บทที่ 58 ทะลวงสิบเจ็ดเส้นชีพจร, ของขวัญจากตระกูลมู่หรง
จวนมู่หรง
ณ ห้องเงียบสงบ
เป็ห้องฝึกฝนที่เ้าของตระกูลมู่หรงทุกยุคทุกสมัยใช้เป็ประจำ เมื่อมู่หรงเซียวได้รับอนุญาต จึงเดินเข้าไป
ทันทีที่ก้าวเข้าไป เขาก็เห็นท่านปู่มู่หรงไห่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ข้างกายมีกล่องไม้เล็กๆ วางอยู่
“ข้าต้องตรวจสอบความคืบหน้าของเ้า ดูว่าเข้าสำนักชิงเยวียนไปแล้วเกียจคร้านลงบ้างหรือไม่” มู่หรงไห่เงยหน้ากล่าว
ในปัจจุบัน ตระกูลมู่หรงยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขาเพียงผู้เดียว ทว่าเขาย่อมต้องแก่ชราลงสักวันหนึ่ง บุตรชายของเขา ซึ่งก็คือบิดาของมู่หรงเซียว ปัจจุบันยังคงไร้ร่องรอย ตระกูลสาขาอื่นก็จับจ้องตำแหน่งเ้าตระกูลมาสักพักแล้ว โชคดีที่มู่หรงเซียวแสดงพร์อันแข็งแกร่งมาโดยตลอด ทำให้คนเ่าั้ได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดจริงจัง
“ท่านปู่วางใจได้เลยขอรับ หลานชายจดจำคำสอนของท่านเสมอมา” มู่หรงเซียวกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอบเขตปราณโลหิตกี่เส้นชีพจรแล้ว?” มู่หรงไห่ถาม
มู่หรงเซียวตอบอย่างซื่อสัตย์
“เจ็ดเส้นชีพจร ใกล้จะถึงแปดเส้นชีพจรแล้วขอรับ”
“อืม... ไม่เลว แข็งแกร่งกว่าข้าในวัยนั้นมากนัก” มู่หรงไห่พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“แต่ก็ไม่รู้ว่าพลังรบจะเป็อย่างไรบ้าง” แล้วจึงลุกขึ้นยืน กลิ่นอายของเขาถูกกดข่มลงมาให้อยู่ในขอบเขตปราณโลหิตเจ็ดเส้นชีพจรในทันที
“มา เราสองปู่หลานมาลองประลองกันหน่อย”
“ท่านปู่?”
“วางใจได้ ข้าจะไม่ใช้วิชาการต่อสู้ที่เกินกว่าขอบเขตปราณโลหิต”
ภายในห้องเงียบสงบ เสียงหมัดเท้าปะทะกันกึกก้อง และพลังลมปราณที่ปะทุขึ้นก็ดังสนั่นไปทั่ว
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
“ไม่ไหวแล้วขอรับ ไม่ประลองแล้ว! ท่านปู่เก่งกาจเกินไปจริงๆ” มู่หรงเซียวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นด้วยใบหน้าหงุดหงิด เหงื่อท่วมกาย
“เ้าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณโลหิตทั่วไปมากแล้ว” มู่หรงไห่มองหลานชายด้วยความยินดีพลางกล่าวว่า
“หากเ้าสามารถก้าวเข้าสู่แปดเส้นชีพจร และฝึกฝนวิชาเกราะทองคุ้มกายให้ถึงขั้นเชี่ยวชาญได้ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณโลหิตทั่วไปที่ไม่มีอาวุธระดับคมกริบ เกรงว่าจะไม่สามารถทำลายการป้องกันของเ้าได้เลย”
“ข้าเก่งกาจถึงขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?” เมื่อได้รับคำชมจากท่านปู่ ใบหน้าของมู่หรงเซียวที่เหนื่อยล้าก็พลันเผยรอยยิ้ม
“แน่นอน การประลองเก้ายอดเขาของสำนัก เ้าคงติดห้าอันดับแรกได้มิยาก”
“พูดยากขอรับท่านปู่ ในรุ่นของข้านี้…มีคนเก่งมากมายนัก” มู่หรงเซียวส่ายหน้ากล่าว
ศิษย์พี่หลี่, อิ๋งปิง, หลินเจียง, เซียวฉิน... นี่คือเหล่าอัจฉริยะที่เขารู้จัก ศิษย์สายตรงจากยอดเขาอื่นก็ยังมีผู้โดดเด่นอีกมากที่ไม่ควรมองข้าม
“เ้าช่างประเมินตนเองต่ำไปเสียจริง” มู่หรงไห่ส่ายหน้าพลางกล่าว
“ในรุ่นของเ้า ย่อมมีผู้คนที่เป็ดั่งัในหมู่มนุษย์ แต่เ้าก็มิได้ด้อยไปกว่าใครเลย เมื่อเดือนที่แล้ว ข้าได้พบอัจฉริยะผู้โด่งดังที่สุดในป่าหยกเพลิง เขายังด้อยกว่าเ้าถึงสามส่วนเสียด้วยซ้ำ”
นิสัยของหลานชายออกจะอ่อนน้อมถ่อมตนเกินไปเสียหน่อย แม้พร์จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ โดดเด่นเป็เลิศในแคว้นจื่อหยาง และในอนาคตก็มีความสามารถที่จะพาตระกูลมู่หรงก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นได้ แต่ไม่ทราบเป็เพราะเหตุใด จึงมักจะมองตนเองต่ำต้อยถึงเพียงนี้
“เ้านำของสิ่งนี้ไป” มู่หรงไห่ยื่นกล่องบนโต๊ะให้หลานชาย
เมื่อเปิดออก ด้านในปรากฏเม็ดยาสีเขียวสองเม็ด แต่ละเม็ดมีลายยาถึงสี่ลายสลักอยู่
“ยาเม็ดทะลวงเส้นชีพจรสี่อักษรสองเม็ดนี้ เพียงพอให้เ้าเปิดเส้นชีพจรเพิ่มอีกหนึ่งเส้นภายในไม่กี่วัน”
“แล้ว…ท่านอา และญาติฝ่ายอื่นจะไม่ว่าอะไรหรือขอรับ?” มู่หรงเซียวถามเสียงเบา
นี่เป็การใช้ทรัพย์สินของตระกูลเพื่อได้มาอย่างแน่นอน แถมยังใช้เงินไม่น้อยด้วย ผู้คนมักกังวลเื่ความไม่เท่าเทียมมากกว่าความขาดแคลน มู่หรงเซียวได้รับการสนับสนุนทรัพยากรมาั้แ่เด็ก ตระกูลสาขาอื่นจึงเริ่มบ่นพึมพำมานานแล้ว
“เ้าคืออัจฉริยะของตระกูลมู่หรง เป็เสาหลักของบ้านในอนาคต” มู่หรงไห่ครางเสียงขึ้นจมูก น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาด
“เงินไม่ใช้กับเ้า แล้วจะเอาไปให้พวกนั้นผลาญเล่นหรือ? กินๆ ไปเสียเถิด!”
รอจนเห็นหลานชายกินยาเม็ดแรกเข้าไปแล้ว มู่หรงไห่จึงกลับลงไปนั่ง
กริ๊ก—
ไม่นานนัก ก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นจากร่างของมู่หรงเซียว เดิมทีเขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะผ่านด่านได้ เมื่อจิตใจสงบ เขาก็ทะลวงขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก”
“ไม่เสียทีที่เป็บุตรแห่งกิเลนของตระกูลมู่หรง” มู่หรงไห่คลายคิ้วที่ขมวดลง
เขาคิดว่าหลานชายจะต้องใช้ยาเม็ดทะลวงเส้นชีพจรทั้งสองเม็ดเสียอีก ใครจะคาดคิดว่าเพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอแล้ว
เขาก็เห็นมู่หรงเซียวค่อยๆ เก็บยาเม็ดทะลวงเส้นชีพจรที่เหลือกลับเข้ากล่องอย่างระมัดระวัง
“ท่านปู่ เม็ดนี้ ข้าอยากจะมอบให้ศิษย์พี่หลี่ขอรับ เมื่อก่อนเขาก็เคยให้ยาข้าเหมือนกัน”
มู่หรงไห่ยิ้มพลางถามขึ้นลอยๆ ว่า “ยาอะไร?” โดยเขาเองก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งใด
ต่อมาคำตอบนั้นทำให้ชายชราถึงกับเงียบงัน
“ยาชำระจิตหกอักษรหนึ่งขวดขอรับ”
….
“...เ้ารอสักครู่” มุมปากของมู่หรงไห่กระตุก เขามองสีหน้าของหลานชายแล้ว ก็รู้ว่ามิใช่การเสแสร้งแกล้งทำ เอาเถอะ นิสัยของเซียวเอ๋อร์ ไม่เคยโกหกอยู่แล้ว ยาระดับหกอักษรหนึ่งขวดเชียวหรือ...
มู่หรงเซียวเห็นมุมปากของท่านปู่กระตุก ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่อยู่ภายในห้องเงียบสงบ จากนั้นก็มีเสียงคุ้ยข้าวของดังออกมา ทำให้มู่หรงเซียวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง ท่านปู่กำลังทำอะไรกัน?
ไม่นานนัก มู่หรงไห่ก็กลับออกมา พร้อมกับกล่องหนึ่งกล่องในมือ
“ข้าเลือกของสะสมมาสองสามชิ้น ไปกันเถอะ”
“โอ้…”
สองปู่หลานเดินออกจากห้องเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนพักของสหายหลี่น้อย
ตลอดทาง มู่หรงไห่รู้สึกซับซ้อนในใจ เดิมทีตั้งใจจะมอบความเมตตาให้ แต่กลับกลายเป็ว่าต้องมาตอบแทนความเมตตาเสียเอง แถมยังไม่แน่ใจว่าจะตอบแทนได้หมดสิ้นหรือไม่ วิชาการต่อสู้ระดับสูงที่เยี่ยมยอด และยาเม็ดระดับหกอักษรหนึ่งขวด... สิ่งเหล่านี้แทบจะเทียบเท่ากับการเปลี่ยนชีวิตของเซียวเอ๋อร์เลยทีเดียว
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น คลื่นความผันผวนที่ไม่ทราบที่มาได้ดึงดูดความสนใจของเขา
“หืม? นี่คือ...” สีหน้าของมู่หรงไห่พลันเปลี่ยนไป
ยิ่งเข้าใกล้เรือนพักนั้น ความรู้สึกสั่นสะท้านอันไร้รูปร่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“ท่านปู่?” มู่หรงเซียวไม่เข้าใจ รีบเดินตามไป
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหน้าประตู
ในเรือนพักมีพวกสัตว์ต่างๆ พากันมารวมตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ และล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในลานบ้าน แม้ฤดูใบไม้ผลิจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ดอกท้อในสวนกลับแตกหน่อขึ้นมาใหม่อย่างน่าอัศจรรย์
หนวดเคราของมู่หรงไห่ปลิวไสวไปตามลม ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาเคยท่องเที่ยวยุทธภพ และมีโอกาสได้เห็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตภูมิทัศน์ภายในทะลวงขั้นได้ ภาพในตอนนั้นช่างคล้ายคลึงกับภาพเบื้องหน้ายิ่งนัก
“สหายหลี่น้อย เกรงว่าคงเป็ยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นขอบเขตเป็แน่แล้ว” ความสงสัยนี้ผุดขึ้นในใจของเขา
ทว่า
ตูม—
เกิดเสียงคล้ายการคำรามของพยัคฆ์และั ราวกับระฆังขนาดใหญ่ที่ดังกึกก้องสั่นะเืจิตใจ มีคลื่นปราณโลหิตอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากห้อง นี่คือสัญญาณของการทะลวงขอบเขตปราณโลหิต เพียงแต่สัญญาณของการทะลวงขอบเขตครั้งนี้ ช่างไม่ธรรมดาเอาเสียเลย...
“ศิษย์พี่หลี่กำลังทะลวงขอบเขตหรือขอรับ?” มู่หรงเซียวเกาศีรษะ
ขณะนั้นเอง
ตูม—
แคว๊ก—
เสียงทะลวงขอบเขตอีกครั้ง คราวนี้ ดูเหมือนมีบางสิ่งแตกสลาย
“ในชั่วลมหายใจเดียว... ทะลวงสองขอบเขตติดกันเลยรึนี่...” ท่านผู้เฒ่ามู่หรง ผู้บรรลุถึงขอบเขตปราณญาณเทพ ถึงกับรู้สึกหายใจติดขัดในยามนี้ เมื่อครู่เขายังคิดว่าหลานชายของตนเองเป็อัจฉริยะ แต่ในยามนี้ เขากลับรู้สึกราวกับตนเองเป็กบในกะลา
“ศิษย์พี่หลี่ก็เป็เช่นนี้แหละขอรับ ท่านคงไม่เคยได้เห็นกระมัง” มู่หรงเซียวกล่าวอย่างคุ้นเคย
มู่หรงไห่ “...”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเ้าหลานชายถึงคิดว่าตนเองไม่ใช่อัจฉริยะ การได้อยู่ใกล้กับคนอย่างหลี่โม่บ่อยๆ เช่นนี้ ช่างยากยิ่งนักที่จะมีความมั่นใจในตนเอง
ขณะที่สองปู่หลานมองหน้ากันอย่างเงียบงัน ประตูห้องก็พลันเปิดออก สหายหลี่น้อยในเสื้อผ้าชุดใหม่ก้าวเดินออกมา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความรู้สึกผิด
“ขออภัยด้วยขอรับ ดูเหมือนข้าจะทำอ่างอาบน้ำพังไปเสียแล้ว”
เขามิได้หมายความว่าอ่างอาบน้ำที่ทำจากไม้เส้นทองคำชั้นดีนั้น จะมีปัญหาแต่อย่างใด หลักๆ แล้วคือเขาไม่คาดคิดว่าน้ำนมแห่งชีพจรัจะทรงพลังถึงเพียงนี้ การที่ทะลวงถึงสิบเจ็ดเส้นชีพจรก็นับว่าอลังการเกินไป