เมื่อไต่สวนต้นสายปลายเหตุคดีนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ทุกอย่างก็คลี่คลาย เฉินปั๋วจริงจังกับคดีนี้มาก เรียกพยานมาไต่สวนทีละคนๆ ก่อนจะสรุปคดีและประกาศต่อหน้าธารกำนัลในศาล
หลิวเปียวผู้ก่อเหตุ แก้แค้นสหายร่วมสำนักเพราะความบาดหมางส่วนตัว ด้วยการทำลายบ้านเรือนชาวบ้านจนมีผู้ได้รับาเ็สาหัสหนึ่งราย เสียหายยี่สิบเอ็ดครัวเรือน ขายบุตรหกครัวเรือน และสองครัวเรือนสูญเสียบุตรจากการถูกพ่อค้าทาสทุบตี นับเป็เหตุการณ์ะเืขวัญ และเต็มไปด้วยความโเี้ไร้คุณธรรม
ศาลมีคำสั่งให้หลิวเปียวชดเชยค่าซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ชาวบ้าน ค่ายา และค่าสูญเสียรายได้ มอบเงินสำหรับไถ่บุตรแก่หกครัวเรือน รวมถึงชดเชยสองครัวเรือนที่ต้องสูญเสียบุตรคนละห้าร้อยตำลึง ลงโทษหลิวเปียวด้วยการโบยสี่สิบครั้ง ทำงานชดใช้โทษเป็เวลาสามเดือน แต่เนื่องจากได้รับการโบยไปก่อนหน้านี้แล้ว โทษโบยนั้นจึงได้รับการยกเว้น อนุญาตให้พักรักษาตัวห้าวัน จากนั้นให้เริ่มทำงานหนักชดใช้โทษ
พ่อค้าทาสจางอู่ทุบตีเด็กสองคนจนถึงแก่ชีวิต ตัดสินโทษโบยร้อยครั้ง เนรเทศไกลพันลี้ และชดเชยพ่อแม่เด็กคนละห้าร้อยตำลึง
เจิ้งก่วงอี้ นายอำเภอซานหยาง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยอคติ ลงโทษจนเกินเหตุ ไต่สวนไม่ชัดเจน กลับไปทบทวนตนเองจนกว่าจะสำนึกผิด
เ้าอาวาสวัดก่วงจี้ประพฤติตนไม่เหมาะสม แย่งชิงที่ดินกับผู้อื่น ทำให้พุทธสถานอันบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนกลายเป็สนามรบ กักบริเวณทบทวนตนเองเป็เวลาสามเดือน ส่วนผู้ที่พกอาวุธเข้าไปก่อความวุ่นวายในวัดก่วงจี้ ให้รับโทษโบยคนละยี่สิบครั้ง คาดโทษมิให้กระทำอีก
สิ้นสุดการตัดสินคดี…
เมื่อคดีความถูกตัดสินเช่นนี้ ทุกฝ่ายต่างรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะประท้วง ได้แต่แยกย้ายกันไปด้วยความหงุดหงิด คำพิพากษาของเฉินปั๋วระบุว่าคดีนี้เกิดจากความบาดหมางระหว่างศิษย์ร่วมสำนักสองคน และนำไปสู่การแก้แค้น ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเื่ที่ดินระหว่างพระกับฆราวาส เื่ที่ต้องแก้ไขให้กระจ่างก็กระจ่างแล้ว เื่ทั้งหมดจึงคลี่คลายในวันเดียว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปรวดเร็วราวกับพายุ จนทุกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกเฉินปั๋วว่าเ้าเมืองคนใหม่ถูกเนรเทศมาเพราะกระทำความผิดอีกต่อไป
ทุกอย่างเหมือนจะสิ้นสุดลง ทว่ากลับเกิดเื่น่าใตามมา หลังตระกูลหลิวส่งคนนำเงินมาจ่ายค่าชดเชยเรียบร้อยแล้วนั้น คืนวันเดียวกันก็มีข่าวออกมาว่าหลิวเปียวเสียชีวิตกะทันหัน ทำให้ทุกคนใไปตามๆ กัน ทว่าตระกูลหลิวกลับไม่คิดติดใจเอาความผู้ใด ตั้งใจจัดงานไว้ทุกข์อย่างยิ่งใหญ่ เป็เหตุให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็เพราะหลิวเปียวไร้อนาคตแล้ว ตระกูลหลิวจึงไม่ใส่ใจ เพราะคำว่าไร้คุณธรรมมันไม่สำคัญสำหรับคนธรรมดา แต่มันสำคัญสำหรับลูกหลานตระกูลขุนนางเก่าแก่อย่างหลิวเปียว ซึ่งจะต้องอาศัยชื่อเสียงพวกนี้เพื่อเข้ารับราชการ แต่เขาถูกตัดสินความผิดในศาล มันเท่ากับว่าหนทางเข้ารับราชการของหลิวเปียวนั้นจบสิ้นลงแล้ว บางคนสงสัยว่าหลิวเปียวยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขอให้เปิดโลงศพเพื่อตรวจสอบ คุณชายผู้ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ รังแกข่มเหงคนในอำเภอจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
……
สองปีต่อมา ิเยี่ยอายุครบสิบห้า จึงต้องเตรียมตัวไปเมืองหลวงเพื่อเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษากลาง
ิหยวนอายุได้สิบสี่ ตั้งใจเล่าเรียนอ่านเขียน ขี่ม้า ยิงธนูตลอดเวลาสองปี บัดนี้เขาเป็เหมือนรวงข้าวพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมวสันต์ เติบใหญ่รวดเร็ว จากเด็กมัดผมสองข้างกลายเป็เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างผอมเพรียว แต่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ไหล่กว้าง เอวคอด ขายาว มีเข็มขัดเส้นใหญ่สีน้ำตาลแก่คาดเอว ยังคงสวมชุดสีฟ้า [1] และสวมรองเท้าผ้าหยาบ ไม่มีเครื่องประดับมีค่าสักชิ้น มีเพียงถุงหอมที่ซือเหนียงปักให้ ข้างในมีกลิ่นอายสมุนไพรไล่แมลง [2]
เด็กหนุ่มสองคนเดินจูงม้าเคียงข้างกันไป แต่ละคนต่างมีความกังวลในใจ ิเยี่ยยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ผ้าผูกผมกลางหัวประดับไข่มุกล้ำค่าสี่ห้าเม็ด เม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่ว โซ่ทองห้อยถุงหอมประดับด้วยจี้หยก สวมรองเท้าหนังวัว สวมชุดคลุมตัวใหญ่สีแดงสดใส มองอย่างไรก็คือคุณชายสูงศักดิ์ กิริยามารยาทสุขุมลุ่มลึกกว่าสองปีก่อน แต่ภายในยังคงสดใสมั่นใจในตนเองเช่นเดิม ิเยี่ยหยุดเดินพร้อมเอื้อมมือลูบม้า “เอาล่ะ ส่งท่านพันลี้ สุดท้ายก็ต้องบอกลา ไม่ต้องยื้อเวลาแล้ว คิดถึงข้าก็ไปหาที่เมืองหลวง”
“หึ” ิหยวนหลุดหัวเราะ “ข้าบอกจะกลับไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ผู้ใดกันที่คะยั้นคะยอให้ข้าเดินมาส่ง นี่ก็เดินมาจนจะถึงสิบลี้แล้ว”
ิเยี่ยหน้าแดง พยายามเตะอีกฝ่ายแก้เก้อ “เป็สหายกันมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ข้าจะเดินทางไกลทั้งที เ้าไม่คิดจะร่ำลาข้าเลยหรืออย่างไร!”
“ข้าเดินมาส่งไกลถึงเพียงนี้ ยังไม่นับเป็การร่ำลาอีกหรือ?”
“ข้าหมายถึงของขวัญอำลา รีบเอาออกมาเร็ว ข้ารู้ เ้าต้องเตรียมมาเป็แน่ เอาออกมาเร็วเข้า”
“ท่านออกจะร่ำรวย ยังคิดจะขูดรีดคนจนอย่างข้าอีก”
“เช่นนั้นข้าไม่เอาก็ได้ ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“ก็ได้ๆ” ิหยวนแกล้งเขาอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมาจากชายแขนเสื้อ “ข้าไม่มีของมีค่า...”
ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ิเยี่ยก็รีบคว้าถุงผ้าใบเล็กไปทันที เปิดดูข้างในพบว่าเป็สมุดบันทึกหลายสิบเล่ม
“นี่มันอะไรกัน?”
“ท่านดูเอาเองสิ”
“โอโห้ เ้าช่างเป็พ่อพระมาโปรด!” ิเยี่ยไล่เปิดสมุดดูอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะะโโลดเต้นด้วยความดีใจ ทำท่าจะะโกอดิหยวน ทว่าิหยวนเบี่ยงตัวหลบ เขาจึงหันไปต่อยต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแรง “บุญคุณยิ่งใหญ่ช่วยคนจมน้ำ! น้องชายแสนดีของข้า!”
“เอาไว้ให้ท่านใช้ยามฉุกเฉิน ยามปกติห้ามใช้” ิหยวนกลอกตาจนแทบจะเหลือแค่ตาขาว หากท่านลุงรู้ว่าเขาเตรียมโพยข้อสอบไว้ให้ิเยี่ย เขาคงจับเราสองคนโยนลงน้ำไปพร้อมกัน
“ข้ารู้หรอกน่า” ิเยี่ยเก็บข้าวของเข้าที่อย่างมีความสุข ลูบเ้าม้าดำ แม้เขาจะเอาแต่พูดว่าไม่อยากไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก เมืองหลวงรุ่งเรือง เต็มไปด้วยสิ่งเจริญหูเจริญตาน่าสนใจ ผู้ใดบ้างไม่โหยหา ผู้ใดบ้างจะไม่อยากไปเยือน การเดินทางเข้าเมืองหลวงในวันนี้ จึงทำให้ิเยี่ยอดตื่นเต้นไม่ได้ ทว่าครั้นถึงคราวต้องไปจริงๆ เขากลับเกิดความลังเล กลัวว่าิหยวนจะหัวเราะเยาะ จึงรีบพูดดักไว้ก่อน “เ้าห้ามหัวเราะข้า ข้าจะไปปูทางไว้ก่อน อีกสองปีเ้าต้องตามข้าไป ท่านพ่อสัญญาแล้วว่าหากเ้าอายุถึงเกณฑ์จะส่งรายชื่อเ้าเข้าคัดเลือกขุนนางฉาจวี่ เขาจะเป็คนไปแนะนำเ้ากับท่านเ้าเมืองเองด้วย คนเก่งอย่างเ้าจะต้องได้รับคัดเลือกแน่นอน”
ิเยี่ยเงยหน้ากวาดตามองูเาและแม่น้ำที่ตนเห็นมาแต่เล็กจนโต จู่ๆ ก็รู้สึกเศร้า จากไปคราวนี้ ไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อใด
ิหยวนเองก็อาลัยอาวรณ์อีกฝ่ายไม่น้อย เดิมทีเขามีหน้าที่เพียงช่วยคุณชายผู้นี้ทำการบ้านอ่านตำราและซื้อขายโพยข้อสอบ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็สหาย กระทั่งกลายเป็พี่น้อง พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี บัดนี้ถึงยามที่ต้องแยกจากกันไกล ิหยวนเองก็เศร้าใจไม่น้อย ทว่าเขาเป็คนไม่ชอบแสดงความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร “เป็ห่วงตัวเองก่อนเถิด ที่สำนักศึกษากลางเต็มไปด้วยคนรวยมีอำนาจ อย่าทำให้เสียชื่อเมืองเจียงโจวของเราล่ะ”
“ชิ! คุณชายสามตระกูลิซะอย่าง ไม่มีทางด้อยกว่าผู้ใดอยู่แล้ว”
ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่ง จนพ่อบ้านที่เดินตามหลังทนไม่ไหว เอ่ยเตือนเป็ครั้งที่สาม สองคนจึงกอดกันแน่น ิหยวนตบหลังิเยี่ยเบาๆ “พอแล้วๆ รีบออกเดินทางเถิด สายลมวสันต์พัดผ่านหลิวงาม [3] รักษาตัวให้ดี”
ทั้งสองคำนับกันและกันหนึ่งครั้ง ก่อนที่ิหยวนจะจับสายบังเหียนตรงหัวม้าไว้ให้ิเยี่ยเหยียบโกลนเพื่อเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า มือหนึ่งถือแส้ อีกมือถือสายบังเหียน และควบม้านำออกไป เหล่าคนติดตามก็รีบตามเขาไปติดๆ ฝุ่นลอยตลบบดบังคนบนม้า กระทั่งฝุ่นเริ่มจางหาย ิหยวนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็ยิ้มพร้อมเอ่ยเสียงเบา มีเพียงตนเองที่ได้ยิน “ดูแลตัวเองด้วย”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ชุดสีฟ้า (青衫) หมายถึง สีเสื้อผ้าของคนถ่อมตัว บัณฑิต นักปราชญ์ และผู้ฝึกตนหรือเซียน
[2] สมุนไพรไล่แมลง (蒲草雄黄) ประกอบด้วยหญ้าธูปฤาษีและกำมะถัน ไล่ได้ทั้งแมลง สัตว์มีพิษ ทั้งยังมีความเชื่อว่าสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย
[3] สายลมวสันต์พัดผ่านหลิวงาม (春风杨柳) หมายถึง ความรู้สึกโศกเศร้าที่ต้องจากลา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้