พี่ใหญ่สกุลติงกุมบังเหียนลาเทียมเกวียนที่อยู่ด้านหน้า ส่วนผู้าุโติงนั่งอยู่บนเกวียนพลางสูบยาสูบไปด้วย ควันสีขาวของยาสูบลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสูบทำให้อู๋ต้าเชิ่งที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลวิ่งมา เพียงไม่กี่ก้าวก็ะโขึ้นเกวียน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชาย ขอยาสูบให้ข้าสักมวนหนึ่งสิ”
ผู้าุโติงยิ้มออกมาซื่อๆ จากนั้นก็ปลดถุงยาสูบที่อยู่ที่เอวยื่นให้เขาไป
อู๋ต้าเชิ่งเหลือบมองกระเป๋าของผู้าุโติงที่ถูกตัดเย็บอย่างดีด้วยผ้าเนื้อหนาและยังปักชื่อของเขาไว้อีกด้วย อู๋ต้าเชิ่งจึงพูดชมว่า “นี่คงเป็ที่เด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์ทำให้อย่างนั้นสิ แค่ผ้าชิ้นนี้ชิ้นเดียวก็ซื้อยาเส้นได้ตั้งสิบจินแล้ว”
ดวงตาของผู้าุโติงฉายแววภาคภูมิใจ และเขาก็ตอบว่า “เด็กคนนั้นบอกว่ายาเส้นเหล่านี้เป็ของดีที่ส่งมาจากทางเหนือ นางไม่อยากทำให้ท่านพ่อน้อยใจ ดังนั้นจึงตัดเย็บกระเป๋าใบนี้และส่งมาให้พร้อมกัน”
อู๋ต้าเชิ่งใส่ยาเส้นเข้าไปจนเต็มหม้อยาสูบและจุดไฟ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ สูบเข้าไปอย่างมีความสุข แล้วก็ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า “เป็ยาสูบชั้นดีจริงๆ มีความเผ็ดเล็กน้อยแต่กลิ่นหอมมาก คงต้องพูดว่าพี่ชายเป็คนมีวาสนาดีจริงๆ ในครอบครัวยังมีติงเหว่ยอยู่ ปีที่ผ่านมากิจการค้าขายก็รุ่งเรืองเป็อย่างมาก ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไรในหมู่บ้านที่แอบอิจฉาอยู่กันแน่”
“เด็กคนนั้นเป็คนหัวรั้น ไม่ว่าจะเรียกให้กลับบ้านยังไงนางก็ไม่ยอมกลับ โชคดีที่ยังมีลูกชายอยู่ข้างกาย ข้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็ห่วงว่าพอนางแก่ไปจะไม่มีคนดูแล”
ผู้าุโติงรู้สึกสงสารลูกสาวของเขาจริงๆ และคำพูดเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็เื่จริง แววตาของอู๋ต้าเชิ่งเป็ประกายหลังได้ยินเช่นนี้ และเขาก็พูดออกมาอย่างสบายๆ ว่า “ทั้งต้าหวาและเอ้อร์หวาในครอบครัวของพี่ล้วนเป็คนดี ไม่มีวันที่พวกเขาจะปล่อยให้น้องสาวต้องลำบาก และตอนนี้พวกเขาต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบกันคนละอย่าง ถือว่าออกไปทำมาหากินด้วยตนเอง เมื่อต้นไม้เติบใหญ่แล้วก็ต้องแผ่กิ่งก้านสาขา [1] เป็คนเฒ่าคนแก่พอถึงเวลาก็ต้องรู้จักปล่อยมือ”
ผู้าุโติงได้ฟังแล้วก็รู้สึกตกตะลึง ไม่รู้ว่าอู๋ต้าเชิ่งไปเอาคำพูดเหล่านี้มาจากไหน ทว่าเขาก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก และจึงพูดเื่ทั่วไปอีกสองสามประโยคว่า “วันก่อนฮูหยินข้าเดินผ่านหน้าร้านก็ยังแวะเข้าไปซื้อซาลาเปามาสองลูก ทุกวันนี้กิจการยิ่งรุ่งเรืองมากขึ้นไปอีก คนในหมู่บ้านถึงแม้จะไม่หิวแต่ก็อยากเข้าไปนั่งสักหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ะโลงจากรถม้าและยืนอยู่ริมถนนเพื่อเรียกทุกคนในหมู่บ้าน “ทุกคนรีบๆ เร่งฝีเท้ากันหน่อย หากวันนี้เราเข้าเมืองช้าไป คืนนี้เราอาจกลับหมู่บ้านไม่ทัน”
ผู้าุโติงสูบยาสูบของเขาต่ออย่างเงียบๆ คิ้วของเขาขมวดอยู่ตลอดทางโดยไม่คลายออกเลย…
……
วันนี้ติงเหว่ยตื่นแต่เช้า ท้องฟ้าก็ดูแจ่มใสไม่เลว นางคาดว่าก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว นี่คงเป็วันที่อากาศจะอบอุ่นอีกเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จนางก็ไปขอลาหยุดกับท่านลุงอวิ๋น เพราะนางอยากจะอุ้มลูกกลับบ้านสักรอบหนึ่ง
นับั้แ่เริ่มการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแม่นางหลี่ว์เองก็กลับบ้านไป จนถึงวันนี้ก็ประมาณหนึ่งเดือนกว่าแล้ว เกรงว่าทุกวันนี้แม่นางหลี่ว์จะเอาแต่เป็ห่วงพวกนางสองแม่ลูกทั้งวัน อีกอย่างในใจของนางก็นึกถึงเื่นั้นอยู่ตลอด และในวันนี้นางก็มีเงินในกระเป๋าและมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงคิดว่าจะจัดการเื่นั้นได้สักที
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินก็เป็เื่ยากที่จะคัดค้านออกไป ่นี้ติงเหว่ยแทบจะคลุกอยู่กับการคิดหาวิธีปรุงอาหารด้วยสมุนไพร ทั้งยังช่วยกงจื้อิออกกำลังด้วยมือซ้าย ถึงขนาดที่ว่าทุกวันนางกับเฟิงจิ่วจะช่วยกันพยุงให้เขาเดินรอบห้องสองสามรอบ และทุกครั้งนางก็เหนื่อยจนเหงื่อไหลออกมาเต็มใบหน้า ซึ่งเรียกได้ว่าพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้วจริงๆ หากวันนี้นางขอลาหยุดหนึ่งวันก็เป็เื่ที่สมเหตุสมผลแล้ว
ทว่าเมื่อท่านลุงอวิ๋นนึกถึงว่าคุณชายน้อยตัวกลมๆ จะถูกอุ้มออกไปจากจวน เขาก็รู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ อากาศก็ยังหนาวถึงเพียงนี้ แล้วถ้าคนในหมู่บ้านพบเข้าพวกเขาจะมองคุณชายน้อยอย่างดูถูกหรือเปล่า? แล้วยังมีพวกสุนัขจรจัดเ้าถิ่นที่วิ่งพล่านไปทั่วอีก หากพวกมันร้องออกมาแล้วทำให้คุณชายน้อยใจะทำอย่างไรเล่า?
บางทีิญญาของเทพเ้าบางองค์อาจออกลาดตระเวนอยู่แถวนี้พอดี เมื่อได้ยินเสียงความปรารถนาของผู้าุโอวิ๋น มือใหญ่ๆ โบกสะบัดเพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้บริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้มีลมหนาวพัดมา
เดิมทีติงเหว่ยก็เก็บของทุกอย่างไว้เรียบร้อยและอุ้มลูกชายของนางเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่พอนางเดินออกไปด้านนอกประตูก็ถูกลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าจนใ ลมพัดแรงขนาดนี้ั้แ่เมื่อไรกันหรือว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ?
อวิ๋นอิ่งกวาดตาไปมองท่านพ่อบุญธรรมของตนเอง เห็นเขากำลังทำท่าขยิบตาและเกาหัว นางดูแล้วก็รู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อย ทว่าปากของเขาก็พูดเกลี้ยกล่อมติงเหว่ยว่า “อันเกอเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ เขายังไม่สามารถทนทานต่อลมหนาวได้ หรือว่าเ้าจะปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่และให้พี่เฉิงดูแล แล้วเดี๋ยวข้าจะกลับบ้านไปเป็เพื่อนเ้าเอง”
“ข้าเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยและบ้านของข้าก็อยู่ไม่ไกลด้วย ดังนั้นไม่จำเป็ต้องให้ท่านไปด้วยก็ได้” ติงเหว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่อย่างไรนางก็ยังกลัวว่าหากลูกชายของนางโดนลมแล้วจะเป็หวัดเอาได้ อีกอย่างหมอในยุคสมัยนี้ก็ไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนยุคที่นางเคยอยู่ นางจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็หันตัวกลับไปแล้วเอาลูกชายที่ห่ออยู่ในผ้าส่งไปในอ้อมแขนของอวิ๋นอิ่ง “เ้าอยู่ที่นี่คอยช่วยพี่เฉิงดูแลอันเกอเอ๋อร์ แล้วข้าจะพยายามรีบไปรีบกลับ”
หลังจากพูดจบ นางก็ะโเรียกเสี่ยวชิงมากำชับอีกสองสามประโยคแล้วจึงกล่าวลากับท่านลุงอวิ๋น จากนั้นก็ถือตะกร้าที่เตรียมไว้เดินออกจากจวนสกุลอวิ๋นไป
……
เฉิงเหนียงจื่อเองก็เป็คนซื่อๆ นางรีบก้าวมาข้างหน้าและอุ้มอันเกอเอ๋อร์กลับไปที่ห้อง แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นอิ่งจะก้าวเข้ามาขวางและพูดว่า “ข้าจะอุ้มอันเกอเอ๋อร์ไปเดินเล่นสักหน่อย นานๆ ทีให้เขาได้สูดอากาศนอกห้องบ้าง เ้าเองก็พาต้าหวากับเอ้อร์หวากลับไปหาพ่อของพวกเขาดูบ้างสิ หากว่าอันเกอเอ๋อร์หิวแล้วข้าค่อยให้คนไปเรียกเ้ากลับมา”
“เอ๋ ทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ” เฉิงเหนียงจื่อยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่ท่านลุงอวิ๋นกลับเริ่มใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย เขาทำหน้าเ็าและสั่งว่า “ไปจัดการตามนั้นซะ”
หลังจากพูดจบ ผู้าุโก็พาอวิ๋นอิ่งออกมาจากเรือน ปล่อยให้เฉิงเหนียงจื่อเต็มไปด้วยความสับสน ไม่ใช่เกรงว่านายน้อยจะถูกลมจึงจะปล่อยให้อยู่ที่นี่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงถูกอุ้มไปที่เรือนอื่นอย่างนั้นล่ะ?
ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้หญิงที่ซื่อสัตย์และใจดีคนนี้จะสงสัยขนาดไหน แค่พูดว่าอวิ๋นอิ่งอุ้มอันเกอเอ๋อร์เข้าไปในเรือนหลัก ซานอีก็ะโโลดเต้นอย่างดีใจออกมา เฟิงจิ่วเองก็ะโออกมาจากมุมห้องและยืดคอออกไปมองเพราะเขาอยากจะเห็นใบหน้าของคุณชายน้อยเร็วกว่าใครๆ
ท่านลุงอวิ๋นคิดจะตำหนิเขาสักสองสามประโยค แต่คิดไปคิดมาเขากลับไปยืนบังเพื่อป้องกันลมหนาว จากนั้นก็ให้อวิ๋นอิ่งแกะผ้าห่มออก และเผยให้เห็นใบหน้าเล็กที่ขาวๆ อ้วนๆ ของอันเกอเอ๋อร์
บางทีอันเกอเอ๋อร์อาจสืบทอดนิสัยจากแม่ของเขา เขาไม่มีท่าทางอย่างครอบครัวขาวบ้านเล็กๆ ทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจู่ๆ เบื้องหน้าของอันเกอเอ๋อร์จะมีใบหน้าของคนแปลกหน้าหลายคน เขาไม่เพียงแต่ไม่ร้องไห้งอแงทั้งยังจ้องพวกเขากลับทีละคนด้วยดวงตากลมโตสีดำขลับอย่างพิจารณา จากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมา
เฟิงจิ่วเป็น้องคนสุดท้องในกลุ่มเฟิงจือ และเขาก็ไม่เคยสูญเสียความเป็เด็กไป แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นว่าเ้านายตัวน้อยของเขาน่ารักขนาดไหนก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแหย่อันเกอเอ๋อร์เล่นสองครั้ง จากนั้นเขาก็ได้ยินท่านลุงอวิ๋นกระแอมจึงดึงมือกลับไปด้วยความเศร้าใจ เขาก้มลงไปคำนับหนึ่งครั้งจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
ซานอีเบียดตัวไปข้างหน้าแล้วะโว่า “ขอให้ข้าอุ้มเร็วเข้า ขอให้ข้าได้อุ้มบ้างสิ!”
ทว่าท่านลุงอวิ๋นกลับผลักเขาไปอยู่ด้านข้าง เขายื่นปากไปทางด้านในห้องแล้วก็ตำหนิว่า “นายน้อยกำลังรออยู่ เดี๋ยวเ้าค่อยกอดทีหลังก็ยังไม่สาย”
ขณะที่เขาพูดอยู่ ผู้าุโก็คอยกันให้อวิ๋นอิ่งเข้าไปในห้องและปล่อยให้ซานอีะโอยู่ด้านนอก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะประท้วงอะไร ทำได้เพียงรีบตามเข้าไปในห้องเช่นกัน
……
กงจื้อิถือหนังสือในมือข้างหนึ่งและอีกข้างก็ถือถ้วยชาราวกับว่าเขากำลังพักผ่อนอย่างสบายๆ แต่น่าเสียดายที่ตัวอักษรที่กลับหัวอยู่ในหนังสือเล่มนั้นกลับทรยศต่อหัวใจของเขา
ท่านลุงอวิ๋นดูแล้วรู้สึกทั้งขบขันและเ็ปในคราเดียวกัน เขาโค้งคำนับแล้วพูดว่า “นายท่าน แม่นางติงกลับไปบ้านมารดาของนางแล้ว หากปล่อยนายน้อยเอาไว้ก็ไม่มีใครดูแล บ่าวเห็นว่าที่เรือนเล็กอาจจะหนาวไปสักหน่อย จึงให้อวิ๋นอิ่งอุ้มคุณชายน้อยมานั่งเล่นที่เรือนของพวกเราสักพักหนึ่ง”
“อืม” กงจื้อิตอบออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นอิ่ง สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิดสามส่วนและกำลังสับสนอีกเจ็ดส่วน
ท่านลุงอวิ๋นรีบดึงแขนเสื้อของอวิ๋นอิ่ง “เ้าอุ้มมาตั้งนานแล้ว เมื่อยแขนแล้วใช่หรือไม่? รีบส่งให้นายน้อยอุ้มสักพักจะได้เปลี่ยนมือกันบ้าง!”
อวิ๋นอิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอาอันเกอเอ๋อร์ไปวางไว้ในอ้อมแขนของกงจื้อิซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูก
กงจื้อิเกร็งแขนขึ้น และก้มลงมองเด็กน้อยในห่อผ้า เขาไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าหากเขาใช้แรงแม้เพียงนิดเดียวก็อาจทำร้ายชีวิตน้อยๆ นี้เอาได้
อันเกอเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มผืนเล็ก และจู่ๆ ก็ได้มาที่ห้องใหม่จึงขยับดุกดิกไปมาอย่างตื่นเต้น เขาบิดตัวและหมุนตัวไปมา จู่ๆ แขนของเขาก็ออกมาจากห่อผ้า เด็กน้อยดีใจจนขยำมือของเขาไปมา ปากก็พ่นฟองนมออกมาสองครั้งติดต่อกัน เพื่อประกาศให้ทุกคนเห็นถึงความสำเร็จของเขา
กงจื้อิมองดูอย่างสนใจ ในขณะที่เขาก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวก็ถูกเ้าเด็กตัวอ้วนจับเข้าที่ใบหน้า พ่อลูกทั้งสองคนได้สบตากันเป็ครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนมกันขนาดนี้ คนหนึ่งเป็ชายหนุ่มผู้ห้าวหาญสูงเจ็ดฟุต อีกคนหนึ่งเป็เด็กน้อยที่อายุไม่ถึงร้อยวัน ทว่ากลับมีดวงตาสีดำขลับเหมือนกัน คิ้วคล้ายกันอยู่ห้าส่วน และนี่คงเป็พลังแห่งสายเืซึ่งในยามนี้ก็ได้แสดงถึงการมีอยู่ของมันออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ท่านลุงอวิ๋นเห็นก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตาและคุกเข่าลง เขาขอบคุณ์ที่ช่วยคุ้มครองปกปักษ์รักษาให้สกุลกงจื้อมีทายาทสืบทอดต่อไป
อวิ๋นอิ่งและซานอีก็คุกเข่าลงด้านหลังของผู้าุโ ในฐานะที่ถูกสกุลกงจื้อเลี้ยงดูมาั้แ่เล็กจนเป็องครักษ์เงาผู้ซื่อสัตย์จนวันตาย ยังจะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการที่สกุลกงจื้อมีทายาทสืบทอดต่อไป
อันเกอเอ๋อร์จับอยู่ที่ใบหน้าของพ่อเขาและเล่นกับมันเป็เวลานาน และบางทีเขาอาจเหนื่อยล้านิดหน่อยจึงหาวและหลับลงไปอีกครั้ง โดยที่้ไม่รู้เลยว่าดวงตาพ่อของเขาที่ได้รับสมญานามจากความกลัวของชาวเถียเหล่ยว่าเป็นักฆ่าผู้เืเย็นกำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทั้งสองข้างและยกตัวเขาขึ้นเหนือศีรษะอย่างทรงเกียรติ
“กงจื้อซิน นายน้อยรุ่นที่เจ็ดปกครองสกุลกงจื้อ”
ท่านลุงอวิ๋น อวิ๋นอิ่ง ซานอี และเฟิงจิ่วที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงคำนับพร้อมกับะโเสียงดังว่า “ขอให้์คุ้มครองสกุลกงจื้อ! ขอให้์คุ้มครองนายน้อย!”
อันเกอเอ๋อร์ถูกรบกวนจากความฝันอันแสนหวาน เขาโมโหและกำมือเล็กๆ ของเขาขึ้นมาขยี้ตาด้วยความรำคาญ ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม เขาจะได้รับเงินทองมากมายราวกับูเา องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์จนวันตายนับไม่ถ้วน และยังมีแผ่นดินอันกว้างใหญ่…
……
ในยามนี้ติงเหว่ยกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงของบ้านสกุลติงโดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกชายของนางได้คืนสู่สกุลแล้ว แม่นางหลี่ว์จับมือของลูกสาวและสำรวจว่าลูกสาวอ้วนขึ้นหรือผอมลงพลางตำหนิว่า “ทำไมเ้าไม่อุ้มอันเกอเอ๋อร์กลับมาด้วย ข้าไม่ได้เจอเด็กคนนี้ตั้งเดือนกว่าแล้วนะ และข้าก็ไม่รู้ว่าเ้าดูแลเขาดีหรือไม่ดี? หากว่าเ้าทำให้หลานชายของข้าผอมลงล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!”
ผู้าุโติงก็ผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นลูกสาวยิ้มอย่างขมขื่นจึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ “เอาเถอะฮูหยิน เ้าหยุดจู้จี้จุกจิกได้แล้ว วันนี้ลมแรงจะตายไป ลูกสาวของเราไม่ได้อุ้มอันเกอเอ๋อร์กลับมาก็ดีแล้ว หากว่าเขาต้องลมอาจไม่สบายเอาได้”
แม่นางหลี่ว์หันศีรษะไปมองนอกประตูดูใบไม้แห้งที่ถูกลมเหนือพัดปลิวว่อนเต็มลานบ้าน นางยอมรับเหตุผลนี้อย่างไม่เต็มใจ แต่นางก็ยังกำชับว่า “ครั้งหน้าที่กลับมา จะต้องพาอันเกอเอ๋อร์มาด้วย หากว่าไม่ได้จริงๆ เ้าให้คนส่งข่าวมาแล้วเดี๋ยวแม่จะไปรับ”
“ตกลง” ติงเหว่ยขอเพียงให้ท่านแม่หยุด “คำสาปจิ๋นกู่[2]” และแน่นอนว่านางจะยอมทำตามทุกอย่าง
ผู้าุโติงหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากตะกร้าและก้มศีรษะลงเพื่อดมกลิ่น จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยาเส้นครั้งที่แล้วข้ายังสูบไม่หมดเลย แล้วเหตุใดเ้าถึงส่งกลับมาอีกถุงล่ะ”
“เมื่อวันก่อน จวนสกุลอวิ๋นมีกลุ่มพ่อค้าจากทางเหนือกลับมาและนำยาเส้นมาด้วยมากมาย ข้าจึงขอให้ผู้ดูแลหลินช่วยแบ่งมาให้ข้าครึ่งจิน หากท่านพ่ออยากได้มากกว่านี้ก็หาไม่ได้แล้ว และหากว่าท่านยังสูบไม่หมดก็เอาไปแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านก็ได้” ติงเหว่ยพูดๆ อยู่ ก็หัวเราะคิกคักและหยิบขนมสองจินออกมาจากตะกร้าแล้วส่งให้ท่านแม่ “นี่คือขนมจากทางทิศใต้ ทั้งนุ่มและหอมหวาน ข้ากินแล้วรู้สึกว่ารสชาติใช้ได้ ท่านแม่ก็ลองชิมสักหน่อยสิ”
-----------------------------------------
[1] ต้นไม้เติบใหญ่แล้วก็ต้องแผ่กิ่งก้านสาขา 树大分枝 ใช้อุปมาว่า เมื่อพี่น้องโตขึ้นก็จะแยกย้ายกันไปมีครอบครัว
[2] คำสาปจิ๋นกู่ 紧箍咒 หมายถึง คำสาปที่ใช้ผูกมัด ซึ่งปรากฏขึ้นครั้งแรกในวรรณกรรมจีนเื่ไซอิ๋ว เป็คาถาที่พระถังซัมจั๋งใช้ปราบพยศซุนหงอคงโดยใช้มงคลรัดเกล้าที่ประทานจากพระโพธิสัตว์กวนอิมบวกกับบทสวดมนต์ ทำให้รัดเกล้าที่อยู่บนศีรษะของซุนหงอคงจะหดตัวลง ต่อมาใช้อุปมาถึงการผูกมัดคนอื่น