ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการกระตุกของรถม้าอย่างกะทันหัน มู่จื่อหลิงที่ยังคงสับสนอยู่ในขณะนี้ และไม่ได้เตรียมตัวไว้จึงถอยร่างไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ
“อา...” มู่จื่อหลิงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นมีเสียงกระแทกดังปังตามเสียงอุทานของนาง ร่างกายครึ่งหนึ่งของมู่จื่อหลิงได้กระแทกไปบนหน้าอกของหลงเซี่ยวอวี่ซึ่งนอนอยู่ด้านข้างอย่างแรง...
มู่จื่อหลิงลูบแก้มที่เ็ปจากการถูกกระแทก อดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ
สมควรตาย! บ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดจู่ๆ ม้าตัวเก่งถึงวิ่งไปเองได้? เป็ไปได้ไหมว่ามันจะใกับกลุ่มคนที่วิ่งมา?
แต่เหตุใดหลงเซี่ยวอวี่ถึงไม่ตอบสนอง
มู่จื่อหลิงแอบเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่
แต่เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่ยังคงหลับตาแน่น ราวกับว่าเขาหลับลึกจริงๆ การหายใจของเขายาว มั่นคงและสงบ ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบนิ่ง
แม้ในยามหลับใหล ก็ยังคงน่ามองจนคนแทบหยุดหายใจ ไม่สามารถละสายตาได้ ทำให้คนลืมหายใจได้จริงๆ
ร่องรอยของความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของมู่จื่อหลิง ชายผู้นี้กำลังหลับเป็ตายหรือ? โดนนางพุ่งเข้าใส่อย่างแรง เหตุใดไม่มีการเคลื่อนไหวเลย?
แต่ก็ดีแล้ว...ยังดีที่เขาไม่ตื่น มู่จื่อหลิงแอบชื่นชมยินดีในใจ นางขยับกายอย่างระมัดระวัง กำลังจะลุกขึ้นจากร่างของหลงเซี่ยวอวี่อย่างเงียบๆ
แต่ในยามนั้นเองที่หลงเซี่ยวอวี่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่เหมือนดวงดาวของเขาอย่างช้าๆ หรี่ตาลงเพื่อมองไปที่มู่จื่อหลิงซึ่งกำลังทาบทับอยู่บนกายของตน ดวงตาของเขาเป็ประกายแฝงความชั่วร้ายและมีเสน่ห์
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเร่าร้อนที่จ้องมองมาจากเหนือศีรษะ นางที่กำลังจะยกมือขึ้น จึงหยุดชะงักไปและมองขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...
แต่กลับต้องเผชิญดวงตาที่มืดสนิทและลึกล้ำของหลงเซี่ยวอวี่ ดวงตาของเขาล้ำลึกแต่กลับชัดเจน ราวกับน้ำพุใสที่สงบนิ่ง [1] แต่ยังคงเปล่งประกายด้วยแสงจ้าที่เร่าร้อน
เขาตื่นแล้วหรือ? หรือแค่แกล้งหลับ?
มู่จื่อหลิงรู้สึกงงเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง
หากจะกล่าวว่าที่ถูกเสียงดังปลุกขึ้นมา มันก็ผ่านไปสักพักแล้ว หากจะกล่าวว่าแค่แกล้งหลับ มันดูจะสมจริงมากเกินไปหรือไม่?
แต่ไม่ว่าจะถูกปลุกหรือแกล้งหลับ มู่จื่อหลิงมองดูท่าทางยามนี้ของเขา นางจ้องมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ที่ยังคงจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง
จู่ๆ หัวใจของนางก็เต้นผิดจังหวะ
เห็นได้ชัดว่านางบังเอิญชนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นางมักจะรู้สึกราวกับว่านางถูกจับได้ว่าทำสิ่งที่ไม่ดี
เพราะในยามนี้ แม้ว่านางจะไม่ได้ััหลงเซี่ยวอวี่ แต่ตัวของนางก็ยังอยู่เหนือร่างของเขา
อาจกล่าวได้ว่านางกำลังมองลงมาที่เขา ด้วยภาพลักษณ์ของนักเลงหัวไม้
ไม่รู้ว่าจะคิดว่านางกำลังฉวยโอกาสในขณะที่เขากำลังหลับอยู่ แล้วทำอะไรบางอย่างกับเขาหรือไม่ เพราะท่าทางนี้ช่างทำให้คนคิดลึกได้จริงๆ
แน่นอนว่านางยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากไปกว่านี้ เสียงที่ต่ำและร้ายกาจก็ลอยเข้ามาในหูของนางอย่างแ่เบา
“ฉีหวางเฟย เ้ากำลังทำอะไรอยู่?” หลงเซี่ยวอวี่กะพริบตาคู่งามอย่างไร้เดียงสา หันมองนางด้วยท่าทางสับสน ถามอย่างเป็กันเอง
แม้ว่าดวงตาของเขาจะแผดเผาและดูเหมือนจะร้อนแรงมากก็ตาม แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่มีความสับสน
ทุกการแสดงออกของเขานั้น เขาล้วนทำมันจบในขั้นตอนเดียว ทำให้แทบจะเป็ไปไม่ได้เลยที่จะหาข้อบกพร่องใดๆ ได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่งัวเงียและงุนงงของหลงเซี่ยวอวี่ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
แต่ในเวลานี้ มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่กลับค่อยๆ เกิดรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและมีเสน่ห์ ในก้นบึ้งหัวใจของมู่จื่อหลิงจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกขนลุก
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงวางมือลงข้างกายหลงเซี่ยวอวี่แล้วส่งยิ้มให้ “ท่านตื่นแล้ว ข้าเกรงว่าเสียงดังจะรบกวนการนอนของท่าน นั่นเป็เหตุผลว่าเหตุใดจึง...”
นางมองการกระทำของตนที่ไม่ต่างจาก ‘นักเลงหัวไม้’ ซึ่งมันช่างน่าขัน จากนั้นจึงพยายามซ่อนความอับอายจากการที่นางล้มลงนอนทาบทับไปบนร่างของหลงเซี่ยวอวี่เมื่อครู่นี้เอาไว้
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางก็ยกมือขึ้นและกำลังจะจากไป
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะลุกขึ้นนั่ง หลงเซี่ยวอวี่ก็หาวออกมาอย่างเกียจคร้าน “อือ...”
เขาอ้าแขนออกไม่รู้ว่าทำโดยตั้งใจหรือไม่ มันบังเอิญไปปัดโดนแขนข้างหนึ่งของมู่จื่อหลิงซึ่งใช้รองรับน้ำหนักตัวของนางอยู่
เอ่อ...
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะทันได้ตอบสนอง น้ำหนักร่างกายของนางก็สูญเสียการรองรับน้ำหนักจากแขนของตนไป
หลังจากนั้น จึงเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ขึ้นมาอีกครั้ง มู่จื่อหลิงคร่ำครวญด้วยเสียงฮึดฮัดอู้อี้ และในยามนั้น ครึ่งหนึ่งของร่างกายของนางก็นอนราบลงบนร่างของหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง
มู่จื่อหลิงตกตะลึงในทันที
เกลียดนัก! ชายผู้นี้จะยืดมือออกมาในยามอื่นไม่ได้หรืออย่างไร? รอจนมือของนางหลุดพ้นออกไปก่อนแล้วค่อยยืดมือออกมาไม่ได้เลยหรือ?
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงยังคงฝังอยู่ตรงกลางหน้าอกแกร่งของหลงเซี่ยวอวี่ จมูกของนางเจ็บจากการถูกกระแทก และนางก็อดเดาในใจไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแขนของนางที่ใช้ประคองร่างของตนนั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรมันก็มีความทรงพลังในระดับหนึ่งเช่นกัน เหตุใดเขาถึงปัดแขนนางออกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ใช้การยืดเหยียดแขน
ชายผู้นี้ทำมันโดยเจตนาหรือไม่? ตั้งใจจะยืดแขนออกมาผลักมือของนางหรือเปล่า?
เมื่อลองคิดดูแล้ว มู่จื่อหลิงก็เกือบพุ่งกระแทกผนังด้วยความคับแค้นใจ
เหตุใดทุกครั้งแม้ว่านางจะพยายามดูดนมสุดแรง [2] แต่ทุกครั้งที่นางอยู่ต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ มันกลับยังคงไร้ประโยชน์ การต้องเปรียบเทียบกับใครสักคน ช่างน่าโมโหอย่างแท้จริง!
ยิ่งมู่จื่อหลิงคิดเื่นี้มากเพียงใด นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น นางจะลุกขึ้นจากตัวของหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง แต่...
“ที่แท้...เมื่อครู่นี้มู่มู่ของเปิ่นหวางก็กำลังลอบย่องเข้ามา เป็เพราะ้าเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเปิ่นหวางนี่เอง” หลงเซี่ยวอวี่นึกขึ้นได้ในทันที ในขณะที่กำลังพูดช้าๆ อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น เขาก็เหยียดแขนเรียวยาวและทรงพลังของตนออกมา
“ท่าน...” มู่จื่อหลิงส่งเสียงในเชิงข่มขู่ออกมาทันที
หมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่านางลอบย่องเข้ามาเพราะ้าเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา? เห็นได้ชัดว่าเป็เพราะม้าสองตัวนั้น...จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่านางถูกใส่ความจนรันทดอดสูเสียยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ [3]
มู่จื่อหลิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ หลงเซี่ยวอวี่จึงคว้าเอวเรียวของนางไว้ด้วยมือที่อบอุ่นทั้งสองข้าง แล้วดึงมู่จื่อหลิงซึ่งนอนอยู่บนหน้าอกของตนให้ขึ้นมาทาบทับร่างตนทั้งตัว
เนื่องจากความเร็วของรถม้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน มู่จื่อหลิงจึงกลัวที่จะถูกเหวี่ยงไปมาอีกครั้ง
ดังนั้นนางจึงสวมท่ากบ [4] โดยไม่รู้ตัว โอบรอบลำตัวที่กว้างและแข็งแรงของเขาไว้อย่างแ่าด้วยมือและขาทั้งสองข้าง
ในยามนี้นางไม่ต่างไปจากปลาหมึกที่เกาะติดแน่น การกระทำนี้ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็ความกล้าหาญ ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าความต่างของทั้งสองมันช่างน่ารักมากพอที่จะทำให้คนยิ้มได้
ท่านี้แย่กว่าท่าในยามที่นางกระแทกเข้ากับหน้าอกของเขาเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าฉีอ๋องชอบท่าทางนี้มากยิ่งกว่าเดิม
ใบหน้างดงามของทั้งสองหันเข้าหากัน
เวลาในยามนี้ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปแล้ว
นอกจากเสียงกีบเท้าม้าวิ่งควบจากด้านนอกแล้ว เหลือเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใกล้กันมาก ต่างโอบล้อมด้วยลมหายใจของกันและกัน ราวกับว่าพวกเขาสามารถััริมฝีปากของกันและกันได้ด้วยการขยับเพียงครั้งเดียว...
ในขณะนั้น รถม้าก็เกิดการกระตุกขึ้นอย่างกะทันหัน มู่จื่อหลิงจึงกลับมามีสติในทันที
เมื่อมู่จื่อหลิงตระหนักถึงการกระทำที่กล้าหาญอย่างยิ่งของตน นางก็ตระหนักได้ว่าร่างกายของนางเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าสมองจริงๆ
นะ นี่ ท่านี้คืออะไรกัน? มู่จื่อหลิงไม่ต้องมองด้วยซ้ำ นางยังสามารถจินตนาการถึงท่าทางที่นางนอนอยู่บนร่างหลงเซี่ยวอวี่ในขณะนี้ได้เป็อย่างดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มู่จื่อหลิงรู้สึกอยากจะพุ่งชนผนังด้วยความอับอายและโกรธ นางจึงไม่แม้แต่จะคิดถึงการพยายามหลุดพ้นออกจากตรงนี้...
แต่ในยามที่มู่จื่อหลิง้าผละตัวออกมา แขนของหลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่ต่างไปจากเหล็กหนีบที่โอบร่างของนางไว้ในอ้อมแขนของเขาจนแน่น ทำให้นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่โค้งขึ้นเล็กน้อย และจากมุมที่มู่จื่อหลิงมองไม่เห็น รอยยิ้มประสบความสำเร็จก็เปล่งประกายอยู่ภายในดวงตาของเขา “มู่มู่คนโง่อยากอยู่ใกล้เปิ่นหวาง ก็ไม่จำเป็ต้องแอบย่องเข้ามา”
“เปิ่นหวางอนุญาตให้เ้าเข้าใกล้ได้อย่างเปิดเผย เ้าสามารถจูบและััตรงจุดไหนก็ได้ตามที่เ้า้า ดีหรือไม่?” เสียงที่ลึกและแหบแห้งของหลงเซี่ยวอวี่นั้นมีเสน่ห์และร้อนแรงสุดจะพรรณนาได้ในยามนี้
หลงเซี่ยวอวี่จับจ้องไปที่ใบหน้าเล็กที่อยู่ใกล้กับใบหน้าของตนอย่างจริงจัง ในยามที่เขาพูด ริมฝีปากที่เย็นเฉียบก็ได้ััเข้ากับริมฝีปากของมู่จื่อหลิงอย่างแ่เบา
จูบและััตรงจุดไหนก็ได้ตาม้าหรือ? มู่จื่อหลิงกัดฟันแน่นจนแทบจะบดให้เป็ผุยผง [5]
ชายผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! เขามักจะเอาเปรียบนางโดยไม่พูดสิ่งใด และยามนี้แม้กระทั่งทางวาจาเขาก็ไม่ยอมปล่อยนางไป
มู่จื่อหลิงกำหมัดแน่น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
อะไรที่เรียกว่านางย่องเข้ามาในอ้อมแขนของเขา? หากไม่ใช่เพราะเขายืดมือมาปัดมือนางออก หรือเพราะม้าบ้าสองตัวนั้นไม่เกิดสติแตกขึ้นมาอย่างกะทันหัน...มู่จื่อหลิงหันไปมองที่ประตูรถม้า
นางเห็นว่าถึงแม้ม้าสองตัวนี้จะควบเร็วดุจสายลม ความเร็วของพวกมันก็คงที่ ไม่เหมือนอย่างที่นางคิด ว่าพวกมันจะวิ่งเพราะความหวาดกลัว อีกทั้งทิศทางนี้เป็ทิศทางกลับไปยังจวนฉีอ๋อง
ทันใดนั้น จิตใจของมู่จื่อหลิงก็สว่างวาบ และนางเข้าใจได้ในทันที
ม้าสองตัวนั้นยังคงสงบนิ่งได้แม้มีเสียงะเิดังลั่นถึงเพียงนั้น จู่ๆ พวกมันจะวิ่งหนีออกมาเพียงเพราะเห็นคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างไร พวกมันจะหวาดกลัวจนออกวิ่งด้วยตนเองได้จริงหรือ?
นอกจากนี้ หลงเซี่ยวอวี่คือใคร เป็ไปได้อย่างไรที่จะถูกโจมตีอย่างหนักแล้วยังนอนหลับสนิทอยู่? ผิดปกติจริงๆ
จะต้องเป็...ชายน่ารังเกียจผู้นี้ที่กำลังเล่นสนุกกับนางอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็สงบลง จ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างขมขื่นและพูดด้วยความโกรธ “ปล่อยข้านะ”
“ไม่ปล่อย เป็เ้าเองที่ะโเข้ามาในอ้อมแขนของข้า” มือของหลงเซี่ยวอวี่กักขังนางไว้แน่น เขาสูดลมหายใจอุ่นๆ อย่างเชื่องช้า หยอกล้อนางทีละเล็กทีละน้อย
“ท้ายที่สุดแล้วท่าน้าทำอะไร?” หัวใจของมู่จื่อหลิงรู้สึกคันเล็กน้อยเมื่อได้รับการหยอกล้อจากเขา จึงโพล่งออกมาก่อนที่สมองของตนจะทันได้คิดสิ่งใด
หลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้พูดอะไร แต่มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้ายและเ้าเล่ห์ ในความเห็นของมู่จื่อหลิงรอยยิ้มนี้อันตรายเกินไปสำหรับนาง
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็ตระหนักรู้ในภายหลัง นางคงโกรธมากจนโง่เขลาไปแล้วเป็แน่ นางถามคำถามโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
เพราะในยามนี้ ด้วยท่วงท่าที่ผู้หญิงทาบทับอยู่เช่นนี้ ท่าทางนี้ค่อนข้างคลุมเครือ
มู่จื่อหลิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ใช่ ไม่ใช่คลุมเครือเล็กน้อย...แต่เป็คลุมเครือมาก
นางรู้สึกได้...มู่จื่อหลิงจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้านางอย่างเงียบๆ
จู่ๆ หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนโดยที่นางไม่รู้ตัว
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนที่ช้าลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน มันเดินเชื่องช้าราวกับกำลังเล่นกินลมชมวิว...
ดวงตาผสานกัน เกิดเป็ความรู้สึกที่ซับซ้อน
เพียงพริบตาเดียวก็สามารถััได้ถึงไออุ่นของกันและกันอย่างชัดเจน ลมหายใจที่หอมสดชื่น และััที่นุ่มนวล...
ในยามนี้มู่จื่อหลิงราวกับตกอยู่ในห้วงฝันที่แสนวิเศษ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความฝันที่มีเสน่ห์และงดงาม ราวกับว่าสิ่งรอบตัวถูกประสานกันไว้ด้วยตาข่ายที่ไม่มีรู [6] สายใยถักทอพันกันจนเป็เกลียว
ดูเหมือนไม่มีทางหนีพ้น!
ด้านหน้าของนางคือใบหน้าที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหลของหลงเซี่ยวอวี่ผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ ทั้งยังสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดคล้อยตาม อารมณ์ในดวงตาลึกล้ำของเขามีบางอย่างที่นางไม่อาจเข้าใจ
อากาศรอบตัวนางเต็มไปด้วยกลิ่นดอกเหมยเย็นที่โชยมาจากร่างกายของเขา ดูเหมือนว่าเขาที่ทำเพียงปล่อยลมหายใจที่แ่เบา แต่กลับทำให้หัวใจและปอดของนางเต็มไปด้วยกลิ่นของเขา
ไม่ว่าจะเป็การหายใจออกหรือหายใจเข้า ก็ยังคงมีเพียงกลิ่นของเขาเพียงผู้เดียว ราวกับกลิ่นนี้ถูกแช่แข็งอยู่ภายในจมูกของนาง และไม่สามารถสลายตัวได้อีกต่อไป
มองดูใบหน้าหล่อเหลาซึ่งอยู่ใกล้เกินไป ได้กลิ่นลมหายใจอันหอมหวน รู้สึกถึงอุณหภูมิที่แผดเผาบนร่างกายของเขา สมองของมู่จื่อหลิงราวกับถูกอุดไว้ด้วยแป้งเหนียว [7]
ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สมองของนางยุ่งเหยิง ในหัวของนางเต็มไปด้วยความคิดที่สุ่มเสี่ยง ซึ่งมันทำให้ร่างกายของนางร้อนขึ้นเล็กน้อย หูของนางก็ร้อนมากเช่นกัน...
ทันใดนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็พลิกตัวขึ้นมา และกดมู่จื่อหลิงไว้ใต้ร่างของตน...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ราวกับน้ำพุใสที่สงบนิ่ง (如一汪平静的清泉) เป็วลี มีความหมายว่า ความสงบที่นิ่งจนเกินไป ไม่อาจมองออกได้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่
[2] ดูดนมสุดแรง (吃奶的劲) เป็สำนวน มีความหมายว่า ใช้แรงทั้งหมดที่มี หรือพยายามทำบางสิ่งจนสุดกำลัง
[3] ถูกใส่ความจนรันทดอดสูเสียยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ (比窦娥还冤) เป็คำที่มาจากงิ้วโบราณ มีความหมายว่าผู้พูดรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม มาจากเื่ 《窦娥冤》งิ้วเื่นี้มีมาั้แ่สมัยราชวงศ์หยวน เล่าถึงนางเอกที่ถูกใส่ความว่าฆ่าคนตายและฆาตกรติดสินบนให้ศาลตัดสินปะาชีวิตนาง
[4] สวมท่ากบ (摆起蛙式) คือคำบอกถึงท่าทาง เป็ท่าที่กางขาออก แล้วโอบรอบบางอย่างจนดูคล้ายกบ
[5] กัดฟันแน่นจนแทบจะบดให้เป็ผุยผง (几乎咬牙) เป็วลี มีความหมายว่า โกรธหรือมีความมุ่งมั่นอย่างสุดขีด
[6] ตาข่ายที่ไม่มีรู (无破洞的网) เป็วลี มีความหมายว่า ไม่มีช่องว่าง หรือไม่มีทางหนี
[7] สมองถูกอุดไว้ด้วยแป้งเหนียว (脑子灌了浆糊) เป็วลี มีความหมายว่า คิดอะไรไม่ออก ราวกับมีอะไรบางอย่างมาอุดไว้ หรือเกิดเหตุการณ์บางอย่างจนทำให้คิดไม่ออกว่าควรทำอะไรต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้