“ซูอี้เฉิง...”
ลั่วเสี่ยวซีพูดชื่อคนตรงหน้าออกมาได้อย่างยากลำบาก เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในชั่วพริบตาความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในสมองไม่หยุดยั้ง
เธอจะลากซูอี้เฉิงออกไปตอนนี้เลยดีไหม?
หรือจะส่งสัญญาณบอกให้ฉินเว่ยอย่าออกมาจากห้องน้ำ?
หรือจะบอกความจริงกับซูอี้เฉิงไปตามตรง แล้วค่อยอธิบายว่าเธอกับฉินเว่ยไม่ได้มีอะไรกัน?
“เมื่อคืนเธอไปไหนมา” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามเสียงเย็น
ความคิดของลั่วเสี่ยวซีถูกขัดจังหวะ เธออ้ำอึ้งอยู่นานก่อนตอบ
“ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน...”
“เพื่อนคนไหน?” ซูอี้เฉิงไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆอยู่แล้ว เขาถามไล่บี้เธอต่อ
“ก็...พวกเหอไห่ไง แล้วก็พวกเพื่อนๆ ฉันนั่นแหละ” ลั่วเสี่ยวซีเชิดหน้าขึ้นก่อนเอ่ย “นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมล่ะ”
ซูอี้เฉิงมองลั่วเสี่ยวซีด้วยสายตาเย็นอ่านยาก เธอกำลังร้อนตัว เขามองออก เพราะเธอไม่ยอมบอกเขาเื่ฉินเว่ย
“เสี่ยวซี ฉันคงสวมเสื้อตัวเมื่อคืนไม่ได้แล้วล่ะ” ทันใดนั้นเสียงของฉินเว่ยก็ดังออกมาจากในห้องน้ำ “เธอจะช่วย...เฮ้ ลั่วเสี่ยวซี หายไปไหนล่ะเนี่ย ได้ยินแล้วตอบฉันที!”
ซูอี้เฉิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย สมองของลั่วเสี่ยวซีขาวโพลนไปชั่วขณะ แต่เธอนึกหาทางเอาตัวรอดไม่ออก ในหัวมีแต่คำว่า จบกัน!
ซูอี้เฉิงหัวเราะเสียงเย็น “เธอไม่ยอมบอกว่าฉินเว่ยช่วยจัดงานฉลองให้เธอสักทีสินะ ที่ไม่กล้าบอกฉันว่าฉินเว่ยก็อยู่ด้วย คงเพราะเมื่อคืนเขามาค้างที่นี่ใช่ไหม?”
“นายรู้?” ความใเริ่มหายไป ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างมีสติ “ซูอี้เฉิง ฉันกับฉินเว่ยไม่ได้มีอะไรกัน เมื่อคืนเขามาส่งฉัน เพราะง่วงมากเขาเลยหลับอยู่ที่โซฟา เมื่อเช้าฉันก็เพิ่งรู้เนี่ย เพราะเมื่อคืนฉันเมา...ที่เมื่อกี้ไม่กล้าบอกนายเื่ฉินเว่ยจัดงานปาร์ตี้ให้เพราะฉันกลัวนายโมโห อีกอย่างฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะจัดงานให้ฉันแบบนี้”
เธอเพิ่งเคยอธิบายแจกแจงรายละเอียดกับคนอื่นขนาดนี้เป็ครั้งแรก ทว่ารอยยิ้มของซูอี้เฉิงกลับดูเ็ายิ่งกว่าเดิม
“แล้วทีนายล่ะ” ลั่วเสี่ยวซีเริ่มไม่ไหวจะทน “เมื่อวานฉันเข้าวงการเป็วันแรก ถ่ายแบบมาทั้งวัน นายไม่ได้ทำอะไรเพื่อฉัน แล้วยังจะมาห้ามไม่ให้ฉันไปฉลองกับคนอื่นอีกเนี่ยนะ? ขนาดคนที่เจอหน้ากันครั้งแรกเขายังแสดงความยินดีกับฉันเลย แต่นายไม่แม้แต่จะโทรมาหา”
ไม่แม้แต่จะโทรไป? เมื่อวานที่เขาโทรหาเธอเป็สิบๆ สายเขาโทรหาอากาศอย่างนั้นเหรอ?
ซูอี้เฉิงผลักลั่วเสี่ยวซีไปอีกทางก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง เขาเปิดมือถือของเธอดู ไม่มีบันทึกการโทรเข้าของเขาจริงๆ ด้วย
เขาหันไปถามลั่วเสี่ยวซีด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“เมื่อวานเธอบอกรปภ.เอาไว้ว่าถ้าไม่มีบัตรเชิญใครก็ห้ามเข้า?”
ลั่วเสี่ยวซีงงเป็ไก่ตาแตก “บัตรเชิญอะไร? นายไปที่ผับเหรอ?”
คนจัดงานคือฉินเว่ย ถ้าไม่ใช่นางเอกของงานอย่างลั่วเสี่ยวซีบอกรปภ.ไว้ คนที่จะทำได้ก็เหลือแต่เขาเท่านั้น เมื่อลองปะติดปะต่อเื่ราวทั้งหมด ซูอี้เฉิงเดาได้ทันทีว่าบันทึกการโทรที่ว่างเปล่าก็คงเป็ฝีมือของฉินเว่ยเช่นกัน
เขาไม่ตอบลั่วเสี่ยวซี แต่เดินตรงเข้าไปด้านใน
ลั่วเสี่ยวซีไม่เคยเห็นซูอี้เฉิงทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน เขามักจะห่วงภาพลักษณ์เป็สุภาพบุรุษตลอดเวลา แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาในยามนี้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าทุกที
“ซูอี้เฉิง!” ลั่วเสี่ยวซีเดินตามเขาไปติดๆ เธอเรียกอย่างไรเขาก็ไม่หยุด จึงจับมือเขาไว้
“พวกเราออกไปกันเถอะ”
ตอนนั้นเองฉินเว่ยก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นซูอี้เฉิงเขาดูไม่แปลกใจสักนิด
“อ้าว มีแขกเหรอ”
ลั่วเสี่ยวซีเห็นท่าไม่ดี ซูอี้เฉิงสะบัดมือเธอออก ก่อนจะต่อยหน้าฉินเว่ยไปหนึ่งหมัด
นี่ก็เป็อีกเื่ที่ฉินเว่ยไม่ได้คาดการณ์ไว้ เขารู้จักซูอี้เฉิงดี การที่เขาลงมือทำร้ายคนอื่นก่อนแบบนี้...คงจะโมโหแล้วจริงๆ
พื้นห้องน้ำลื่นมาก ฉินเว่ยเองก็ไม่ทันตั้งตัว เขาเซไปชนอ่างอาบน้ำด้านหลังก่อนจะประคองตัวขึ้นมายืนได้ เขายกมือเช็ดเืที่มุมปาก
“ซูอี้เฉิง นายจะเอาใช่ไหม?”
ซูอี้เฉิงยิ้มเย้ย ั์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความเ็า
“ทำไม ไม่กล้า?”
คนที่มีแต่คนยกย่องมาโดยตลอดแบบฉินเว่ย ไม่เคยมีใครกล้าท้าทายเขาแบบนี้ แถมเขายังอยู่ในวัยคึกคะนองพอดี เื่แบบนี้ไม่ต้องใช้สมองคิดเขาก็ตัดสินใจได้ทันที
ฉินเว่ยกำหมัดพร้อมพุ่งตัวออกมาจากห้องน้ำราวกับหมาป่ากระหายเื ซูอี้เฉิงยืนนิ่งก่อนจะหลบการจู่โจมตรงหน้าและสวนกลับไปอีกหนึ่งหมัด
คราวนี้ฉินเว่ยเริ่มรู้ทาง เขาหลบทันก็จริง ทว่าซูอี้เฉิงจับมือเขาเอาไว้ เขาสะบัดมือออกเพื่อจะสวนกลับ ทั้งสองคนสู้กันจนชนเข้ากับประตู ผนัง ข้าวของรอบกาย การต่อสู้อย่างดุเดือดดำเนินไปสักพักกว่าลั่วเสี่ยวซีจะเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ใช่ว่าไม่มีผู้ชายทะเลาะกันเพราะเธอแบบนี้มาก่อน แต่เธอไม่นึกไม่ฝันว่าสองคนนี้จะบ้าบิ่นขนาดนี้ จนเธอชักเริ่มโมโห
“นี่ แจกันดอกไม้นั่นฉันซื้อมาจากอังกฤษเลยนะ! หยุดไง ฉันบอกให้หยุด!”
ว่ากันว่าสมัยโบราณ พวกผู้ชายมักต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงคู่ครอง และคนที่ได้รับการยกย่องชื่นชมอยู่เสมอก็คือผู้ชนะ เพราะฉะนั้นต่อให้ลั่วเสี่ยวซีะโห้ามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ซูอี้เฉิงตอนนี้มีเืออก ฉินเว่ยนั้นอาการหนักกว่า บรรยากาศระหว่างสองคนตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
“ซูอี้เฉิง!” ลั่วเสี่ยวซีร้องะโ “หยุดนะ!”
ซูอี้เฉิงหาได้สนใจไม่ ลั่วเสี่ยวซีกัดฟันกรอด เธอวิ่งเข้าไปกอดฉินเว่ยเอาไว้ ซูอี้เฉิงจึงลดหมัดลงก่อนแววตาจะแปรเปลี่ยนเป็เ็า
“ฉินเว่ย!” ลั่วเสี่ยวซีมองฉินเว่ยอย่างขอร้อง “ไปซะ ไม่งั้นนายจะเจ็บกว่านี้”
เธอรู้จักซูอี้เฉิงดียิ่งกว่าูเี่อันเสียอีกว่าการต่อสู้ระยะประชิดแบบนี้ ฉินเว่ยไม่ใช่คู่มือของเขา
ตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเย็นก็ดังขึ้นจากซูอี้เฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ดีมาก ลั่วเสี่ยวซี” พูดจบเขาก็เดินออกจากบ้านไป
คำอธิบายและคำพูดเหนี่ยวรั้งติดอยู่ที่ปาก แต่ท้ายที่สุดลั่วเสี่ยวซีกลับพูดไม่ออก เธอปล่อยมือจากฉินเว่ย ความคิดในสมองสับสนวุ่นวาย เธอไม่เข้าใจและคิดไม่ตก จึงได้แต่พูดกับฉินเว่ยว่า
“นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ฉินเว่ยเห็นดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร เขาเตรียมตัวกลับ และเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเขาก็ได้ยินเสียงลั่วเสี่ยวซีเรียกชื่อเขา
“เมื่อวานซูอี้เฉิงไปที่ผับ นายรู้เื่หรือเปล่า”
“...” ฉินเว่ยไม่ตอบ
ลั่วเสี่ยวซีพอเดาคำตอบได้ มิน่าเมื่อกี้ซูอี้เฉิงถึงโกรธจัดจนลงไม้ลงมือกับฉินเว่ย เธอถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉินเว่ย ทำไมนายต้องทำแบบนั้น”
“เขาเข้าไปในงานก็มีแต่จะทำให้เสียบรรยากาศ” ฉินเว่ยอธิบาย “เมื่อวานเป็วันสำคัญของเธอ ฉันอยากให้เธอสนุกเต็มที่”
“ถ้าฉันสนุกจะดื่มจนเมางั้นเหรอ” ลั่วเสี่ยวซีอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เอ่ยย้ำออกมาสามคำ
“กลับไปเถอะ”
สำหรับเธอแล้ว ความสุขไม่ได้เกิดจากคำยินดีของคนแปลกหน้า แต่เกิดขึ้นจากคนที่เธออยากจะแบ่งปันความสุขให้ ถ้าเธอเชื่อฟังคำพูดของซูอี้เฉิง ไม่ไปมาหาสู่กับฉินเว่ยมากเกินไป เื่ของพวกเธอก็คงไปกันได้ดี แต่สุดท้ายเธอกลับทำมันพังจนได้
ลั่วเสี่ยวซีกดมือถือโทรหาซูอี้เฉิง เสียงสัญญาณดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนจะมีเสียงตอบรับอัตโนมัติดังขึ้น
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
ซูอี้เฉิงตัดสายเธอทิ้ง
“คนใจแคบ” ลั่วเสี่ยวซีจิ้มชื่อของซูอี้เฉิงบนหน้าจออย่างไม่พอใจ ก่อนจะโยนมือถือทิ้งไปอีกทางพลางคิดว่า คงต้องรอให้เขาใจเย็นลงก่อนแล้วเธอค่อยไปหาเขาจะดีกว่า
่บ่าย ลั่วเสี่ยวซีคิดว่าคงได้เวลาแล้วจึงขับรถไปที่เครือเฉิงอัน เธอเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเขา และได้รับแจ้งว่าเขาไปสนามบินแล้ว
“สนามบิน?” ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างแปลกใจ “เขาไปสนามบินทำไมกัน?”
“ผอ.ซูไม่ได้บอกคุณเหรอคะ” เลขาเอด้ากล่าว “ผอ.ไปญี่ปุ่นค่ะ คงสักสี่ห้าวัน ที่จริงเขาต้องไปั้แ่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ แต่เห็นบอกว่าตอนเย็นมีธุระ เมื่อวานตอนเช้าเลยสั่งให้เลื่อนตารางเดินทาง”
เขาตั้งใจเคลียร์ตารางของเมื่อคืน? ลั่วเสี่ยวซีพอจะเดาจุดประสงค์ของซูอี้เฉิงได้ แต่...เธอไม่อยากจะเชื่อ
“เมื่อคืนเขามีธุระอะไรคะ” เธอถามเพิ่ม
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เลขาตอบ “แต่ผอ.ซูให้ดิฉันช่วยจองโต๊ะที่เมิ่งเยี๋ยลี่ไว้ แต่เหมือนจะยกเลิกไปนะคะ”
คราวนี้ลั่วเสี่ยวซีมั่นใจแล้วว่า ซูอี้เฉิงตั้งใจจะฉลองกับเธอจริงๆ
ต้องโทษตัวเธอเองแท้ๆ
คราวนี้จะเอาไงดี? เขาไปญี่ปุ่นแล้ว หรือเธอควรจะบินตามเขาไป? ให้ตายสิ ปกติต้องเป็พระเอกบินตามนางเอกไม่ใช่เหรอถึงจะซึ้งน่ะ?
แต่สุดท้ายเมื่อรู้ว่าไฟล์ทของเขาขึ้นบินแล้ว เธอจึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น
รอซูอี้เฉิงกลับมา แล้วเธอค่อยขอโทษเขาดีๆ แล้วกัน
ขากลับลั่วเสี่ยวซีโทรหาไปหาูเี่อัน
“คืนนี้พอมีเวลาไหม”
“มีสิ” ูเี่อันตอบ “ลู่เป๋าเหยียนบอกว่าคืนนี้ต้องไปกินเลี้ยง เขาบอกให้ฉันกลับไปก่อน”
“อย่าเพิ่งกลับเลย เลิกงานแล้วไปเจอกันที่เมิ่งเยี๋ยลี่ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”
“ได้ งั้นไว้เจอกัน”
หลังเลิกงานูเี่อันจึงบอกให้อาเฉียนขับรถไปส่งเธอที่ร้านอาหาร ลั่วเสี่ยวซีสั่งอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอวางกระเป๋าลงก่อนเอ่ย “มีข่าวดีอะไรจะบอกฉันงั้นเหรอ? ZuiShiShang จะเซ็นสัญญากับเธอ?”
“เื่นั้นน่ะยังหรอก” ลั่วเสี่ยวซีเท้าคางพลางทำท่าทางลึกลับ เธอเล่าเื่ที่เกิดขึ้นตลอดสองวันที่ผ่านมาทั้งหมดใหู้เี่อันฟัง
ูเี่อันร้สึกเซอร์ไพรส์จนอดอุทานออกมาไม่ได้
“พี่ฉันนื่ทำอะไรไวไปจริงๆ แล้วเธอจะเอาไงต่อ ตามไปญี่ปุ่น?”
ลั่วเสี่ยวซีซดน้ำซุปไปหนึ่งคำก่อนตอบ
“ฉันก็อยากไปแต่คงไปไม่ได้น่ะสิ พรุ่งนี้ต้องไปเทรนที่บริษัทอีก”
“เธอไปเถอะ” ูเี่อันเสนอ “เดี๋ยวฉันช่วยพูดกับลู่เป๋าเหยียนให้”
“ว้าวๆๆ” ลั่วเสี่ยวซียิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้าเป็เมื่อก่อน เธอคงไม่ขอให้ลู่เป๋าเหยียนช่วยง่ายๆ แบบนี้แน่ บอกความจริงมานะ นี่เธอกับลู่เป๋าเหยียนไปถึงไหนกันแล้ว?”
ูเี่อันหั่นเนื้อสเต๊กในจาน “พวกเรายังแยกกันนอนอยู่เลย จะถึงไหนกันล่ะ”
ลั่วเสี่ยวซีทำหน้าผิดหวัง “ตอนที่เธอไปซื้อชุดนอนคราวนั้นทำท่าอย่างกับจะออกไปสนามรบ เธอยังไม่ได้ใส่มันอีกเหรอ?”
“จะใส่ไปทำไมล่ะ? เอาไว้ดูเองหรือไง” ูเี่อันวางมีดส้อมในมือก่อนทำหน้าเซ็ง “่นี้พวกเราไปทำงานด้วยกัน เลิกงานกลับบ้านพร้อมกัน ไปเยี่ยมแม่เขาทุกสุดสัปดาห์ ดูเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าอะไรดี บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเขาเป็ห่วงเป็ใยฉัน แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเขาทำไปเพียงเพราะหน้าที่ ไม่ก็เพราะแม่เขาขอให้เขาทำดีกับฉัน”
“คนแบบลู่เป๋าเหยียน ถ้าเขา้าทำหน้าที่สามีที่ดีทั้งที่ไม่ได้จริงใจกับเธอ เขาคงให้เงินเธอใช้ทุกเดือนจนพอใจมากกว่า ไม่จำเป็ต้องทำเื่พวกนี้ด้วยตัวเองสักนิด” ลั่วเสี่ยวซีคิดก่อนจะพูดเสริม “ฉันว่านะ ลู่เป๋าเหยียนคงจริงใจกับเธอจริงๆ แหละ เธอ...ลองรุกเข้าหาเขาดูไหม?”
ูเี่อันมองเพื่อนของตนอย่างไม่พอใจ “ทำไมเธอพูดเหมือนพี่ฉันเปี๊ยบเลย”
“เขาเรียกว่าใจตรงกันจ้ะ” ลั่วเสี่ยวซีตอบ
มองรอยยิ้มของเพื่อนตรงหน้าแล้วเธออดดีใจไม่ได้ หลังผ่านเื่อะไรมามากมาย ในที่สุดลั่วเสี่ยวซีกับพี่ชายของเธอก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนเธอกับลู่เป๋าเหยียนน่ะเหรอ...
เฮ้อ เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด
