“ท่านอารอง ข้าบอกว่าคนบ้านใหญ่ไม่มีงานเลี้ยงสำคัญมาเกือบสิบปีแล้ว ท่านสร้างบ้านดีๆ เช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าควรจัดงานเลี้ยงเพื่อบ้านเดิมหรือ?”
หลินฟู่อินเห็นว่าหลินต้าหลางมีวาทศิลป์ดีทีเดียว เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินต้าเหอก็มีรอยยิ้มสบายใจขึ้นมา
เฟิงซื่อรู้ว่าสามีตัวเองเป็คนอย่างไร นางจึงใเมื่อเห็นสีหน้าเขา รีบพูดทันที “ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากจัดงานใหญ่ แต่ครอบครัวเราตอนนี้ไม่มีเงินแล้ว คงจัดงานหลิวสุ่ยสีไม่ได้!”
ล้อเล่นหรืออย่างไร ทั้งหมู่บ้านมีเด็ก มีคนแก่ มีชาวบ้านเกือบสองร้อยชีวิต หลิวสุ่ยสีต้องเติมอาหารไม่ให้ขาด จานหนึ่งหมดอีกจานต้องมา ไม่เพียงบ้านสองไม่ได้เตรียมอาหารไว้มากมายปานนั้่น แต่แค่เตาทำอาหารจัดเลี้ยงก็ต้องมีอย่างน้อยเจ็ดแปดเตาแล้ว
เฟิงซื่อคิดไม่ออกเลย…
เห็นเฟิงซื่อใช้คำว่าไม่มีเงินเป็ข้ออ้าง หลินต้าหลางก็แค่นเสียง สายตาเย็นเยียบมองนาง
เฟิงซื่อผงะถอย ไม่รู้ว่าตนไปล่วงเกินหลานชายคนโตั้แ่เมื่อไร
หลินต้าหลางไม่ปล่อยให้นางได้คิด “ป้าสอง ไม่คิดถึงหน้าตัวเองอย่างน้อยก็ต้องคิดถึงหน้าซานหลางด้วย อีกหน่อยซานหลางจะเป็ลูกชายท่าน จากนี้ท่านต้องไว้หน้าเขาให้มาก หาไม่จะหาลูกสะใภ้ดีๆ ได้ยังไง?”
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้เฟิงซื่อก็อึ้งไป เมื่อโจมตีเื่อื่นไม่ได้ผลหลินต้าหลางจึงยกหลินซานหลางขึ้นมาแทน ครั้งนี้นางไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี
แม้หลินฟู่อินจะรังเกียจความตั้งใจชั่วร้ายของหลินต้าหลาง แต่คำกล่าวของเขาก็ทำให้นางนึกได้ว่า ทั้งการวางคานทั้งการรับลูกบุญธรรมต่างก็เป็เื่ดีและเื่ใหญ่ทั้งคู่
งานดีๆ สองงานเช่นนี้สามารถจัดหลิวสุ่ยสีได้ทั้งคู่
แต่ว่า หากจัดทั้งสองงานแยกกันจะประหยัดเงินได้มากกว่า
เื่นี้เหมาะสมพอดี นางกำลังอยู่ในอารมณ์อยากช่วยบ้านสองสักหน่อย ทั้งยังเป็การฝึกฝนตัวเองด้วย
ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นมองหลินต้าหลางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม แต่รอยยิ้มของนางกลับทำให้เขาขนลุก เด็กสาวหันไปมองเฟิงซื่อแล้วหัวเราะ “ท่านป้าสองเ้าคะ สิ่งที่พี่ซานหลางพูดนั้นสมเหตุสมผล เื่มงคลเช่นรับพี่ซานหลางมาเลี้ยง และยังมีวางคานบ้านอีก เช่นนี้สมควรจัดหลิวสุ่ยสีจริงๆ”
ก่อนหน้าตอนได้ยินหลินต้าหลางพูดก็ใจไม่ดีแล้ว หลินต้าเหอเองก็ดูคล้ายไม่แน่ใจกึ่งอับอาย เมื่อเห็นหลินฟู่อินกล่าวเช่นนี้ก็โล่งใจขึ้นมา
ดังที่หลินฟู่อินคาด ที่แท้เฟิงซื่อก็คิดคำนวณเงินอยู่ในใจ จริงๆ แล้วการจัดงานแบ่งเป็สองครั้งกับการจัดงานหลิวสุ่ยสีใช้เงินต่างกันไม่มาก
นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลินซานหลางอีกด้วย
ครั้งนี้เฟิงซื่อไม่คุยกับหลินตาเหอ นางปรบมือยินดี “ฟู่อินคิดได้ดีจริงๆ เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถอะ!” จากนั้นนางก็ไม่ใส่ใจใบหน้าง้ำงอของหลินต้าหลาง แล้วยิ้ม “ต้าหลางกลับไปบอกย่าเ้า ว่าพวกเราบ้านสองจัดงานสำคัญสองงานเช่นนี้ย่อมต้องจัดหลิวสุ่ยสีดังที่ท่าน้า!”
ตอนนี้เฟิงซื่อพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เดาออกว่าหลินต้าหลาง้าให้นางเสียหน้าแทบตาย ในใจจึงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด คิดว่าเมื่อปีก่อนหลินต้าหลางกลับมาเจอคู่สามีภรรยาผู้เฒ่าที่บ้านพวกนางก็เคารพเขา ไม่นึกว่าเด็กหนุ่มจะร้ายกาจเพียงนี้ กลายเป็ลูกบ้านอื่นไปแล้วแต่ยังมาวุ่นวายกับเื่ของบ้านสองอีก เช่นนี้เกินไปแล้ว!
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หลิวสุ่ยสี (流水席) หมายถึง งานกินเลี้ยงแบบโต๊ะที่อาหารทุกจานจะต้องมีน้ำซุป อาหารทุกรายการจะต้องเสิร์ฟไม่ให้ขาดตอน ประหนึ่งสายน้ำไหล จึงได้รับการเรียกขานว่าหลิวสุ่ยสี แปลความหมายได้ว่า งานเลี้ยงสายน้ำไหล