ชายวัยกลางคนก็คือ สวี่เจิ้ง เ้าบ้านตระกูลสวี่แห่งหมู่บ้านหลี่ สวี่เจิ้งมาถึงเมืองเยี่ยนช้ากว่าสองพี่น้องบ้านหลี่ เขาเพิ่งมาที่นี่ไม่ถึงเดือนก็เห็นสถานที่ก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุด้วยตาตนเองแล้ว ในใจจึงรู้สึกหวาดกลัวมาก
“ได้ ข้าจะพาน้องรองของข้าไปให้ท่านหมอตรวจเสียหน่อย” หลี่ซานอยากให้ท่านหมอตรวจดูก่อนจึงจะวางใจได้ ดังนั้นจึงพาหลี่สือเดินตรงไปที่กำแพง
หลี่สือรีบสวมหมวกนิรภัยไว้บนศีรษะเหมือนเดิม ทั้งยังบอกสวี่เจิ้งด้วยว่า เมื่อครู่ก้อนหินกระแทกถูกหมวกนิรภัย
“หรูอี้บ้านเ้าฉลาดจริงๆ รู้จักใช้หวายแก่มาสานเป็หมวกนิรภัยให้พวกเ้าพี่น้องด้วย” สวี่เจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา
หลี่ซานมีท่าทีภาคภูมิใจ ถามว่า “ไม่มีใครถูกกระแทกจนาเ็ใช่หรือไม่”
สวี่เจิ้งมีสีหน้าหวาดกลัว พูดชื่อคนออกมาสองคน จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “จางเอ้อร์ซานกับจวงซื่อชุนได้รับาเ็สาหัส…”
จางเอ้อร์ซานคือ สามีของหวังฮวา บุตรชายคนที่สองของเฒ่าจางกับนางตินที่เป็เพื่อนบ้านหลี่ซาน
จางเอ้อร์ซานอายุยี่สิบแปดแล้ว มีบุตรธิดากับหวังฮวารวมสามคน ตอนนี้ในท้องของหวังฮวาก็กำลังตั้งท้องเด็กอยู่อีกหนึ่งคน
จวงซื่อชุน เป็คนหมู่บ้านจวงที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านหลี่ ปีนี้อายุสามสิบห้า ในบ้านมีทั้งเด็กทั้งคนชรา มีภาระความรับผิดชอบค่อนข้างหนัก
หลี่ซานมีสีหน้าเคร่งขรึมลง
หลี่สือไม่รู้จักความกังวล เมื่อเจอคนก็ชี้ไปที่หมวกนิรภัยของตนพูดว่า “ก้อนหินกระเด็นถูกหมวกนิรภัยของข้า หัวข้าไม่มีเืไหลออกมา ไม่เจ็บด้วย”
หากเป็ยามปกติทุกคนคงหัวเราะเยาะหลี่สือไปนานแล้ว แต่วันนี้กลับหัวเราะไม่ออก
ครึ่งวันต่อมา ผู้คุมงานร่างอ้วนก็พาตัวหลี่ซานและหลี่สือที่กำลังย้ายก้อนหินไปพบเ้าหน้าที่บริเวณประตูเมืองเยี่ยน
จ่างสื่อ[1]เป็หัวหน้าฝ่ายดูแลความปลอดภัย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[2]ในห้องหนังสือด้วยใบหน้าดำคล้ำ ผู้คุมงานร่างอ้วนหดคอ พูดเสียงอ่อยว่า “ใต้เท้าจ่างสื่อ สองคนนี้คือสองพี่น้องบ้านหลี่ สิ่งที่พวกเขาสวมอยู่บนหัวก็คือ หมวกนิรภัย ขอรับ”
จ่างสื่อเป็ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี ร่างกายผอมบาง มีลักษณะน่าเกรงขาม เขาพูดอย่างเนิบช้าว่า “นำหมวกนิรภัยของพวกเขามาให้ข้าดูสิ”
มือทั้งสองของหลี่สือจับหมวกนิรภัยไว้แน่น พูดว่า “นี่เป็ของที่หลานสาวข้ามอบให้ ท่านดูแล้วต้องคืนให้ข้าด้วย”
ผู้คุมงานร่างอ้วนใ รีบพูดว่า “เ้าโง่ ใต้เท้า้าหมวกนิรภัยของเ้า เช่นนั้นแสดงว่าเห็นความสำคัญของเ้าแล้ว รีบถอดหมวกนิรภัยให้ใต้เท้าเร็ว”
ทางด้านหลี่ซานใช้สองมือปลดหมวกนิรภัยบนศีรษะของตน เดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าจ่างสื่อ แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้า น้องชายของข้าสมองไม่ดี ท่านอย่าตำหนิเขาเลย”
“ไม่เป็ไร” สายตาของจ่างสื่อมองไปยังหมวกนิรภัย ใช้มือทั้งสองประคองขึ้นมาดูอย่างละเอียด ครู่ต่อมาจึงพูดว่า “ลูกสาวเ้าฉลาดมากไหวพริบดีจริงๆ สามารถทำสิ่งของที่ธรรมดาให้กลายเป็ของดีได้ นำหวายเหนียวๆ มาสานเป็หมวกนิรภัยไว้ปกป้องศีรษะได้ด้วย”
หลี่ซานอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ขอบคุณใต้เท้าที่กล่าวชมขอรับ”
ในที่สุดผู้คุมงานร่างอ้วนก็ปลดหมวกนิรภัยจากบนศีรษะของหลี่สือออกมาได้ เขานำไปวางไว้เบื้องหน้าจ่างสื่อ รวบรวมความกล้าชี้ไปยังจุดหนึ่งบนหมวกนิรภัย และพูดเบาๆ ว่า “ใต้เท้า ก้อนหินกระเด็นมาถูกจุดนี้ขอรับ ท่านดู ตรงนี้ยุบลงไปเล็กน้อย”
จ่างสื่อโบกมือให้ผู้คุมงานร่างอ้วนถอยไปยืนด้านข้าง จากนั้นจึงกวักมือเรียกหลี่สือเข้ามาถามว่า “เ้าพูดให้ข้าฟังหน่อย วันนี้มีหินกระเด็นถูกศีรษะเ้ากี่ก้อน”
หลี่สือตอบ “ก้อนเดียว”
“ใหญ่ขนาดไหน”
หลี่สือวาดมือบอกขนาด แต่กลัวจ่างสื่อจะไม่เชื่อ จึงรีบพูดขึ้นว่า “จริงๆ ข้าไม่โกหกท่าน”
จ่างสื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เ้ามีหลานสาวที่ดีจริงๆ ทำหมวกนิรภัยให้เ้าเช่นนี้นับว่าช่วยเ้าไว้ครั้งหนึ่ง นางเป็ผู้มีพระคุณในชีวิตเ้าแล้ว”
หลี่สือพลันมีสีหน้าเบิกบาน “หรูอี้ดีกับข้ามากจริงๆ สอนข้านับเลขแล้วยังให้ยาข้าอีกด้วย”
“ลูกสาวของเ้าทำหมวกนิรภัยให้เ้าเช่นนี้ กตัญญูต่อเ้าจริงๆ ข้าคิดจะบอกผู้ตรวจการเื่ของนาง และให้เขาเผยแพร่เื่หมวกนิรภัยออกไป” จ่างสื่อเห็นหลี่ซานคุกเข่าขอบคุณ จึงถามว่า “ตอนนี้นางอยู่ที่บ้านเ้าหรือว่าออกเรือนแล้ว”
หลี่ซานรีบตอบ “ใต้เท้า ปีนี้ลูกสาวข้าอายุเก้าขวบ ยังไม่ได้หมั้นหมายเลยขอรับ”
“เก้าขวบ?” จ่างสื่อเห็นหลี่ซานพยักหน้าอย่างหนักแน่น หลี่สือที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าอย่างแรงราวกับไก่จิก ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยชมเชยไปว่า “อายุยังน้อยแต่ฉลาดเฉลียวจริงๆ”
หลี่ซานเดินออกจากที่ทำการสำหรับเ้าหน้าที่ด้วยท่าทางมึนงง หมวกนิรภัยที่บุตรีสุดที่รักทำให้ แลกเงินมาได้หนึ่งตำลึงเงิน ตอนนี้อยู่ในสาบเสื้อ
ผู้คุมงานร่างอ้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉา “เ้ามีลูกสาวที่ดี นับเป็บุญที่สั่งสมมาชั่วชีวิตแล้ว”
หมวกนิรภัยของหลี่สือยังคงสวมอยู่บนศีรษะ จ่างสื่อเก็บไว้เพียงหมวกของหลี่ซาน ไม่ได้เอาของหลี่สือไปด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างผอมสูงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่สือถือโอกาสตอนเข้าห้องน้ำเดินเข้ามาถามไถ่ “พี่น้องหลี่ ใต้เท้าเรียกพวกเ้าไปหาผู้ตรวจการทำไม”
หลี่ซานกำลังจะตอบ ทว่าสวี่เจิ้งเดินมาด้วยสีหน้าโศกเศร้าเสียก่อน กล่าวเสียงขรึมว่า “จางเอ้อร์ซานไม่มีลมหายใจแล้ว ฝ่ายราชการให้ข้านำศพเขากลับหมู่บ้าน”
หัวใจของหลี่ซานเต้นตึกตัก ไม่ทันไรชีวิตของคนคนหนึ่งก็จากไปเสียแล้ว บุตรธิดาทั้งสามคนของจางเอ้อร์ซานยังไม่ได้แต่งงาน ในท้องของหวังฮวาก็มีเด็กที่ยังไม่ได้ออกมาดูโลกอีกคนหนึ่ง วันเวลาหลังจากนี้คงจะยากลำบากมาก…
หลี่สือถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ไม่มีลมหายใจคือตายหรือ”
“ใช่”
สวี่เจิ้งมองหน้าหลี่สือ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “โชคดีที่หรูอี้ให้หมวกนิรภัยแก่เ้า มิฉะนั้นคราวนี้หลานสาวเ้าคงต้องเสียใจแล้ว”
หลี่สือยกมือขึ้นไปลูบหมวกนิรภัยบนศีรษะ “หรูอี้ดีกับข้าจริงๆ”
สวี่เจิ้งมองไปยังหลี่ซาน ถามว่า “ข้าจะไปแล้ว เ้ามีคำพูดอะไรฝากบอกภรรยาเ้าหรือไม่”
“มี” หลี่ซานกำชับไปหลายประโยค จากนั้นจึงนำเงินทั้งหมดออกมานับต่อหน้าแล้วส่งให้สวี่เจิ้ง “เ้าช่วยนำเงินค่าแรงของพวกข้าพี่น้องและเงินรางวัลของใต้เท้าจ่างสื่อกลับไปให้ภรรยาข้าที”
สวี่เจิ้งเบิกตากว้าง ถามว่า “เงินรางวัลของใต้เท้าจ่างสื่อหรือ”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าจ่างสื่อเอาหมวกนิรภัยที่หรูอี้ทำให้ข้าไปแล้ว และมอบเงินให้หนึ่งตำลึงเงิน” คำพูดของหลี่ซานเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจที่ไม่อาจปกปิด
หนึ่งตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งพันทองแดง เป็ค่าแรงที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งหาได้จากการสร้างกำแพงเดือนกว่า
ทุกคนรู้ดีว่าการสร้างกำแพงเมืองเป็งานที่ยากลำบากและมีอันตรายมาก เช่นวันนี้ที่จางเอ้อร์ซานประสบอุบัติเหตุจนตาย
สวี่เจิ้งมองหมวกหวายบนศีรษะของหลี่สือ งานฝีมือเช่นนี้มีค่าถึงหนึ่งตำลึงเงินเชียว นอกจากนี้ใต้เท้าจ่างสื่อยังมอบรางวัลให้ด้วยตนเองอีก คิดไม่ถึงจริงๆ
“สวี่เจิ้งหมู่บ้านหลี่ พวกข้ารอเ้าอยู่”
“เร็วๆ หน่อย อากาศร้อน เก็บศพไว้ได้ไม่นาน รีบนำศพไปส่งเถิด”
เ้าหน้าที่หลายคนะโเรียก พวกเขามีสีหน้าราวกับพบเจอโชคร้าย กำลังเข็นรถบรรจุศพสองคันอยู่ไม่ไกล
หลี่ซานมองไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “จวงซื่อชุนก็ตายหรือ”
สายตาของสวี่เจิ้งเต็มไปด้วยความหวาดผวา “จวงซื่อชุนไม่ตาย แต่ยังหมดสติอยู่ อีกศพหนึ่งคือ จ้าวหู่”
หลี่ซานถามอย่างแปลกใจ “จ้าวหู่ไม่ได้ถูกก้อนหินกระแทกหัว เหตุใดจึงตายได้เล่า?”
“ฮึ... จ้าวหู่ฆ่าตัวตายน่ะ เขาลื่นจนทำให้หินที่แบกอยู่บนหลังตกลงมา เศษก้อนหินกระเด็นถูกคนเจ็บคนตายไปหลายคน เ้าหน้าที่บอกว่า จะให้เขาชดใช้ให้คนเจ็บคนตายพวกนั้น ก่อนเ้าไปจวนผู้ตรวจการ จ้าวหู่ก็ใช้กางเกงแขวนคอตายในส้วมแล้ว” เมื่อสวี่เจิ้งพูดจบก็นำเงินที่หลี่ซานมอบให้เก็บไว้กับตัวแล้ววิ่งไปที่รถเข็นศพ
หลี่ซานมีสีหน้าหวาดกลัว มองตามสวี่เจิ้งจนลับตาไป ไหนเลยจะรู้ว่าสวี่เจิ้งเดินไปไกลแล้วจะหันกลับมาะโว่า “พี่น้องหลี่ ข้าคงไม่กลับมาทำงานแล้ว พวกเ้ารักษาตัวให้ดี!”
หลี่สือเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของหลี่ซานที่กำลังยืนนิ่งอยู่ กระซิบบอกว่า “พี่ใหญ่ พี่สวี่กลัวจนไม่กล้ากลับมาทำงานแล้ว”
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] จ่างสื่อ คือ ตำแหน่งขุนนางระดับสูงในสำนักเสนาบดี
[2] เก้าอี้ไท่ซือ เป็เก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่เท้าแขน นิยมใช้ในหมู่ขุนนาง