ผมไม่ได้เสียใจขนาดนั้นแล้ว
ตอนนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คงมีแต่ความผิดหวังเท่านั้น ตอนที่ถูกถามว่าผมชอบพี่อูนมากแค่ไหน ผมก็ตอบไม่ได้เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันคือความรู้สึกดี ๆ เวลาที่พี่อูนเขาเอาใจใส่ผมและเข้ามาช่วยเหลือผมอยู่เสมอ มันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมันก็กลายเป็ความชอบที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือความชอบแบบไหนและมากขนาดไหน
ั้แ่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว ผมไม่ได้เจอพี่อูนเลยเพราะเขาวุ่นวายอยู่กับการทำแล็บ ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเขา แต่กลายเป็ว่าผมต้องเจอพี่ปรงบ่อยขึ้น เรียกได้ว่าแทบจะทุกวัน เขาชอบนั่งทำงานอยู่ในห้องภาค และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ผมไปที่ห้องภาค ผมจะต้องเจอเขาทำอะไรสักอย่างอยู่ในนั้น ผมได้มีโอกาสคุยกับเขามากขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือผมมองเขาในแง่ร้ายน้อยลง ไว้ใจเขามากขึ้นเท่านั้นเอง
“่นี้ไม่ค่อยมาอยู่กับเพื่อนกับฝูงเลยนะ อยู่แต่กับพี่ปรง” ขนุนที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องภาคของผมเอ่ยทักขึ้น มันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังน้อยใจ
“กูก็มีงานต้องทำไหม”
ไม่ใช่ว่า่นี้ผมอยู่แต่กับพี่ปรงอย่างที่ขนุนมันพูดหรอกนะ แต่่นี้ผมทำงานทุกวัน ก็เลยไม่ค่อยได้ไปช่วยงานขนุนหรือนั่งเฝ้ามันทำงานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ่นี้เป็่ที่ทุกคนต่างยุ่งกันมาก ๆ ทำงานกันจนตัวเป็เกลียวเลย
“แล้วมึงได้ปลูกผักใหม่หรือยัง”
“ยังเลยว่ะ ว่าจะลองเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์เป็ยี่ห้ออื่นดู” ผมตอบกลับไปในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้านที่จะต้องส่งอาทิตย์หน้า แต่เพราะผมไม่อยากมีงานค้าง ก็เลยเอาเวลาว่างที่มีมานั่งทำการบ้านให้มันเสร็จ ๆ ไป
“ตอนบ่ายว่างไหม ไปดูการทำงานที่แปลงข้าวโพดเปล่า วันนี้เขาจะฉีดยาฆ่าแมลงกัน กูตื่นเต้นมากเลยว่ะ อยากเห็นพวกมันตายกันให้หมด” ขนุนพูดด้วยใบหน้าที่โเี้ ่นี้มันชอบมาบ่นเื่ที่มีแมลงมากินใบข้าวโพดมันจนแหว่งไปหลายต้น มันหัวร้อนจนไม่เป็อันทำอะไรเลย สุดท้ายมันก็จะได้ฉีดยาฆ่าแมลงสมใจ
“อยากไปนะ แต่เดี๋ยวกูต้องไปช่วยงานพี่ปรง”
“พี่ปรงอีกแล้ว”
“เขามาขอให้กูไปช่วยั้แ่เมื่อวาน กูก็ตอบตกลงไปแล้วด้วย” ผมตอบกลับไปตามตรง ่นี้ขนุนมันไม่ได้ชอบล้อผมเื่พี่ปรงเหมือนเมื่อวันก่อน ๆ แล้ว มันคงจะชินแล้วล่ะมั้งที่ผมกับพี่ปรงสนิทกันมากขึ้น นอกจากจะไม่ล้อแล้ว บางทีมันยังชอบจิกกัดพี่ปรงที่มาขอให้ผมไปช่วยงานบ่อย ๆ ทำให้ผมไม่มีเวลาไปช่วยงานมันบ้าง
“พี่ปรงนี่ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว มาแย่งมึงไปจากกูได้ยังไง!”
“ต่อให้ไม่มีพี่ปรงกูก็ไปไม่ได้อยู่ดี เดี๋ยวสารเคมีมันติดตัว” ภาคผมค่อนข้างซีเรียสเื่สารเคมีมาก ๆ เพราะฉะนั้นถ้าวันนั้นผมมีเหตุให้ต้องไปััสารเคมี ผมก็จะไม่สามารถเข้าไปในโซนแปลงผักของภาคได้เลย เพื่อป้องกันการเอาสารเคมีจากด้านนอกมาปนเปื้อนกับพืชของภาค ไม่งั้นที่ปลูกกันมาตลอดก็จะถือว่าสูญเปล่าทันที
“แล้ววันนี้มึงจะกลับพร้อมกูหรือเปล่า”
“มึงทำงานเสร็จกี่โมง”
“ไม่เกินบ่ายสอง”
“อีกครึ่งชั่วโมงก็บ่ายสองแล้วนะมึง” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็เวลาบ่ายครึ่ง ซึ่งผมยังต้องไปช่วยพี่ปรงทำงานในฟาร์มอีก กว่าจะเสร็จก็น่าจะตอนเย็น ๆ เลย
“มึงกลับก่อนเลยก็ได้ ไม่อยากให้มึงต้องมานั่งรอ”
“แล้วมึงจะกลับยังไง อย่าบอกนะว่าพี่ปรงจะไปส่งอีกแล้ว” ขนุนพูดพร้อมกับยิ้มล้อเลียนผม เพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่ามันคงไม่ล้อผมอีกแล้ว สุดท้ายมันก็อดไม่ได้สินะ พอเป็เื่พี่ปรงแล้วต้องยกขึ้นมาพูดล้อผมทุกทีเลย
“มึงพูดเหมือนเขาไปส่งกูทุกวันงั้นแหละ”
“แล้วมันไม่ใช่หรือไง มึงกับพี่ปรงตัวติดกันจะตาย”
ไม่รู้ว่าขนุนมันไปเห็นผมตัวติดกับพี่ปรงตอนไหน ทั้ง ๆ ที่เราแทบจะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเลย เราจะเจอกันแค่ในห้องภาคหรือตอนที่ผมไปช่วยเขาทำงานเท่านั้น ซึ่งมันก็ยอมรับว่าเราสองคนคุยกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ๆ อาจเป็เพราะผมกล้าพูดคุยเล่นกับเขามากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่ผมจะพูดได้เต็มปากว่าผมสนิทกับพี่ปรง แล้วอีกอย่างคือ่นี้ผมต้องเจอหน้าเขาเกือบทุกวัน เพราะเขาจะต้องช่วยผมปลูกผักส่งอาจารย์ด้วย
“คนมันต้องเจอกันทุกวันปะ ทำไมตอนกูเจอมึงทุกวันมึงไม่เห็นว่ากูตัวติดมึงบ้างล่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป ซึ่งขนุนมันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเหมือนกัน
วันนี้พี่ปรงนัดกับผมตอนบ่ายสองให้ลงไปช่วยงานที่ฟาร์ม ตอนนี้ตัวเขาน่าจะทำงานอยู่ในฟาร์มก่อนแล้วล่ะ เห็นว่าเขาจะให้ผมช่วยปลูกผักที่เขาจะต้องเอาไปใช้ในงานวิจัยของเขา แล้วมันก็ใช้วิธีการปลูกเดียวกันกับที่ผมจะต้องปลูกส่งอาจารย์ เขาเลยอยากให้ผมไปลองทำดูก่อนที่ผมจะเริ่มปลูกผักใหม่รอบที่หก จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดอีก
“่นี้พี่อูนเขาหายไปไหนวะ ทำไมกูไม่ค่อยเจอเขาเลย” ขนุนเอ่ยถามหลังจากที่มันเงียบไปนาน ไม่ใช่แค่ขนุนคนเดียวที่ไม่ได้เจอเขา ผมเองก็ไม่เห็นเขาเลยั้แ่วันนั้น แต่เขาก็คงวุ่น ๆ อยู่กับการทำวิจัยของเขานั่นแหละ
“ถามหาพี่ทำไมน้องขนุน จะให้พี่ไปช่วยงานเหรอ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป พี่อูนที่เหมือนแอบหลบซ่อนอยู่ในห้องนี้มานานแล้วก็เผยตัวออกมา เขาเดินมาพร้อมกับหอบตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักก่อนจะนำมันมาวางไว้บนโต๊ะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ ถึงจะไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวัน แต่เขาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เหมือนเดิมจนผมรู้สึกโมโหชะมัด
“พูดถึงก็มาพอดีเลยนะคะ” ขนุนหันไปพูดกับพี่อูน
“อยู่กันพอดีเลย เอาผักไปกินไหม พี่แบ่งไปทำวิจัยส่วนหนึ่ง แต่มันยังเหลือผักอีกเยอะมากเลย พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาผักไปยัดใส่มือใครดี” พี่อูนพูดพร้อมกับเลื่อนตะกร้าผักนั้นมาทางผมกับขนุน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ชอบกินผักเท่าไร ผมก็เลยเลื่อนตะกร้านั้นไปตรงหน้าขนุน เพราะมันชอบกินผักมาก ๆ โดยเฉพาะผักสลัด
“พี่ให้หมดนี่เลยเหรอ”
“ใช่ เอาไปได้เลย ผักที่พี่ปลูกรอบนี้อร่อยมากเลยนะ แถมไม่ได้ใส่สารเคมีด้วย ปลอดภัยต่อสุขภาพแน่นอน” พี่อูนพูดกับขนุนก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ซึ่งผมก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แล้วแกล้งทำเป็ก้มหน้าเขียนงานของตัวเอง
“ดีค่ะ หนูชอบของฟรี”
“แล้วน้องทานตะวันไม่แบ่งไปเหรอ รอบนี้พี่ปลูกผักไม่ขมเหมือนรอบที่แล้วแล้วนะ” พี่อูนพยายามที่จะหันมาพูดกับผม แต่ผมก็แค่ส่ายหน้าแทนคำตอบเท่านั้น ครั้งที่แล้วที่พี่อูนเขาปลูกผักสลัดแล้วเขาเอามาให้ผมชิม ครั้งนั้นผักเขาขมมากจนผมต้องไปแอบคายในห้องน้ำเลย ซึ่งผมก็เป็คนที่ไม่ค่อยกินผักอยู่แล้วด้วย
“มันไม่กินหรอกค่ะพี่อูน มันไม่ชอบกินผัก”
“ไม่ชอบกินผักเหรอ”
“ครับ”
“ไม่ชอบกินผักทำไมไม่บอก” พี่อูนเขาพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเหมือนว่าเขากำลังรู้สึกผิด อันที่จริงมันเป็เพราะผมอยากช่วยพี่เขามาก ๆ ก็เลยยอมชิมผักของเขาโดยที่ผมไม่ได้บอกเขาว่าผมไม่ชอบกินผัก
“กินได้ครับ แต่ก็ไม่ได้ชอบ”
“แล้วทำไมวันนั้นถึงยอมมาชิมผักให้พี่ล่ะ” พี่อูนเอ่ยถามออกมาเพียงเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของเขา ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้บรรยากาศระหว่างพี่อูนกับผมมันน่าอึดอัดมาก ๆ
ยิ่งเป็แบบนี้ก็ทำให้ผมยิ่งไม่ชอบตัวเองเข้าไปใหญ่ อยู่ดี ๆ ผมก็ไม่สามารถคุยกับพี่อูนได้เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เราก็เป็เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องที่หวังดีต่อกัน แต่พอเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา ผมก็ตีตัวออกห่างเขามาโดยที่พี่อูนเขาก็คงไม่รู้ว่าทำไมผมถึงกลายเป็แบบนี้ พี่อูนเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมเขาต้องมารับผิดชอบความรู้สึกผมแบบนี้ด้วยล่ะ
พอเห็นว่าผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป พี่อูนจึงเลือกที่จะไม่ถามต่อ และก็เป็จังหวะเดียวกับที่ผมจะต้องลงไปช่วยงานพี่ปรงในฟาร์ม ผมเลยขอตัวออกมาก่อน โดยทิ้งขนุนให้มันนั่งคุยอยู่กับพี่อูนในห้องภาคต่อไป
ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินลงมาจากตึกและเข้าไปในฟาร์มจุดที่พี่ปรงเขาทำงานอยู่ เห็นว่าเขามาทำงานั้แ่เช้ายังไม่ได้พัก เพราะงานจะต้องรีบทำให้เสร็จเพื่อให้ผักมันโตทันที่เขาจะส่งอาจารย์ เขาก็เลยขอให้ผมมาช่วยทำงานตอนที่ผมว่าง ๆ เผอิญว่าวันนี้ผมมีเรียนตอนเช้าพอดี พี่ปรงเขาเลยให้ผมลงมาที่ฟาร์มตอนบ่ายสองแทน ซึ่งเวลานี้ก็แดดร้อนมาก ๆ ด้วย
“นึกว่าจะไม่มาแล้ว” พี่ปรงที่เห็นผมเดินเข้ามาก็หันมาทักทันที ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงยังได้ผิวขาวมากทั้ง ๆ ที่เขาทำงานตากแดดทุกวัน เพราะเขาใส่เสื้อแขนยาวที่หนามาก ๆ รวมถึงขวดครีมกันแดดที่นอนกลิ้งอยู่ที่พื้นอีกด้วย ผมเดาว่าเขาก็คงดูแลตัวเองดีพอสมควรเลย เขาถึงได้มีผิวดีแบบนี้ ในขณะที่ผมนั้นก็เริ่มผิวคล้ำ ๆ ขึ้นมานิดนึงแล้ว
“เพิ่งทำการบ้านเสร็จ แล้วก็รีบลงมาเลยครับ” ผมตอบกลับเขาไปพร้อมกับเดินเข้าไปดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ วันนี้พี่ปรงต้องปลูกผักสลัดหลายร้อยต้นเพื่อนำไปทำวิจัยต่อ เขาปลูกเยอะกว่าที่ผมจะต้องปลูกหลายเท่าเลย
“ไม่เอาหมวกมาอีกแล้ว”
“ลืมครับ” ผมรีบตอบกลับไปเมื่อเห็นว่าพี่ปรงทำท่าจะบ่น เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะถอดหมวกของตัวเองมาวางบนหัวผมเหมือนที่เขาชอบทำ ผมรู้ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางเอาหมวกคืนไป ผมจึงรับไว้แต่โดยดี
“ช่วยพี่ทำแค่ตรงนี้ก็พอ เดี๋ยวที่เหลือพี่ทำเอง” พี่ปรงบอกก่อนจะส่งถุงพลาสติกที่ด้านในบรรจุเมล็ดพันธุ์มาให้ผม ก่อนจะดึงแขนผมให้เดินตามไปยังบริเวณหนึ่งที่มีกระถางวางเรียงรายกันอยู่เป็ร้อย ๆ กระถาง
“พี่จะให้ผมปลูกเหรอ” ผมเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งถ้าเขาจะให้ผมปลูกให้เขาจริง ๆ ผมก็คงต้องบอกเขาว่าผมไม่ทำ พี่ปรงก็น่าจะรู้ว่าผมปลูกอะไรก็ตายหมด ผมกลัวว่าจะเผลอทำงานของเขาพัง
“ก็ใช่ไง”
“ไม่เอาหรอก”
“แล้วเมื่อไรจะทำเองได้ล่ะ” พี่ปรงคว้าถุงเมล็ดพันธุ์ไปจากมือผมก่อนที่เขาจะเทมันใส่ฝ่ามือของตัวเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาใช้มืออีกข้างกดลงไปในกระถางจนดินตรงกลางมันเป็รูตามรอยกดของเขา หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับผมต่อ “กดลงไปประมาณสองข้อนิ้วก็ได้ แล้วก็หยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปประมาณสองสามเมล็ดพอ จากนั้นก็เอาดินมากลบปิดให้มันแน่น เดี๋ยวตอนรดน้ำดินมันจะยุบลงไปเอง แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรยาก”
พี่ปรงสาธิตวิธีการปลูกผักให้ผมดูได้แบบเข้าใจง่ายมาก ๆ และเท่าที่ผมจำได้ ตอนที่ผมปลูกของตัวเอง ผมก็ทำแบบที่พี่เขาทำเลยนะ แต่ทำไมของผมมันถึงไม่เคยขึ้นเลย ไม่ว่าผมจะพยายามปรับเปลี่ยนวิธีกี่รอบต่อกี่รอบ มันก็ไม่เคยสำเร็จเลย ในขณะที่พี่ปรงปลูกผักตั้งหลายร้อยต้น แล้วยังเจริญเติบโตสวยแทบจะทุกต้นอีก
“ทำไมตอนพี่ทำมันดูง่ายจัง” ผมตอบกลับไปก่อนจะเริ่มลงมือปลูกผักลงในกระถางตรงหน้าของตัวเอง ในขณะที่พี่ปรงก็เดินอ้อมกลับไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม และกำลังทำอะไรยางอย่างอยู่กับกระถางอีกเซ็ตหนึ่ง
“พี่เคยบอกแล้วว่าให้ลองไปหาสาเหตุมา มันไม่มีทางที่คนคนหนึ่งจะปลูกผักห้ารอบแล้วมันไม่ขึ้นสักต้น น้องไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือไง” พี่ปรงเอ่ยถามกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมด้วยสายตาที่เรียบเฉย ผมสังเกตเห็นว่าเขาต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเนื่องจากแสงแดดที่ส่องมาแยงตา แล้วหมวกของเขาก็ดันเสียสละมาให้ผมใส่อีก
“ผมอาจจะไม่เหมาะกับการเรียนคณะนี้จริง ๆ ก็ได้”
“ก็นึกว่าชอบต้นไม้ซะอีก”
“ชอบ แต่ชอบตอนที่มันโตแล้ว ชอบเวลาได้รดน้ำต้นไม้หรือใส่ปุ๋ยอะไรแบบนี้อะ พอต้องมาปลูกเองแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางของผมเลย” ผมบ่นอุบอิบพร้อมกับไล่ปลูกต้นไม้ไปเรื่อย ๆ พี่ปรงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามผมก็จะคอยยื่นมือมาช่วยตลอด
“ถ้าน้องชอบมันจริง ๆ น้องก็ต้องพยายามทำมันให้ได้”
“แต่บางทีความพยายามก็ไม่ได้ทำให้เราสมหวังสักหน่อยนะครับ” ผมตอบกลับไปก่อนจะแค่นหัวเราะออกมานิดหน่อย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผมชอบ มักจะทำให้ผมผิดหวังอยู่เสมอเลย ทั้งคนและต้นไม้
“ไม่มีใครสมหวังไปหมดซะทุกเื่หรอกนะ”
“พี่จะไปเข้าใจอะไร พี่ทำอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง ปลูกผักก็เก่ง เรียนก็ดี ได้เป็ลูกรักอาจารย์อีกต่างหาก หน้าตาก็ดีกว่าชาวบ้านชาวช่อง มีรุ่นน้องมาตามกรี๊ดตั้งเยอะ คนอย่างพี่คงไม่เคยผิดหวังหรอก” ผมตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้พร้อมกับเบ้ปากใส่จนคนตรงหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมอง ผมไม่ได้จิกกัดเขาหรอกนะ แต่ผมพูดไปด้วยความอิจฉาล้วน ๆ เลย
“รู้ได้ไงว่าพี่ไม่เคยผิดหวัง”
“แล้วอย่างพี่นี่จะผิดหวังเื่อะไร”
“คนที่พี่ชอบ เหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าพี่เท่าไร” พี่ปรงตอบกลับมาก่อนจะจ้องตาผมอยู่นานหลายนาที จนผมต้องเป็ฝ่ายหลบตาเขาไปก่อนเป็คนแรก หลังจากนั้นผมก็แกล้งกระแอมออกมาเบา ๆ
ั้แ่ที่รู้จักพี่ปรงมา นี่เป็ครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเื่ชอบ ๆ รัก ๆ จากเขา แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่ปรงมีคนที่ชอบด้วย ปกติก็เห็นเขาเอาแต่ทำงานอยู่ในห้องภาค หรือไม่ก็เดินไปทั่วฟาร์ม นึกว่าชีวิตนี้เขาจะสนใจแต่การปลูกต้นไม้แค่นั้น พอได้ยินว่าเขามีคนที่แอบชอบ ๆ อยู่แบบนี้ก็รู้สึกแปลกไปอีกแบบ แต่มันก็เหมือนผมได้รู้จักพี่ปรงมากขึ้น
“ก็พี่ไปปากหมาใส่เขาหรือเปล่า”
“คงใช่”
แสดงว่าเขาก็รู้ตัวสินะว่าตัวเองเป็คนปากหมา
“พี่อาจจะยังไม่ผิดหวังก็ได้นะ ลองเปลี่ยนมาทำดีกับเขาให้มากขึ้น บางทีเขาอาจจะเห็นความตั้งใจของพี่ก็ได้” ผมแนะนำกลับไปด้วยความหวังดีจากก้นบึ้งของใจเลย เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องมาผิดหวังเหมือนกับผม
“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอาของที่ห้องภาคก่อนนะ น้องก็ทำไปก่อนแล้วกัน” พี่ปรงมองหน้าผมอยู่นานจนกระทั่งที่เขาตอบกลับมา เขาเปลี่ยนเื่ไปคุยอย่างอื่นแทน ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเขาอาจจะเขินที่จะต้องมาพูดเื่นี้กับผม
“โอเคครับ”
“ไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ วันนี้แดดมันร้อนด้วย เดี๋ยวเป็ลมเป็แล้งขึ้นมาแล้วพี่จะเดือดร้อน” พี่ปรงพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากฟาร์มไปทันที คำพูดคำจาของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด
หลังจากนั้นผมก็ทำงานต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ เพราะผมอยากตั้งใจทำทุก ๆ ขั้นตอน ผมกลัวว่าถ้าผมทำงานเขาพังขึ้นมา พี่ปรงเขาจะต้องกลายเป็พญามารใส่ผมเหมือนเมื่อก่อนแน่ ๆ เพราะฉะนั้นผมก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด ในขณะที่อากาศตอนนี้ก็ร้อนจนเหมือนผมมีพระอาทิตย์เป็ของตัวเอง แม้จะมีหมวกที่พี่ปรงให้มาใส่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย
ผมทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ดูเวลาว่าตัวเองยืนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว วิธีการปลูกผักลงในกระถางมันจะต้องก้ม ๆ เงย ๆ เลยทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย แต่เพราะว่าผมทำใกล้จะเสร็จแล้ว ผมจึงตัดสินใจทำให้เสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว
ในจังหวะที่ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนไปหยอดเมล็ดพันธุ์ในกระถางต่อไป จู่ ๆ มันก็เหมือนกับว่าโลกมันกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าผมมันบิดเบี้ยวจนผมต้องหลับตาให้สนิทและพยายามตั้งสติ อาการเวียนหัวก็วนกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันหนักกว่าตอนแรกจนผมรู้สึกเหมือนจะยืนต่อไปไม่ไหว จนในท้ายที่สุด สติของผมก็หายไป
นั่นเป็สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้