เวลาที่โหยวเสี่ยวโม่หลอมยาสมาธิดีมาก เขาสามารถจดจ่อโดยไม่รับรู้ถึงคนรอบกายได้
หลิงเซียวเดินตีนแมว ทว่าเฉพาะตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ เพราะในสายตาคนนอก เขาคือหลินเซียว ไม่ใช่หลิงเซียว แต่ตอนที่เห็นโหยวเสี่ยวโม่เปลี่ยนโต๊ะชาเป็แท่นหินใช้หลอมยานั้น ปากพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นมือข้างหนึ่งร่ายม่านจำลองมิติ
แม้เขาจะไม่ใช่นักหลอมยา แต่ก็รู้ว่าเวลาหลอมยานั้น กลิ่นสมุนไพรจะโชยกลิ่นหอมออกมา โดยเฉพาะหญ้าเซียนคุณภาพสูง เมื่อเป็เม็ดยา กลิ่นจะยิ่งแรงขึ้น อีกอย่างที่นี่คือสายกลางที่มีแต่ยอดฝีมือ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็จะโดนจับได้ทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตื่นจากการเข้าฌานได้ทันท่วงที เขาคงลำบาก
เมื่อเห็นโหยวเสี่ยวโม่ไม่ทันสังเกตเห็นตน หลิงเซียวเดินไปดูหญ้าเซียนบนโต๊ะชา ล้วนเป็หญ้าเซียนประสิทธิภาพสูงราวสามสิบต้น นึกไปถึงทุ่งหญ้าเซียนในห้วงมิติ หญ้าเซียนที่ถูกเลี้ยงด้วยน้ำพลังปราณนั้นไม่ธรรมดาเสียด้วย
หลิงเซียวลากเก้าอี้มานั่งหน้าโหยวเสี่ยวโม่ นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นท่าทางการหลอมยาของโหยวเสี่ยวโม่
จ้องหน้าขาวนวลที่มีเืฝาดของเขา หลิงเซียวพลางนึกถึงครั้งแรกที่เจอกับเขา
โหยวเสี่ยวโม่ในตอนนั้น ไม่ได้นิ่งสงบเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเหมือนตอนนี้ ที่จริงคือหลบหน้าเขาั้แ่เห็นแวบแรกด้วยซ้ำ ใช่ เขาหลบเลี่ยงแต่ไม่ใช่หวาดกลัว ทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่ ไม่ใช่เพียงเพราะเขากับหลินเซียวเป็ศิษย์ร่วมสำนักที่ไม่รู้จักกัน
เขาเคยชินกับการอยู่เหนือทุกคน เคยชินกับการที่ทุกคน…ผวาเขา ดังนั้นเมื่อเจอโหยวเสี่ยวโม่ที่อยากเลี่ยงเขา ทำให้หลิงเซียวรู้สึกสนใจมาก ดังนั้นตอนนั้นจึงขู่ให้เขามอบิญญามาครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่านั่นเป็แค่การขู่ ิญญาสมบูรณ์มีเพียงหนึ่ง ถ้ามอบครึ่งหนึ่งให้เท่ากับจบชีวิตแน่นอน
ต่อจากนั้น ยิ่งรู้จักก็ยิ่งอยากแกล้งเขา ท่าทีโกรธเคืองแต่ไม่กล้าพูดทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเป็กอง นานวันเข้ายิ่งรู้สึกเคยชินจนเป็เื่ปกติ
ถ้าโหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าหลิงเซียวคิดเช่นนี้มาตลอด ไม่แน่คงขว้างเตาหลอมไปเลยก็ได้
แต่ตอนนี้เขากำลังเข้าสู่กระบวนสุดท้าย สมาธิต้องแน่วแน่ ดังนั้นจึงไม่มีทางสังเกตเห็นหลิงเซียวที่นั่งจ้องเขาอยู่
สิบห้านาทีผ่านไป ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็หลอมยาเซียนตันเม็ดแรกเสร็จ กลิ่นหอมสดใหม่คลุ้งไปทั้งห้อง รอบนี้ใช้เวลาเร็วขึ้นหนึ่งในสาม ความเร็วไวขึ้น ถ้าฝึกฝนไปสักระยะ คงทำเวลาได้ดีเหมือนตอนหลอมยาคุณภาพต่ำ
ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เมื่อโหยวเสี่ยวโม่เงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งกับหน้าใหญ่นั้น “ทะๆๆ ท่านตื่นแล้วเหรอ?”
หลิงเซียวมองเม็ดยาในมือเขาครู่หนึ่ง
โหยวเสี่ยวโม่เห็นสายตาเขาพลันนึกได้ว่ายานี่ตั้งใจให้เขาอยู่แล้ว ขณะที่ยื่นให้ กลับเห็นหลิงเซียวขมวดคิ้วมองไปทางหน้าต่าง พอมองตาม…ก็ไม่เห็นอะไร
“ศิษย์พี่หลิง ด้านนอกมีอะไรหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างสงสัย
“มีคนอยู่ด้านนอก” หลิงเซียวตอบเรียบๆ
“หา?” เม็ดยาในมือโหยวเสี่ยวโม่เกือบหล่นด้วยความใจึงรีบใช้มืออีกข้างคว้าไว้ พูดอย่างตื่นเต้น “มีๆๆ มีคนงั้นเหรอ? จะมีคนได้ไง คนนั้นเขาจะจับได้รึเปล่าว่าข้ากำลังหลอมยา? ถ้าถูกจับได้ละก็ ข้าต้องรีบหนีใช่มั้ย? แต่ข้าไม่รู้ทางนี่นา จะหนีไปไหนดี?”
โหยวเสี่ยวโม่พอตื่นเต้น จะพูดมากเป็ต่อยหอย
หลิงเซียวที่ท่าทางขึงขังพลันตลกไปกับท่าทีลนลานของเขา คนนี้ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้!
“มีข้าอยู่ทั้งคน เ้ากังวลทำไม ห้องนี้ถูกร่ายม่านจำลองมิติ สมมติว่าเ้าสำนักเทียนซินมาเอง ก็ไม่ดูออกได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังของเ้าหนูตัวข้างนอกนั้นก็ไม่เท่าไหร่ ถึงจะเกาะกำแพงแอบฟัง ก็คงนึกว่าพวกเรากำลังหลับกันอยู่”
“ม่านจำลองมิติ? ั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมข้าถึงไม่รู้?” โหยวเสี่ยวโม่สงบลง แต่ก็ยังสงสัยอยู่
“ตอนที่เ้าหลอมยาอยู่” หลิงเซียวถลึงตาใส่เขา
โหยวเสี่ยวโม่ขานรับ ถึงว่าเขาจึงไม่รู้ ตอนนั้นจุดสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่เตาหลอม ไม่ทันสังเกตก็ไม่แปลก “งั้นคนข้างนอกคือใคร ทำไมต้องแอบดูเราด้วย?”
หลิงเซียวมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิด “คนนั้นคือผู้าุโเจียงพิธีกรวันนี้ ปีที่ผ่านๆ มา เขาก็เป็พิธีกร แต่ไม่ได้มีอะไรเป็พิเศษ ผู้าุโเจียงเป็คนถ่อมตน ความสัมพันธ์กับผู้าุโท่านอื่นก็นับว่าดี ก่อนหน้าวันนี้ก็ไม่มีอะไรแปลก”
“ถ้างั้นตอนนี้ต้องทำไง” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย ที่แท้ก็ผู้าุโเจียง โชคดีที่ไม่โดนจับได้
“จะทำยังไงได้ ก็ต้องคอยดูเงียบๆ ต่อไป หรือว่า ถ้าเ้าชอบข้าจะไปจัดการฆ่าเขาเสีย จะได้ไม่เป็ปัญหาในภายภาคหน้า?” หลิงเซียวจ้องเขาสีหน้าหยอกล้อพร้อมเลียริมฝีปากล่าง เหมือนว่าถ้าโหยวเสี่ยวโม่พยักหน้า เขาก็จะรีบไปจัดการ
ทันใดโหยวเสี่ยวโม่มีเหงื่อซึมหยดออกมา “ข้าจะชอบฆ่าคนได้ยังไง ท่านอย่าเข้าใจผิด ผู้าุโเจียงเป็ถึงคนใหญ่คนโตในสำนัก เป็ไปได้ ใช่ เป็ไปได้ว่าเขาแค่เดินผ่าน แล้วบังเอิญพบม่านจำลองมิติของท่านเข้า”
“ตื่นเต้นทำไม ข้าไม่ได้พูดว่าจะฆ่าเขาจริงๆ ซะหน่อย ที่นี่คือสำนักเทียนซิน ถ้าฆ่าเขา เราจะลำบากมาก” หลิงเซียวเห็นท่าทีเป็กังวลของเขา จนะเิหัวเราะ
โหยวเสี่ยวโม่ไม่สนใจที่เขาเยาะเย้ย โล่งอกไปที แค่กลัวว่าเขาหมายความตามนั้นจริง เมื่อวางใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในมือยังมียาเม็ดนั้นอยู่จึงรีบยื่นให้เขาอย่างดีใจ “ศิษย์พี่หลิง ท่านดูยาเม็ดนี้สิเป็ยาเซียนตันคุณภาพสูงที่ข้าหลอมออกมา”
หลิงเซียวสังเกตเห็นแต่แรก เมื่อเห็นเขายื่นมาก็ยื่นมือไปหยิบ ทั้งมองทั้งดม กลิ่นนี่ช่างเยี่ยมยอด หอมกว่ายาคุณภาพต่ำพวกนั้นเยอะเลย ไม่รอช้ารีบโยนเข้าปาก
โหยวเสี่ยวโม่ที่เห็นภาพนี้เมื่อใด ก็รู้สึกปวดใจ ปู้ยี่ปู้ยำกันเกินไปแล้ว!
เขาไม่เคยพบเจอคนแบบนี้มาก่อน กินยาเซียนตันราวกับกินลูกอม แถมไม่สนใจว่าชนิดไหน หรือเขาไม่กลัวว่ากินเยอะเกินไปจะทำให้พลังปราณในร่างะเิ ชีพจรรวนหรืออย่างไรกัน? แม้เขาจะไม่ฉลาดแต่ก็ต้องรู้ว่ากินเยอะไปไม่ดี
เมื่อกินยาหมด หลิงเซียวมองโหยวเสี่ยวโม่ยังไม่อิ่มหนำ ยาเซียนตันที่อร่อยขนาดนี้เขาอยากกินให้จุใจไปเลย
โหยวเสี่ยวโม่เห็นท่าทีเขาก็รู้ว่าเขายัง้าอีก นึกได้ว่าในถุงเก็บของยังมียาทดแทนความหิวของเมื่อวาน จึงหยิบออกมา “ยาขวดนี้คือยาทดแทนความหิว มีสิบเม็ด ข้าหลอมเมื่อวาน ท่านเอาไปกินก่อน”
นึกไม่ถึง หลิงเซียวแค่จ้องขวดยาในมือเขาแล้วเอ่ย “เ้าไม่มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องหลอมยาทดแทนความหิว”
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวเอ่ย “เตาหลอมที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้มีรอยร้าวตรงก้น ข้ากลัวว่ามันจะแตกออก เลยตั้งใจจะซื้ออันใหม่ที่ดีกว่า แต่ข้ายังเก็บเงินไม่ครบ เลยจะเอายาพวกนี้ไปประมูลขาย ถึงตอนนั้นคงได้ราคาดี สิบเม็ดนี้ข้าแค่ซ้อมมือน่ะ ถ้าท่านอยากกินก็เอาไปก่อนก็ได้ ไว้ข้าค่อยหลอมใหม่”
หลิงเซียวจ้องเขาสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วเบะปาก ทำหน้าดูถูกแล้วเอ่ย “ไม่ละ เ้าเอาให้ข้าพรุ่งนี้ก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าจะเอายาเซียนตันซ้อมมือมาไล่ข้าเชียว”
โหยวเสี่ยวโม่เหลอหลา ไล่งั้นเหรอ ถึงแม้จะเป็การซ้อมมือ แต่นี่ยาเซียนตันคุณภาพสูง อีกอย่างแต่ก่อนก็ไม่เคยยินเขาบ่นยาเซียนตันพวกนี้มาก่อน พวกนั้นล้วนเป็ยาคุณภาพต่ำ ทั้งตอนนั้นยังเป็แค่นักหลอมยาเริ่มต้น คุณภาพไม่ต้องพูดถึง ฝีมือยังอ่อนหัดสุดๆ ไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!
แต่ไหนๆ เขาบอกไม่เอาแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ไม่มีทางยัดเยียดให้เขา ดีเสียอีกจะได้เก็บไว้เอง
คิดแล้วได้ดังนั้น โหยวเสี่ยวโม่ก็เก็บขวดยาใส่ถุงเก็บของตามเดิม จากนั้นหลอมยาเม็ดที่สองต่อ
เพราะว่ามีม่านจำลองมิติของหลิงเซียวอยู่ ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงหลอมอย่างเบาใจ จากนั้นก็เพิกเฉยการมีอยู่ของหลิงเซียว เหมือนไม่มีคนอยู่ และลงมือหลอมยา
เมื่อหลิงเซียวเห็นว่าเขาเริ่มไม่สนใจตน ก็หาได้มีท่าทีโกรธเคือง แต่กลับไปนั่งที่ ใช้สายตาที่ซับซ้อนกว่าเดิมจ้องมองเขา เพราะคำพูดที่ได้ยินจากโหยวเสี่ยวโม่เมื่อครู่ทำให้เขาไม่สบายใจ เป็อาการที่เรียกว่า อดสงสารไม่ได้
รู้กันอยู่ว่าคนอย่างเขาโเี้ทารุณยิ่งกว่าปีศาจ
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่นี่เป็ครั้งแรกหลิงเซียวก็ไม่ได้รังเกียจอาการ ‘อดสงสารไม่ได้’ แบบนี้ ดูท่าว่าหลังจากที่อยู่กับโหยวเสี่ยวโม่ เขาเปลี่ยนไปมีเมตตามากขึ้น
หากว่าโหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ คงบ่นอุบอิบในใจ ช่างไม่ละอายใจ!
แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ั้แ่เริ่มต้นที่หลิงเซียวบดขยี้หลินเซียวคามือ โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน
ในจุดนี้ โหยวเสี่ยวโม่รู้ดีที่สุด