ิเป่าจูตกตะลึงเล็กน้อย เคลื่อนถอยไปด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ จนเกือบจะล้มลงไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ไหวฺอวี้ก็หัวเราะเบาๆ ไม่แกล้งหยอกนางอีก ก้าวเดินขึ้นนำอย่างผ่อนคลาย
ิเป่าจูถลึงตาใส่แผ่นหลังคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วเดินตามไป
เมื่อถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นกลุ่มหญิงออกเรือนแล้วที่ว่างงานนั่งจับกลุ่มคุยซุบซิบนินทาเื่ของชาวบ้านอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แต่ไกลๆ พวกิเป่าจูสามคนคิดจะหลบเลี่ยงก็ไม่ทันแล้ว
ปกติก็ไม่เคยคุยกัน ความสัมพันธ์ไม่นับว่าดี ิเป่าจูจึงเดินผ่านพวกนางไปโดยไม่อินังขังขอบ
ได้ยินพวกนางกระซิบกระซาบไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่นางก็ไม่หยุดเดิน
“เพ้ย! ดูสิ ดูสิ คนถูกขับออกจากบ้านยังวางท่ายโสโอหัง อะไรกัน พ่อแม่ไม่สั่งสอนจริงๆ”
หนึ่งในนั้นเบ้ปาก หันไปถ่มน้ำลายใส่เงาหลังของิเป่าจูกับิเป่าอวี้
“บุตรสาวของผู้อื่นมีความสามารถ ั้แ่ออกมาจากบ้านของลุงยืนบนลำแข้งของตนเองได้ พาบุรุษเข้าบ้าน อย่าพูดไปเชียวนะ หน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น อย่าว่าแต่ในหมู่บ้าน ต่อให้ทั้งเมืองก็น่าจะไม่มีใครเทียบได้สักคน”
อีกคนหนึ่งถือเมล็ดแตงอยู่หนึ่งกำ ยัดใส่ปากไม่หยุด ที่พื้นข้างเท้าก็เต็มไปด้วยเปลือกเมล็ดแตง
“เอ๋ พวกเ้าดูสิ เหตุใดนางถือของมาเยอะแยะขนาดนั้น ไปเอาเงินมาจากไหน” จู่ๆ หญิงร่างท้วมด้านข้างคนหนึ่งก็ทักขึ้นมา
คนที่เหลือได้ยินถึงสังเกตเห็นว่ามือของทั้งสามหิ้วของพะรุงพะรัง แม้แต่กระบุงด้านหลังของิเป่าจูก็ยังมีของอยู่เต็ม
“ใครจะไปรู้เล่า ไม่แน่ว่าอาจทำเื่ต่ำช้าน่าละอายมาก็ได้” สตรีที่แทะเมล็ดแตงปากไม่ดี พูดแต่เื่สกปรกออกมา
“ไม่ได้ ข้าต้องรีบไปเล่าให้สะใภ้สกุลิฟัง อย่าปล่อยให้เด็กที่หยิบฉวยเงินทองตอนออกจากบ้านของนางลอยนวลไปได้”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีปัญญาหาเงินได้อย่างไร ต้องขโมยมาจากสกุลิอย่างแน่นอน
ั์ตาของหญิงร่างท้วมมีประกายวาบผ่าน ไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งไปบ้านของิเถี่ยจู้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หญิงชาวบ้านอีกสองคนมองเงาหลังของนางก็แค่นเสียงเยาะ
“นางช่างกระตือรือร้นเสียจริง ปกติไม่เห็นจะสนิทกับหวังซื่อเท่าไรเลย” หนึ่งในนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยการดูแคลน
“เ้ายังไม่รู้จักนางอีกหรือว่าลิ้นยาวเพียงใด ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เหมือนว่านางกับิเถี่ยจู้แอบมีอะไรกัน ขมีขมันเสียขนาดนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าไปทำอะไร”
สตรีที่แทะเมล็ดแตงทำสีหน้ามีลับลมคมใน หลังพูดจบทั้งสองก็ยิ้มมองหน้ากัน แล้วเริ่มคุยหัวข้อใหม่
หลี่ไหวฺอวี้กลับบ้านก่อน ิเป่าจูกับิเป่าอวี้นำแป้งกับข้าวสารชุดหนึ่งไปบ้านท่านป้าผู้นั้น
ท่านป้าปฏิเสธที่จะรับทุกวิถีทาง โดยกล่าวว่าใกล้จะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว แต่ิเป่าจูก็พยายามโน้มน้าวสุดกำลังเหมือนกัน ถึงเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมรับไว้ได้ ก่อนไปยังวางเต้าหู้ไว้ให้อีกก้อน
“เ้าว่าเด็กคนนี้ไปเอาเงินซื้อของมากมายมาจากไหน คงไม่ใช่...” ท่านลุงเอ่ยด้วยความพะวง
“อย่าพูดซี้ซั้ว เป่าจูไม่มีทางทำเื่พรรค์นั้น” ท่านป้าเข้าใจความหมายของสามี ที่เป็ห่วงว่าเด็กสาวจะไปทำเื่ประเภทขโมยไก่หยอกสุนัข [1]
หากไม่รู้จักกันมาก่อน ก็อาจได้รับผลกระทบจากข่าวลือจากภายนอกอยู่บ้าง ทว่าั้แ่ได้รับการช่วยชีวิตจากิเป่าจู นางก็รักชอบเด็กคนนี้ด้วยใจจริง
เชื่อว่าทุกสิ่งจากภายนอกล้วนเป็ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้
“เ้านี่นะ ไฉนพูดแค่นี้ก็เดือดเนื้อร้อนใจแล้ว เป่าจูเป็เด็กดี ข้าเองก็หวังว่านางจะได้ดี”
แม้จะรู้จักมักคุ้นกันได้ไม่นาน แต่เพียงไม่กี่วันนี้เขาก็พอจะรู้จักนางขึ้นมาบ้าง ด้วยอุปนิสัยของิเป่าจู ไม่มีทางทำเื่จำพวกลักเล็กขโมยน้อยเป็อันขาด
ทางเข้าบ้านสกุลิ
หญิงร่างท้วมลอบเกาะประตูชะเง้อคอมอง ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่พักหนึ่งก็ยืดตัวขึ้นมาแล้วเริ่มเคาะประตูเรียก
“สะใภ้สกุลิ สะใภ้สกุลิอยู่บ้านหรือไม่”
มีเสียงะโจากหน้าประตู หวังซื่อก็ลุกขึ้นมาจากเตียง
“มาแล้ว มาแล้ว”
หลังจากะโตอบเสียงดังกังวานก็ลอบก่นด่าสาปแช่งเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าใครกัน มารดาตายบิดาถูกฝังหรืออย่างไร ถึงมารบกวนการนอนกลางวันของผู้อื่นอยู่ได้ ิเถี่ยจู้ก็ไม่รู้ไปตายที่ไหน”
ั้แ่ได้รับาเ็ด้วยฝีมือของิเป่าจูคราก่อน หวังซื่อก็ไม่กล้าไปก่อเื่ที่บ้านเดิมอีกเลย
แต่พอกลับถึงบ้านก็ก่นด่าอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะกับิเถี่ยจู้ คำพูดแต่ละคำล้วนหยาบคายฟังไม่เข้าหูทั้งสิ้น
ิเถี่ยจู้รู้สึกเหมือนถูกิเป่าจูตบหน้า เด็กคนหนึ่งถึงกับกล้ารังแกผู้าุโ ทั้งยังลงไม้ลงมือ จึงพยายามหาหนทางที่จะลงโทษิเป่าจูให้ได้
แต่เขารำคาญหวังซื่อที่บ่นไม่จบไม่สิ้นมากกว่า ่กลางวันจึงจงใจไม่อยู่บ้าน และมักไปหาที่หลบเมื่อมีเวลาว่าง
ตอนนี้หวังซื่ออยู่บ้านคนเดียว เอาผ้าพันแผลมาพันคอเสียดูใหญ่โต แต่แท้จริงาแตกสะเก็ดเกือบจะหายดีอยู่แล้ว
การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเตือนิเถี่ยจู้ให้ตระหนักว่าตนเองถูกหลานสาวของเขาทำร้ายจนเกือบตาย
“อ้าว นั่นจินจือไม่ใช่หรือ ไยถึงมีเวลามาเยี่ยมถึงบ้านได้เล่า”
พอเดินมาถึงประตูสีหน้าของหวังซื่อก็มีรอยยิ้มประดับใบหน้าในทันที เปิดประตูลานบ้านมองไปที่ผู้มา
หญิงร่างท้วมชื่อว่าจ้าวจินจือ แต่งงานกับชายร่างผอมขี้โรคคนหนึ่ง ซึ่งตายไปเมื่อปีกลาย
หวังซื่อชังน้ำหน้านางเป็ที่สุด ตอนสามีนางยังอยู่ก็ชอบไปนั่งใต้ต้นไม้หน้าหมู่บ้านให้ท่าเหล่าบุรุษที่เดินเข้าออก
สามีตายแล้วก็ยิ่งไม่รู้จักสำรวม
ได้ยินว่าไปมีอะไรกับบุรุษหลายต่อหลายคน
“เฮ้อ ก็เพิ่งเสร็จจากงานท้องไร่ท้องนานี่แหละ นึกได้ว่าไม่ได้มาคุยกับสะใภ้สกุลินานแล้ว ก็เลยแวะมา คงมิได้รบกวนเ้ากระมัง” ระหว่างที่กล่าววาจา สายตาก็คอยชำเลืองเข้าไปในบ้านเป็พักๆ
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน รีบมานั่งพักก่อน”
ท่าทางมิได้สังเกตเห็นท่าทีเล็กน้อยของจ้าวจินจือ ใบหน้าของหวังซื่อยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับค่อนแคะในใจ
เพ้ย! ไปหลอกคนโง่เถอะ!
สตรีนางนี้กินเก่งแต่เกียจคร้านตัวเป็ขน เหตุผลที่แต่งงานกับชายผอมขี้โรคก็เพราะเห็นว่าบ้านของเขามีเงินเก็บมากหน่อย บอกว่าออกไปทำงานในทุ่งนา เชอะ มีแต่คนที่หัวถูกประตูหนีบเท่านั้นแหละถึงจะเชื่อนาง
ทั้งสองพูดคุยสะเปะสะปะหาสาระแก่นสารไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหวังซื่อกำลังจะหมดความอดทน ถึงได้ยินนางเอ่ยเข้าเื่ที่เป็ประเด็นสำคัญ
“เมื่อครู่ข้านั่งอยู่หน้าประตูหมู่บ้าน เ้าเดาซิ ว่าข้าพบกับผู้ใด” จ้าวจินจือทำท่ามีลับลมคมใน
“ใครกัน ไยต้องทำลีลาร่ำรี้ร่ำไร” นางนึกแล้วเชียว หากไม่มีกิจก็คงไม่มาอุโบสถ [2] วันนี้จะต้องมีเป้าหมายบางอย่างเป็แน่
หวังซื่อคิดอย่างชั่วร้ายในใจ ฮึ คงไม่ใช่ว่าผีของสามีขี้โรคที่ตายไปแล้วในยมโลกรู้ว่านางทำเื่สกปรกเ่าั้ไว้ ก็เลยจะกลับมาเอาชีวิตกระมัง
“จะมีใครได้ ก็ิเป่าจู หลานสาวสุดที่รักของเ้าผู้นั้นอย่างไรเล่า”
พอได้ยินเื่เกี่ยวข้องกับิเป่าจู หวังซื่อก็ตาสว่างหายง่วงในทันที แต่ปากก็ยังแสร้งทำเป็ไม่นำพา
“ข้าก็นึกว่าใคร เป่าจูเองหรือ ถึงแม้ว่านางจะไม่ชอบครอบครัวข้า แต่ถึงอย่างไรก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้ากลับเห็น [3] ไม่ใช่เื่แปลกอะไรเลย”
“ไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ สะใภ้สกุลิ เ้าไม่รู้อะไร ข้าเห็นนางหิ้วของพะรุงพะรังกลับบ้านมากมาย มือเดียวยังไม่พอถือ ขนาดหลานชายของเ้า กับบุรุษของนางช่วยอีกแรงก็ยังถือแทบไม่ไหว”
จ้าวจินจือจงใจพูดให้ดูเกินจริง
แท้จริงแล้วตอนนั้นทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันตั้งไกล นางรู้แต่ว่าหิ้วของมา แต่ไหนเลยจะเห็นชัดว่ามีอะไรบ้าง ที่พูดเช่นนี้เพราะ้ายั่วหวังซื่อให้กระอักเท่านั้น
หวังซื่อยังจับต้นชนปลายไม่ได้ จึงถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “บุรุษของนาง?”
“ใช่น่ะสิ ก็บุรุษที่นางไปพามาจากหลังเขาตอนที่ถูกพวกเ้าขับไล่ออกจากบ้านอย่างไรเล่า เ้าเป็คนบอกข้าเองมิใช่หรือ” คนผู้นี้ก็แปลกพิกล ตนเองพูดเองกลับจำไม่ได้
“อา... อ้อ เ้าหมายถึงเขานี่เอง เื่ขายหน้าแบบนี้ ข้าไม่อยากเอ่ยถึงอีก”
หลังจากหาข้อแก้ตัวได้ก็พูดส่งๆ แก้เก้อไป หวังซื่อเริ่มนั่งตัวตรงขึ้นมา รู้ว่าจ้าวจินจือต้องเสริมแต่งถ้อยคำให้ดูเกินจริงแน่ๆ แต่ข้อมูลน่าจะไม่ใช่เื่เท็จ
นางเด็กน้อยบ้านนอกคนหนึ่งจะไปเอาของมากมายมาจากไหน ถึงขนาดสามคนยังไม่แทบถือไม่ไหว หรือว่าจะใช้เงินซื้อมา?
เชิงอรรถ
[1] ขโมยไก่หยอกสุนัข ใช้เปรียบเปรยกับพฤติกรรมที่ผิดต่อคุณธรรมและจริยธรรม สิ่งที่น่าละอายใจ เช่นการลักเล็กขโมยน้อย ชายหญิงลักลอบมีความสัมพันธ์ เป็ต้น
[2] ไม่มีกิจไม่มาอุโบสถ หมายถึง หากไม่มีธุระก็จะไม่โผล่มา
[3] เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้ากลับเห็น หมายถึงมีโอกาสพบหน้าบ่อยครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้