ไป๋เฉินครรลองมองทั้งสองก่อนจะเอ่ยถาม "หลวนซิง อี้หลิว พวกเ้าคงจะทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตระกูลฉินแล้วใช่หรือไม่?"
หลวนซิงและหลิวอี้หลิวพยักหน้า
ไป๋เฉินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะกล่าวย้ำเตือนอย่างจริงจัง "ยามนี้ท่านฉินฟงกำลังตกเป็จำเลยแห่งความสงสัยภายในตระกูลฉินอยู่ และเขาได้ส่งมอบสมาพันธ์นักฆ่าให้แก่ข้าเป็ผู้ดูแลโดยสมบูรณ์"
"หลังจากวันนี้หากมีจดหมายมาจากท่านฉินฟง ห้ามพวกเ้าทำตามคำแนะนำในเนื้อหานั้นเป็อันขาด! ข้าเชื่อว่านั่นอาจจะเป็ฝีมือของฉินเหยียนที่พยายามจะหลอกล่อพวกเ้าออกไปเพื่อหมายจะบ่อนทำลายกองกำลังของท่านฉินฟง"
"วันพรุ่งนี้พวกเ้าควรนำเหรียญทองบางส่วนเพื่อโยกย้ายสถานที่ตั้งของสมาพันธ์นักฆ่า พวกเราจำต้องเปลี่ยนที่หลบซ่อนเพื่อมิให้ตระกูลฉินสืบสาวมาถึงพวกเราได้"
"และต่อจากนี้ข้าจะเป็ผู้ส่งจดหมายและออกคำสั่งโดยตรงให้แก่พวกเ้าเอง" ไป๋เฉินกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ตอนนี้อำนาจในการควบคุมสมาพันธ์ตกเป็ของไป๋เฉินโดยสมบูรณ์
และเขาได้ดักทางฉินฟงไว้มิให้ใช้กองกำลังจากสมาพันธ์นักฆ่าได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นต่อจากนี้มันจำต้องเปิดเผยกองกำลังอื่นที่มันนอกจากสมาพันธ์นักฆ่า และแน่นอนว่าสิ่งที่เขากำลังทำคือการบีบบังคับให้ฉินฟงไม่มีทางเลือกจนมันปะทุออกมาในคราเดียว
"รับทราบ" ทั้งสองตอบรับคำกล่าวโดยไม่ลังเล
แน่นอนว่าหลวนซิงและหลิวอี้หลิวมีสติปัญญาเพียงพอ ทั้งสองสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงได้ย้ำเตือนเช่นนั้น
เนื่องจากฉินฟงกำลังตกเป็เป้าหมายของฉินเหยียน แน่นอนว่าพวกเขาจำต้องหลบซ่อนโดยที่มิให้ตระกูลฉินรับรู้เื่ราวเกี่ยวกับพวกเขา เพราะนั่นอาจจะนำไปสู่การทำลายล้างสมาพันธ์นักฆ่าทั้งหมด
ไป๋เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "และต่อจากนี้ข้าจะเปลี่ยนชื่อของสมาพันธ์นักฆ่าเสียใหม่เพื่อหลบหลีกการตรวจสอบข้อมูลเช่นกัน"
"โอ้? ท่านอาจารย์คิดชื่อไว้แล้วงั้นหรือ?" หลวนซิงกล่าวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไป๋เฉินพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมาห้าพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ "ข้าจะตั้งชื่อว่าศาลาปีก์"
"ศาลา...ปีก...์..." ทั้งสองพึมพำและมองหน้ากันราวกับว่าเป็ชื่อที่แปลกประหลาด แต่ชื่อนี้กลับทำให้พวกนางตระหนักได้ถึงความยิ่งยโสโอหังและความภาคภูมิใจของไป๋เฉินได้อย่างเด่นชัด
แน่นอนว่าชื่อนี้คือองค์กรนักฆ่าที่มฤตยูสีขาวเคยสังกัด และเป็องค์กรที่ทำให้ไป๋เฉินมีชื่อเสียงอย่างยิ่งยวดในศตวรรษที่ 21
ไป๋เฉินยืนขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะกล่าว "เอาล่ะ ข้ามีเื่ให้พวกเ้าช่วยเท่านี้ หลังจากนี้อีกสามวันข้าจะตามหาเ้า ไม่จำเป็ต้องกังวล ต่อให้พวกเ้าจะหนีไปสุดขอบฟ้า ข้าก็สามารถค้นหาพวกเ้าได้อย่างง่ายดาย"
"โอ้ ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท ประการสุดท้ายยกเลิกภารกิจสังหารไป๋เฉินในอีกสองวันต่อมา..." เมื่อกล่าวจบไป๋เฉินเดินออกจากสมาพันธ์นักฆ่าไปราวกับผสานหลอมรวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ
แผนการแรกของไป๋เฉินเสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ ยามนี้เขาคงจะได้คิดแผนการสำหรับการเปิดโปงฉินฟงเท่านั้น แน่นอนว่าแนวโน้มทั้งหมดกำลังเป็ไปด้วยดีอย่างที่เขาอยากจะให้เป็
ั้แ่ไป๋เฉินได้รากปราณมารเก้าเนตรมา เขาก็คิดแผนการและขั้นตอนการกำจัดฉินฟงและฉินิหยวนไว้เนิ่นๆแล้ว แต่ใครจะคิดว่าโอกาสจะปรากฏให้แก่เขาภายในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น
ยามนี้ไป๋เฉินจะมีกองกำลังนักฆ่าเป็ของตนเองโดยสมบูรณ์
.
.
.
หลังจากนั้นอีกสองวัน การเคลื่อนไหวของไป๋เฉินก็หยุดลงเขามิได้ออกจากตระกูลฉินและพยายามฝึกฝนการเคลื่อนไหวให้เข้ากันกับระดับการบำเพ็ญที่เพิ่มขึ้นมาห้าขั้นในคราเดียว บัดนี้เขาสามารถเชี่ยวชาญการควบคุมปราณที่ละเล็กน้อยให้เหมาะสำหรับการจู่โจมแต่ละครั้งแล้ว
และวันนี้เป็วันที่หลวนซิงจะออกปฏิบัติการ แน่นอนว่าไป๋เฉินตั้งตารอดูผลงานอยู่ไกลๆ
ในขณะที่ไป๋เฉินนั่งปาดเหงื่อหลังจากการฝึกซ้อม เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นจากทางโค้ง เผยให้เห็นร่างสีฟ้าสดใสของฉินเยว่ฉานกำลังปรี่เข้ามาด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ดุจน้ำผึ้ง "ไป๋เฉิน พ่อของข้าบอกว่ามีแพทย์ระดับสูงจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาในเมืองเทียนหยุนแล้ว ท่านพ่อสืบค้นข้อมูลแล้วว่าทั้งหมดล้วนเป็ความจริง"
"โอ้?" ไป๋เฉินหันไปด้วยเสียงอุทานเบาๆ
'มันเป็เพียงแค่การกุเื่มิใช่หรอกหรือ?'
'เป็ไปได้ไหมว่าจะมีแพทย์จากแผ่นดินใหญ่มาปรากฏตัวขึ้นจริงๆ'
'คงไม่หรอกม้าง...'
ไป๋เฉินยืนขึ้นก่อนจะเดินตรงไปและกล่าวถาม "แพทย์ผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน?"
"คนผู้นั้นอยู่ที่ใจกลางย่านหยุนเทียนจง ดูเหมือนว่าเขามาเพื่อจุดประสงค์อะไรสักอย่าง" ฉินเยว่ฉานอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้ไป๋เฉินได้ฟัง
จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าฉินฟงกำลังเล่นเกมหรือเป็แพทย์ตัวจริงกันแน่
ขณะที่ไป๋เฉินกำลังแสดงสีหน้าครุ่นคิด ฉินเยว่ฉานเพียงเอ่ยเบาๆ "ไป๋เฉิน เ้าควรเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะไปรอเ้าที่ห้องโถงใหญ่"
"เอาล่ะ เดี๋ยวข้าตามไป" ไป๋เฉินโบกมือก่อนจะเข้าไปในกระโจมและชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้าน เขาอยากจะรู้เช่นกันว่าแพทย์จากแผ่นดินใหญ่ผู้นี้เป็ใครกันแน่
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ไป๋เฉินในอาภรณ์สีดำข้างกายมีกระบี่โบราณเหน็บไว้ เขาเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ที่มีฉินเหยียน ฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนรออยู่
"ท่านลุง" ไป๋เฉินประสานมือทักทายตามปกติ
ฉินเหยียนเดินตรงเข้ามาก่อนจะแตะบ่าเขาเบาๆ "ไป๋เฉิน นี่คือโอกาสของเ้าแล้ว ข้าสามารถยืนยันได้ว่าแพทย์จากแผ่นดินใหญ่ผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือมาช้านาน บางทีเขาอาจจะช่วยเ้าออกจากวังวนที่เ้ากำลังเผชิญอยู่ก็เป็ได้"
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัย
ข้อสงสัยแรกอาจจะเป็ฝีมือของฉินฟงที่พยายามหลอกล่อเขาออกไป แต่แล้วสมาพันธ์นักฆ่าได้ตกเป็ของตนโดยสมบูรณ์ ดังนั้นไม่น่าจะเป็ไปได้ที่จะเป็แผนการของมัน
และประการที่สอง เขากำลังหวนนึกไปถึงนักฆ่าจิ้งจอกแดงและจิ้งจอกขาว บางทีอาจจะเป็แผนการของพวกนางที่้าล่อให้ตนออกจากตระกูลฉินก็เป็ได้
"เอาล่ะ ข้าเข้าใจ" ไป๋เฉินเพียงประสานมืออย่างเรียบง่าย
ก่อนที่ฉินเหยียนจะยื่นจดหมายหนึ่งฉบับให้แก่เขา "แพทย์ผู้นี้เคยเป็คนรู้จักของบิดาเ้ามาก่อน เ้าควรจะนำจดหมายยืนยันตัวตนของเ้าไปด้วย บางทีเขาอาจจะเต็มใจที่จะช่วยเ้าก็เป็ได้"
"คนรู้จัก?" ไป๋เฉินเพียงรับจดหมายมาด้วยสีหน้าสับสน ก่อนที่ทั้งสองคนจะตรงไปยังรถม้าภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของฉินฟงที่กำลังเมียงมองจากอาคารที่สูงชัน
"เป็ไปได้อย่างไร! มีแพทย์จากแผ่นดินใหญ่ปรากฏตัวขึ้นจริงๆงั้นหรือ?" แม้แต่มันเองก็ไม่คาดคิดว่าคำโกหกของมันจะกลับกลายเป็ความจริงไปเสียได้
นั่นหมายความว่าหากไป๋เฉินสามารถฝึกฝนได้ มันคงต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ด้วยความหวาดกลัวเป็แน่
ผลสุดท้ายมันจำต้องรีบเร่งเขียนจดหมายและปล่อยให้นกพิราบนำสาส์นคำสั่งการสังหารเพื่อส่งไปยังสมาพันธ์นักฆ่า
โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังคำสั่งของมันอีกต่อไป
.
.
.
ภายในเวลาไม่กี่นาทีไป๋เฉินและฉินเยว่ฉานก็มาถึงย่านหยุนเทียนจง ย่านหยุนเทียนจงนับว่าเป็ใจกลางของเมืองเทียนหยุนที่ซึ่งมีการทำมาค้าขายเป็หลัก รวมถึงการคมนาคมแม้แต่ศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังตั้งปักหลักอยู่รอบๆอาณาบริเวณ
และหลังจากผ่านประตูเข้ามา ในระยะสายตา 20 เมตร ไป๋เฉินก็ต้องพบเจอเข้ากับอนุสาวรีย์รูปสลักของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความสูง 1.7 เมตรยืนอยู่บนแท่นวางอันสูงส่ง
ร่างของรูปปั้นนั้นถูกแกะสลักไว้อย่างละเอียดอ่อน ข้างกายของรูปปั้นมีการแกะสลักกระบี่ที่มีลวดลายแปลกประหลาด หากจักมองดูให้ดีจะเห็นได้ว่าใบหน้าของชายในรูปปั้นนั้นช่างคลับคล้ายคลับคลากับสตรีเสียเหลือเกิน ซ้ำยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นใฝใต้ตาข้างขวา แต่สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าคือดูราวกับว่ารูปปั้นนี้กำลังจ้องมองไป๋เฉินอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ไป๋เฉินที่สงสัยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม "เยว่ฉาน รูปปั้นนี้คือผู้ใดกัน?"
ฉินเยว่ฉานหัวเราะเบาๆ นางรู้ดีว่าไป๋เฉินไม่เคยมาที่แห่งนี้แม้แต่ครั้งเดียว "นั่นคือรูปปั้นของท่านมหาเทวะแห่งการสรรค์สร้าง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็ตำนานของทวีปเทียนหลาง ยังมีข่าวลืออีกด้วยว่าท่านคือผู้สร้างทวีปเทียนหลางนี้ขึ้นมา"
"โอ้? นั่นหมายความเขาเป็บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหลางงั้นหรือ?" ไป๋เฉินยังคงเอ่ยถามหากแต่สายตากลับจ้องมองรูปปั้นอย่างไม่ละสายตา
ภายในจิตใต้สำนึกส่วนลึกไป๋เฉินกลับรู้สึกเคียดแค้นและเกลียดชังรูปปั้นนั้นอย่างมิอาจบรรยายได้ ราวกับว่าทั้งสองเป็ศัตรูต่อกันมาแต่ชาติปางก่อน
แต่สิ่งที่เกลียดชังรูปปั้นนั้นกลับมิใช่จิตใจของไป๋เฉินเอง แต่มันคืออิทธิพลของจักรพรรดิมารเก้าเนตรที่ได้หลอมรวมเข้ากับไป๋เฉินก่อนหน้านี้