หลังจากนั้นไม่นาน อาหารที่เตรียมไว้ก็เสร็จสิ้น ผมยกมาวางไว้ยังโต๊ะอาหาร แล้วมองดูความเรียบร้อย ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งยังโซฟาตัวใหญ่ ระหว่างรอเขา ผมเอื้อมไปหยิบมือถือขึ้นมากดเพื่อฆ่าเวลา
ตอนนี้ภายในห้องเงียบสนิท มีเสียงแอร์คลอเบา ๆ พร้อมเสียงซีรีส์จากมือถือดังขึ้น ผมละความสนใจทั้งหมด แล้วตั้งใจดูซีรีส์เื่นั้นจนเวลาล่วงเลยไปนาน รู้ตัวอีกที จึงหันมองนาฬิกาพบว่าดึกมากแล้ว ก่อนมือถือของผมจะดังขึ้น
“รอไหวไหม?” หลังกดรับ เสียงอบอุ่นของเขาทำให้ผมเผลอยิ้ม
“ทั้งคืนก็รอได้” เขานิ่งไปนาน ก่อนจะตอบกลับ
“เอนตัวลงนอนก็ได้นะ นั่งอยู่แบบนั้นเมื่อยแย่” คิ้วผมกระตุกทันที ก่อนจะเหลือบไปเห็นกล้องวงจรปิดที่วางข้างทีวี
“นี่คุณหมอแอบดูผมอยู่เหรอ?” ผมมองกล้องแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็ไม่คิดว่าคุณรอ จะเที่ยงคืนแล้ว กลับก่อนก็ได้นะ”
“บอกว่ารอ ก็รอไง กลับแล้วใครจะกินอาหารเป็เพื่อนหมอล่ะ”
“เอาไรเพิ่มอีกไหม ผมจะซื้อเข้าไป” เขาเปลี่ยนเื่
“พูดงี้หมายความว่าจะกลับแล้วเหรอ?”
“อีก 5 นาทีก็จะกลับแล้ว” ผมได้ยินเสียงถอดเสื้อกาวน์และเหมือนเสียงเก็บเอกสารบางอย่างดังลอดเข้ามา
“งั้นผมจะอุ่นอาหารรอนะ”
“ครับ” พูดจบ เขาก็วางสายไป
ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ความรู้สึกผมก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนสลัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่าง แล้วเดินไปเปิดเตาไมโครเวฟ อุ่นอาหารด้วยไฟแรงปานกลาง กลิ่นของซุปค่อย ๆ แทรกออกมา กลิ่นนี้...เหมือนวันเก่า ๆ ที่มยุรานั่งเงียบ ๆ อยู่ในครัว แล้วรอคอยเขากลับมาในทุกวัน
ไม่นานนัก เสียงประตูห้องดังขึ้นแ่เบา ผมหันไปเห็นหมอนาวินในชุดลำลองกับใบหน้าที่เหนื่อยล้า
“หิวไหม?” ผมถาม พร้อมมองควันที่ยังฟุ้งขึ้นจากถ้วยอาหาร เขาทิ้งกระเป๋าลงยังโซฟา แล้วเดินมาหา
“หิวมาก” คุณหมอยิ้มจาง ๆ ก่อนผมจะตักต้มมะระยื่นให้ เขารับไปแล้วค่อย ๆ ตักเข้าปาก
“รสชาติดี” เขาพูดหลังจากกลืนคำแรกลงไป
“แน่นอน เป็สูตรพิเศษ” ผมยักไหล่เล็กน้อย
“อร่อยเกินกว่าที่ผมคิดไว้” เขาย้ำ
“บอกแล้ว!” คุณหมอยิ้ม แล้วตักอาหารกินต่อโดยไม่พูดจา ผมปล่อยให้เขากินไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“คุณหมอครับ”
“หืม”
“แม่ผมบอกว่า หมอเป็แพทย์อาสาด้วยเหรอ?” เขาหยุดเคี้ยวแล้วมองหน้าผม
“ใช่”
“เมื่อกี้ ผมเห็นใบลงทะเบียนของหมอด้วย วันที่ 5 เมษา หมอจะไปเป็แพทย์อาสาที่แม่ฮ่องสอนงั้นเหรอ” เขาพยักหน้ายอมรับ
“ผมขอไปด้วยได้ไหม?” เขาวางช้อนแล้วหันไปหยิบน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณอาคิราห์ คุณไม่” เขายังไม่ทันพูดจบ ผมก็สวนขึ้น
“คีย์ เรียกผมว่าคีย์เหมือนเพื่อน ๆ ของผม” เขามองหน้าแล้วถอนหายใจเล็กน้อย
“ได้ คุณคีย์” ผมพยักหน้ายิ้มพอใจ ก่อนเขาจะพูดต่อ
“คุณไม่เหมือนผม ชีวิตผมไม่มีอะไรผูกพัน ผมตัวคนเดียว มีแค่คนไข้เท่านั้น แต่คุณไม่ใช่ คุณยังมีพ่อแม่ มีปู่ มีเพื่อน มีคนรอบกายที่รักคุณ อย่างน้อย พ่อกับแม่คุณก็ไม่มีวันให้ไป”
“หมอแค่อนุญาต ที่เหลือผมจัดการได้”
“ผมไม่อนุญาต” เขาตอบเสียงเข้ม แล้วก้มหน้ากินอาหารต่อด้วยกิริยานิ่ง ๆ
“ผมมีเงินส่วนตัวที่พอจะบริจาคได้ สามแสนบาท ถ้าหมออนุญาตให้ผมไป เงินนี้จะเป็ประโยชน์กับชาวบ้านไม่น้อยเลยนะ”
“คุณกำลังใช้เงินต่อรองผมงั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่พอใจ เพิ่มเป็สี่แสนก็ได้”
“คุณคีย์!” เขากดเสียงต่ำเริ่มไม่พอใจ ผมจึงยิ้มกลบเกลื่อน
“อย่าดุสิ! ผมอุตส่าห์ทำอาหารให้หมอกินนะ สามแสนแลกกับประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของผม หมอไม่ไปให้จริงเหรอ? ผมไม่ได้้าอะไรมาก ก็แค่อยากไปเห็นหมอทำงานกับเด็ก ๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าหมอไม่ให้ไป ผมไม่ไปก็ได้ ส่วนเงิน ผมจะบริจาคให้เหมือนเดิม” เท่านั้นสายตาของหมอนาวินก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเสียงกดกริ่งด้านนอกจะดังขึ้น ผมและหมอหันมองไปยังประตูเป็จุดเดียวกัน
“ดึกมากแล้วนะ หมอนัดใครไว้เหรอ?” เขาไม่ตอบ หากแต่ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู โดยมีผมเดินตามไปด้วย ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวตัวเล็กผิวขาว ยืนยิ้มให้ พร้อมถือบางอย่างในมือ
“พรรณี คุณมาได้ไง” เธอยิ้มแล้วมองมาที่หมอ
“พ่อคุณบังคับ ให้ฉันเอาสิ่งนี้มาให้คุณค่ะ” เธอตอบ แล้วมองเข้ามาในห้อง คล้ายว่าอยากเข้ามา ทว่าสายตาเธอพาดมาเห็นผมพอดีจึงหยุดชะงัก
“มีแขกอยู่เหรอคะ”
“เพื่อนครับ ผมเป็เพื่อนกับหมอนาวิน ใช่ไหม?” ผมหันไปถามหมอ ก่อนเขาจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอื้อมรับของจากมือเธอ
“คราวหลังถ้าดึกมากแล้ว ไม่ต้องทำตามที่พ่อผมสั่งทุกเื่ก็ได้ คุณเป็ผู้หญิง ยังไงก็เสียหาย” พรรณียิ้มแล้วยกมือขึ้นกอดอก
“จะเสียหายได้ยังไง ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย” ผมเห็นอย่างนั้น จึงนึกบางอย่างได้ แล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่ กินด้วยกันสิ” หมอนาวินหันขวับมายังผม ก่อนเท้าของพรรณีจะเดินเข้ามาโดยที่เ้าของห้องไม่ทันอนุญาต ระหว่างที่เธอเดินนำไป เขาก็คว้าแขนผมแล้วกระซิบ
“นี่มันห้องผมนะ”
“ผมรู้! แต่ผมเคยขอหมอแล้วไง ว่าจะจีบพรรณี นี่เป็โอกาส” ผมไม่ฟังเขา เดินนำหมอไปเลื่อนเก้าอี้ให้พรรณีนั่ง แล้วตักข้าวใส่จานให้เธอ
“ไม่เป็ไรค่ะ ฉันไม่กินอาหารตอนดึก” ระหว่างนั้นเขาเดินเข้ามานั่ง หมอนาวินเหลือบตามอง เหมือนไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมเงียบไป ผมเลยถือโอกาสชวนคุยต่อ
“คุณมาห้องคุณหมอบ่อยไหม?” คำถามของผมทำให้เ้าของห้อง ที่กำลังจะตักอาหารหยุดชะงัก ก่อนพรรณีมองหน้าเขาแล้วยิ้ม
“คุณจะเชื่อไหมล่ะ เป็ครั้งแรกที่ฉันได้เข้าห้องของหมอ” ผมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ ความรู้สึกวูบหนึ่งผุดขึ้นมา
‘เราสามคนโคจรมาพบกันอีกครั้งแล้วสินะ...’
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมองหน้าฉันอย่างนั้น”
“อ่อเปล่าครับ แค่กำลังคิดว่า คุณสวยขนาดนี้ ทำไมหมอนาวินใจร้ายไม่ยอมให้เข้าห้องซะที” คำพูดของผม ทำให้เธอก้มหน้ายิ้มบาง ๆ
“เพราะคุณเลยนะ ทำให้ฉันได้เข้าห้องเขา” เธอพูดพลางหันไปยังหมอนาวินด้วยสายตาหวาน
“ฉันเพิ่งนึกได้ค่ะ พ่อคุณฝากบอก ว่าถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องไปงานก็ได้” หมอนาวินเอื้อมตักอาหารใส่ปาก แล้วเคี้ยวช้า ๆ
“ถึงยังไง ผมก็ไม่ว่างไปหรอก วันที่ 5 ผมติดงาน” พรรณียิ้มเล็กน้อย
“งานสำคัญของพ่อคุณเลยนะ ไม่ไปจริงเหรอ?”
“พ่อรู้อยู่แล้ว ว่าผมไม่มีวันไปงานแต่งเขา กับเมียใหม่ ยังจะฝากการ์ดมาอีกทำไม?” ฟังที่หมอตอบแล้ว ผมจึงเลื่อนสายตามองไปยังการ์ดงานแต่งที่วางอยู่ ค่อย ๆ ปะติดปะต่อเื่ราวทั้งหมดช้า ๆ
“ฉันแค่ทำตามหน้าที่ หมดธุระฉันแล้ว ไปก่อนนะคะ” เธอพูดจบก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันมายิ้มให้ผมเป็การบอกลา
“ฉันไปก่อนนะคะ” ว่าแล้วเธอก็เบี่ยงตัวเดินออกจากห้องไป โดยที่หมอนาวินไม่พูดอะไรสักคำ
“ไม่ไปส่งเธอหน่อยเหรอ” ผมหันไปถาม ขณะที่เขายังคงตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวช้า ๆ อย่างใช้ความคิด
“ถ้ายังอยากไปแม่ฮ่องสอนกับผม ช่วยอยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องถามอะไรได้ไหม?” ผมยิ้ม แล้วเอื้อมไปหยิบช้อนตักข้าวกิน
“รับรองเลยครับ ว่าคุณหมอจะไม่ได้ยินเสียงผมอีก” ผมพูดจบก็หันมองไปยังเสียงประตูที่เพิ่งปิดไป พรรณีชาตินี้ดูต่างจากชาติที่แล้วพอควร แต่ไม่ว่ายังไง รอยแผลที่เธอขับรถชนผมก็ยังประทับอยู่ และผมไม่มีวันลืม...