เป็เฉกเช่นที่เหล่าผู้คนได้คาดเดาไว้ ข่าวลือที่หลินเฟิงท้าเฮยม่อได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักเทียนอี้
ไม่เพียงเหล่าศิษย์สายทหารที่ได้ยินเท่านั้น แต่สายชนชั้นสูงและสายนักฆ่าต่างก็ได้ยินเช่นกัน
ผู้คนเริ่มสนใจและตรวจสอบประวัติของหลินเฟิง แต่คนที่เห็นประวัติของหลินเฟิงแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแต่จู่ๆ ก็ได้เข้าสำนักเทียนอี้ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเป็ที่โปรดปรานของรองเ้าสำนัก
แต่ทว่าผู้คนต่างต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาตรวจสอบประวัติของหลินเฟิง กลับพบว่ายิ่งหาก็ยิ่งมีเื่ราวซับซ้อนมากกว่านั้น ดูเหมือนหลินเฟิงจะมีหลายสถานะ แต่ทุกสถานะดูจะไม่สอดคล้องกันราวกับว่ามีบางคนกำลังพยายามทำให้ทุกคนสับสนกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
ถ้ามันเป็ผลจากการกระทำของใครบางคน หากเป็เช่นนั้นมันก็น่ากลัวอย่างแท้จริง นั่นก็เหมือนกับเป็การมอบพลังให้กับหลินเฟิง
อย่างไรก็ตามสำหรับหลินเฟิงก็ไม่ได้รู้เบื้องเื้ัทั้งหมด
ตอนนี้เขากับหยวนซานและคนอื่นๆ ตามเวิ่นอ้าวเสวี่ยมาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากสำนักเทียนอี้ไปร้อยลี้
ในขณะนั้นได้มีกำแพงอยู่เบื้องหน้าของหลินเฟิง กำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบเมืองซึ่งเป็เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งภายในเมืองหลวง
กำแพงในสายตาพวกเขานั้น มันเป็กำแพงที่กว้างขวางมากราวกับไร้ที่สิ้นสุด
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยหันไปกล่าวกับหลินเฟิงและคนอื่นๆ พวกเขาเดินไปที่ประตูใหญ่ของเมืองเล็กๆ แห่งนี้
“อะ!”
เมื่อเวิ่นอ้าวเสวี่ยมาถึงประตูใหญ่ แล้วมอบหินหยวน 1 ก้อนให้กับยามที่อยู่ข้างๆ และคาดไม่ถึงว่าจะเป็หินหยวนระดับกลาง
นอกจากนี้หลินเฟิงพบว่าไม่เพียงมีเวิ่นอ้าวเสวี่ย ยังมีคนอื่นๆ ที่เข้าไปในประตูใหญ่ แต่ต้องชำระค่าผ่านทางด้วยหินหยวนก่อนถึงจะเข้าไปได้
หลังจากผ่านประตูใหญ่เข้าไป หลินเฟิงก็เห็นตลาดที่ดูครึกครื้นและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
“ที่นี่คือ?”
ม่านตาของหลินเฟิงหดลง มันช่างคึกคักเป็อย่างมาก ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
“ที่แห่งนี้เป็สถานที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง เ้า้าสิ่งใด ที่นี่ล้วนมีหมด เ้าสามารถมาที่นี่เพื่อหาของที่้าได้”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยอธิบายให้หลินเฟิงฟัง ส่วนหลิ่วเฟยที่อยู่ข้างๆ หลินเฟิงดูตื่นเต้นและกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่เคยมาเลยสักครั้ง มันดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเมืองหลวงถึงมั่งคั่ง เมื่อก่อนข้าไม่เคยเชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว”
หลินเฟิงพยักหน้า แต่กลับเห็นเวิ่นอ้าวเสวี่ยยิ้ม
“หลินเฟิง เ้าสามารถหาสาวงามได้จากที่แห่งนี้ หากเ้า้าความเพลิดเพลิน” เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า จึงทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ ส่วนหลิ่วเฟยนางดูโกรธ สายตาที่หลิ่วเฟยมองทำให้หลินเฟิงตัวสั่น เขาพยายามยิ้มเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ แล้วทำไมเวิ่นอ้าวเสวี่ยถึงพูดเื่แบบนี้กัน?
“นอกจากนี้เ้าสามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ง่ายดายตราบใดที่เ้ามีหินหยวนมากพอ เ้าสามารถซื้ออาวุธหรือแม้กระทั่งคนได้ อย่างเช่นใช้หินหยวนซื้อทาสผู้ฝึกยุทธ์ นอกจากนี้เ้ายังสามารถหาทักษะเคล็ดวิชาก็ย่อมได้”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าว จึงทำให้หลินเฟิงมึนงง อาวุธ ผู้หญิง สัตว์อสูรปีศาจ ทาสผู้ฝึกยุทธ์ และทักษะเคล็ดวิชา สิ่งเหล่านี้เป็ตัวดึดดูดความสนใจของผู้คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน
แค่มีหินหยวนมากพอ ก็สามารถเป็เ้าของทรัพยากรได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เขตการค้า พวกเราน่าจะมาสถานที่แห่งนี้ให้เร็วกว่านี้” หลินเฟิงคิดตามที่เวิ่นอ้าวเสวี่ยได้พูดไว้ หลินเฟิงรู้สึกสนใจหลายๆ อย่าง
อย่างเช่นทาสผู้ฝึกยุทธ์!
“แน่นอน ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงจะไม่ไปสถานที่ที่ข้าพูดนั้นเป็แห่งแรก หรือเ้าอยากไปเพลิดเพลินกับหญิงสาว เฉพาะคนที่มั่งคั่งและต่ำช้าเท่านั้นที่จะไปเขตดังกล่าว ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงจะไปยังเขตอื่นๆ ของตลาด และอีกเขตคือที่ที่เหล่าศิษย์ทหารไปกันเป็ประจำ”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวดักหลินเฟิง
“ที่ไหนกัน?” หลินเฟิงถาม เขตการค้าแห่งนี้ก็น่าสนใจเป็อย่างมากแล้ว แต่เวิ่นอ้าวเสวี่ยกลับบอกว่า ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่เหล่าศิษย์ทหารต่างไปกันเป็ประจำ
“ที่นั่น ผู้คนต่างคิดว่ามันคือแดนนรก แต่สำหรับศิษย์ทหารอย่างพวกเรามันคือสนามรบ มันคือบทเรียนที่ต้องใช้ความกล้าหาญและเืเนื้อ”
“เ้ากำลังพูดถึงลานประลองเชลย!” หลิ่วเฟยกล่าว
“ใช่แล้ว มันคือลานประลองเชลย ถึงแม้จะเป็ศิษย์ทหารก็ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะก้าวเข้าไปในนั้น” เวิ่นอ้าวเสวี่ยพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ว่าเ้า้าความแข็งแกร่งมากกว่านี้หรือ เพราะลานประลองเชลยมันเหมาะกับเ้าเป็อย่างมาก”
“ลานประลองเชลย!” หลินเฟิงพูดพึมพำ จากนั้นกล่าวถามว่า “ที่นั่นคือสถานที่แบบไหนกัน?”
“หากเ้าไปถึงแล้วจะเข้าใจเองว่ามันคือสถานที่แบบไหน”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวแล้วเริ่มเดินนำทันที หลินเฟิงอยากรู้มากว่าลานประลองเชลยมันเป็เช่นไร!
เมืองนี้เป็เมืองขนาดกลางที่ดูกว้างใหญ่ หลินเฟิงและคนอื่นๆ ต่างรีบเดินอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าหลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็ยังไปไม่ถึงลานประลองเชลย
ในขณะนั้นหลินเฟิงกลับได้ยินเสียงดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นด้านหน้าเขามีกลุ่มคนกำลังรวมตัวกันอยู่ หลินเฟิงเห็นแต่หลังพวกเขาจึงไม่สามารถดูได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
หลังจากนั้นสักครู่ หลินเฟิงและคนอื่นๆ เริ่มเข้าไปดูใกล้ๆ เสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่และมีรูปร่างคล้ายวงแหวน มันใหญ่โตมากจริงๆ ที่ใจกลางของลานรูปร่างคล้ายกับแหวนขนาดใหญ่มีปล่องูเาไฟมากมาย
“หลินเฟิง ที่นี่คือลานประลองเชลย ที่เ้าเห็นฝูงชนนั่นอย่างน้อยก็นับแสนคน และจะมีผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้ทุกๆ วัน” เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวขณะชี้ไปยังผู้คนจำนวนมาก
“ผู้คนนับแสนคน!”
หลินเฟิงอ้าปากค้างตกตะลึงกับจำนวนที่น่าสะพรึง และทุกๆ วันก็เป็ดั่งเช่นวันนี้ ต่างมีผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่ มันมากเกินกว่าจะจินตนาการได้
จากนั้นพวกเขาก็เดินลงบันไดไปข้างล่าง และมองฝูงชนจากระยะไกล
เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นสนามประลองอันกว้างใหญ่ ในมุมมองของหลินเฟิงนั้น มันคล้ายกับมีูเาอยู่นับไม่ถ้วนที่อยู่ท่ามกลางผู้คนบนอัฒจันทร์
เหนือูเาไฟเหล่านี้มีกรงขนาดใหญ่ครอบคลุมไปทั่วสนาม ภายในสนามถูกติดตั้งไปด้วยกับดักอันตราย เวลานี้ในที่แห่งนั้นมีคนยืนอยู่ตรงกลางคนหนึ่ง
“เชลย!”
หลินเฟิงเข้าใจทันทีว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงเรียกว่าลานประลองเชลย มันทำให้เขานึกถึงโลกก่อนหน้านี้ ในกรุงโรมสมัยโบราณที่บรรดาขุนนางต่างเฝ้าดูพวกทาสและสัตว์ป่าต่อสู้กันในโคลอสเซียม
แต่ฉากที่หลินเฟิงเคยเห็นในสายตาของเขานั้นน่าประทับใจกว่ามาก มันทำให้เขาสั่นสะท้านไปถึงจิติญญาเพราะความตื่นเต้น
“ท่ามกลางลานประลองเชลย จะมีกรงเหล็กขนาดใหญ่อยู่ภายใน ทุกๆ วันจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือด การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์อสูรปีศาจ การต่อสู้ระหว่างคนกับคน หากใครที่พ่ายแพ้จะต้องตาย และผู้ชนะถึงจะสามารถออกไปจากกรงเหล็กได้”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดของเวิ่นอ้าวเสวี่ยแล้วก็ต้องตกตะลึง ช่างเป็สถานที่ที่น่ากลัวยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวิ่นอ้าวเสวี่ยถึงกล่าวว่า ในสายตาของเหล่าผู้คนแล้ว สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนแดนนรกดีๆ นี่เอง
เชลยที่ถูกคุมขังตลอดชีวิตนั้น มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นคือ ‘ความตาย’ แต่ถ้าได้มาต่อสู้ในสนามประลองแห่งนี้แล้ว หลังจากการต่อสู้ต่างต้องมีคนหรือสัตว์อสูรปีศาจที่ตายลงไปสักฝ่าย
“เหล่าศิษย์ทหารของสำนักเทียนอี้ของพวกเรา ในทุกๆ ปีต่างต้องมีคนตายอยู่ที่นี่ และจำนวนศพก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” เวิ่นอ้าวเสวี่ยมองไปยังกรงเหล็กและกล่าวว่า “คนที่มีความกล้าหาญถึงจะกล้าก้าวไปข้างใน ซึ่งจะถือว่าเป็นักรบอย่างแท้จริง และที่แห่งนี้เป็สนามรบที่เหี้ยมโหดอย่างยิ่ง”