ขณะที่เฉิงอวี้กำลังพูด การเคลื่อนไหวมือของนางยังคงเชื่องช้า ราวกับนาง้าใช้สิ่งนี้เพื่อฝึกฝนมือของนาง เพื่อใช้ทรมานมู่จื่อหลิงในภายหลัง
สมควรตาย! มู่จื่อหลิงจ้องมองเฉิงอวี้ด้วยความเกลียดชัง
นางใช้ชีวิตมาสองชั่วอายุคน สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการถูกผู้อื่นคุกคาม นางจึงไม่เคยยอมให้ตนถูกผู้อื่นคุกคาม
แต่ในขณะนี้...
ในขณะนี้ มู่จื่อหลิงทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างหมดหนทาง เฝ้าดูม้าเมฆาถูกหญิงร้ายกาจผู้นี้ทรมานอยู่ใต้จมูกนาง โดยที่นางไม่อาจทำอะไรได้
เพียงแค่นางยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่ามันจะเป็ม้า นางก็ไม่สามารถมองดูม้าเมฆาตายต่อหน้านางได้ นับประสาอะไรกับม้าที่เพิ่งช่วยชีวิตนาง
สถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่าคนใกล้ตาย!
ในยามนี้หากนางทนไม่ได้เล่า?
ยามนี้ ไม่ว่าจะเพื่อม้าเมฆาหรือเพื่อตัวนางเอง...นางทำไม่ได้! ขยับไม่ได้!
หากเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่ม้าเมฆาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งนางก็จะจบสิ้น
ในยามนี้เมื่อไม่อาจสู้ได้คงทำได้เพียงใช้ไหวพริบ
ประกายความโกรธวาบขึ้นในดวงตาของมู่จื่อหลิง นางกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อแน่น ระงับความโกรธในใจอย่างลับๆ
เกลียดยิ่งนัก! การอดกลั้นเช่นนี้มันช่างน่าอึดอัดจริงๆ
แต่ในยามนี้ไม่มีใครรู้ว่ามู่จื่อหลิงต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด เมื่อสิ่งนี้ะเิออกมาในภายหลังมันจะน่ากลัวถึงขนาดไหน
มุมปากของเฉิงอวี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มกระหายเืซึ่งทำให้เส้นผมของผู้คนตั้งตรง
ดูเหมือนว่านางจะเพลิดเพลินไปกับม้าตัวนี้ ดวงตาเ็าของนางจับจ้องไปที่กีบเท้าเปื้อนเืของม้าเมฆามาจนถึงยามนี้ นางไม่เคยให้ความสนใจกับมู่จื่อหลิงเลยแม้แต่น้อย
ม้าเมฆาร้องลั่นอย่างเ็ปเสียงดังก้องเข้าหู...มู่จื่อหลิงกัดริมฝีปากแน่น ในขณะนี้ นางทำได้เพียงใช้ความเ็ปนี้ควบคุมอารมณ์ที่ยากจะทานทนในใจ
ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่สำหรับมู่จื่อหลิงดูเหมือนยาวนานราวสิบปี
ในที่สุดเฉิงอวี้ก็ดึงกริชออกมาจากม้าเมฆาจนหมด
เฉิงอวี้ถือกริชที่ยังมีเืติดอยู่ นางค่อยๆ ยืนขึ้น
จากนั้นขณะที่เล่นกับกริชในมือ นางก็ย่อตัวลง ชำเลืองมองมู่จื่อหลิง “เ้ารอนานไหม? ยามนี้ถึงตาเ้าแล้ว”
ดวงตาหยิ่งยโสของนางดูเหมือนกำลังมองมดตัวเล็กที่กำลังจะถูกขยี้ตายด้วยน้ำมือของนาง เสียงของนางไพเราะยิ่งขึ้น
เพราะยามนี้ในสายตาของเฉิงอวี้ มู่จื่อหลิงเป็เพียงเศษปลาบนเขียง [1] ที่ทำได้เพียงรอความเมตตาจากนางเท่านั้น
แต่ใครจะรู้ หากเฉิงอวี้ไม่หันมองก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อหันมองแล้ว...นางเห็นใบหน้าครึ่งขาวครึ่งดำของมู่จื่อหลิง ใบหน้าหยินหยางที่แท้จริงยังไม่เด่นชัดเท่าหน้านาง
ผิวครึ่งล่างบนใบหน้าของมู่จื่อหลิงนั้นขาวราวกับหยก งดงามยิ่งนัก แต่ครึ่งบนนั้นมืดคล้ำมากจนทำให้คนมองไม่ลง เพียงมองก็หมดสิ้นความปรารถนาที่จะมองซ้ำอีก
หากไม่ใช่เพราะดวงตาใสเปล่งประกาย ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดว่ามู่จื่อหลิงมีใบหน้าเพียงครึ่งเดียว
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ใบหน้านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดี รอยยิ้มมุมปากของเฉิงอวี้ค้างไปชั่วขณะ
เกือบแล้ว เฉิงอวี้เกือบนึกว่านางจำคนผิด นางหรี่ตา มองเข้าไปใกล้ๆ นางค่อนข้างแน่ใจ
นี่คือมู่จื่อหลิงแน่นอน ไม่ผิดแน่!
ไม่ใช่แค่เพราะการสอบสวนครั้งก่อน แต่ยังเป็เพราะ...พวกนางเคยพบหน้ากันมาก่อนแล้ว
ทันใดนั้น เฉิงอวี้ก็ราวกับจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางจ้องใบหน้าขาวดำของมู่จื่อหลิงอย่างเย้ยหยัน ยกริมฝีปาก เอ่ยเสียดสีนาง “นางหญิงสารเลว ข้าว่า นี่คงเป็ใบหน้าดั้งเดิมของเ้าใช่หรือไม่? แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารังเกียจน่าขยะแขยง เ้าก็ยัง้าผู้ชายของนายหญิงรองของพวกเรา เช่นนี้เ้ายังเหมาะกับการเป็ฉีหวางเฟยอีกหรือ?”
ประโยคนี้เปิดเผยข้อมูลมากมาย
เพียงได้ยิน มู่จื่อหลิงก็รู้เื่กว่าครึ่งแล้ว นางขมวดคิ้ว เกิดความสงสัยในใจ
เดิมทีหญิงผู้นี้้าฆ่านาง นางคาดเดาแล้วว่าอาจเป็เพราะนางคือฉีหวางเฟย แต่นางไม่คิดว่ามันจะเป็เื่จริง
ใช่แล้ว นอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะทำให้ชีวิตของนาง ‘ตื่นเต้น’ ได้มากเพียงนี้
เมื่อเป็เช่นนี้ ผู้ชายที่หญิงผู้นี้กำลังกล่าวถึงย่อมเป็หลงเซี่ยวอวี่ไม่ผิดแน่?
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
สิ่งที่ผู้หญิงผู้นี้พูดเริ่มฟังดูไร้สาระและตลกมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่เคยมีความคิดสกปรกเช่นนั้น และวิธีที่หลงเซี่ยวอวี่ปฏิบัติต่อนาง เพียงแค่บอกว่ายามนี้นางเป็ฉีหวางเฟยก็เป็ที่รู้กันทั่วว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว
จากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว แม้ว่านางจะมีความคิดที่ไม่ดีและอยากได้หลงเซี่ยวอวี่จริงๆ...แล้วอย่างไร? นั่นเป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว
เพียงเมื่อพูดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็เศร้ามากพอแล้ว การอยู่ในฐานะของฉีหวางเฟยนั้นไม่ง่ายเลย
ดูสิ! ั้แ่เดินทางข้ามเวลามาจนถึงยามนี้ ชีวิตนางเต็มไปด้วยหายนะ เรียงรายเข้ามาไม่มีหยุด มู่จื่อหลิงรู้สึกเ็ปในใจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ ท่ามกลางหายนะที่ไม่รู้จบเช่นนี้...นางยังคงต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง
ยามมองใบหน้าขาวดำน่าเกลียดของมู่จื่อหลิง เฉิงอวี้ก็แกว่งกริชในมือ เอ่ยเย้ยหยันเหยียดหยามต่อไป “ฉีหวางเฟย? โห! เ้าเหมือนคางคกหมายเนื้อห่านฟ้าจริงๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
บอกว่านางน่าเกลียดก็ไม่เป็ไร เพราะความอัปลักษณ์นี้จะอยู่เพียงไม่นานเท่านั้น เหตุใดนางต้องสนใจด้วยเล่า? แต่เ้าเพิ่งกล่าวว่านางโลภอยากได้ในตัวหลงเซี่ยวอวี่? นางต้องอดทนต่อไป
เมื่อครู่บอกว่านางเป็คางคกหมายเนื้อห่านฟ้าหรือ?
จริงๆ เลย! หญิงผู้นี้ไร้สาระจริงๆ!
“จริงหรือ?” เมื่อเผชิญหน้ากับการดูถูกเหยียดหยามของเฉิงอวี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มู่จื่อหลิงก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
มุมปากของนางค่อยๆ โค้งเป็รอยยิ้มบาง สีหน้าของนางจริงจังมาก “ดังคำกล่าวที่ว่าสตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่รัก ในขณะที่เ้ากล่าวว่าฉีอ๋องเป็ของนายหญิงรองของเ้า เ้าไม่รู้หรือว่าฉีอ๋องทรงมีนิสัยแปลกประหลาด เขาชอบใบหน้าขาวดำเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงทำใบหน้าให้เป็เช่นนี้”
หากหลงเซี่ยวอวี่ได้ยินคำพูดนี้ของมู่จื่อหลิง ไม่รู้ว่าเขาจะร้องไห้หรือหัวเราะ
ในยามนี้มู่จื่อหลิงกำลังแย้มยิ้มงดงาม แต่มันดูไม่น่ามองจนไม่อาจมองตรงๆ ได้
นางพูดเื่นี้อย่างจริงจัง ราวกับว่าฉีอ๋องทรงมีความชอบไม่เหมือนใคร...ชอบใบหน้าขาวดำเช่นนี้
กล่าวได้ว่ามู่จื่อหลิงไม่ลืมที่จะอ้างถึงหลงเซี่ยวอวี่ ก่อให้เกิดภาพลวงตาทางจิตวิทยาแก่คนนี้ ที่กำลังยืนอยู่เหนือหัวนาง
เพราะนางไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้จะทำอย่างไรกับนาง ยามนี้นางจึงทำได้เพียงพยายามทำให้หญิงผู้นี้เข้าใกล้นาง
มู่จื่อหลิง้าใช้ภาพลวงตานี้เพื่อให้หญิงผู้นี้ค่อยๆ ปลดการป้องกันออก เพื่อที่ว่าหากนางมีโอกาสในภายหลัง มันจะง่ายขึ้นสำหรับนาง
อย่างที่ทราบกันดี ฉีอ๋องทรงเฉยชา ทั้งยังปฏิบัติต่อผู้หญิงราวสิ่งไร้ค่า ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่ยากสำหรับมู่จื่อหลิง ที่จะทำให้คนผู้นี้เชื่อว่าหลงเซี่ยวอวี่มีนิสัยเช่นนี้!
แน่นอนว่ายามเฉิงอวี้ได้ยินคำนั้น ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
หลังจากนั้น เฉิงอวี้กลับดูเหมือนจะเชื่อคำพูดของมู่จื่อหลิง ส่วนเหตุผลที่นางเชื่อเช่นนั้น มีเพียงใจนางเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
แต่ใบหน้าเฉิงอวี้ยังคงสงบนิ่ง นางเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง “นางหญิงสารเลว อย่าพูดเื่ไร้สาระ ฉีอ๋องสูงศักดิ์เพียงใด? พระองค์จะชอบหน้าครึ่งขาวครึ่งดำนี้ได้อย่างไร? เป็ไปไม่ได้...”
การแสดงออกของเฉิงอวี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่มู่จื่อหลิงซึ่งจ้องเฉิงอวี้ตลอดสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน การเยาะเย้ยปรากฏขึ้นในใจของนาง
“ข้าพูดเื่ไร้สาระหรือ? หรือว่านายหญิงรองของเ้าก็เป็เหมือนข้า?” สีหน้ามู่จื่อหลิงสั่นไหว แสร้งทำเป็งงงวย “เช่นนั้น...นี่มันแปลกจริงๆ เ้าคิดว่าฉีอ๋องทรงชอบนางหรือ?”
นางเอ่ยคำที่ดูลังเลแต่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือคำพูดของมู่จื่อหลิงมุ่งเน้นไปที่จุดที่เฉิงอวี้ไม่สามารถยืนยันได้
ฉีอ๋องชอบใบหน้าเช่นนั้นจริงหรือ?
ในยามนี้ เฉิงอวี้เหมือนจะตกอยู่ในห้วงความคิดเพราะคำพูดของมู่จื่อหลิง...
ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเื่นี้ ดวงตาที่มืดมนของเฉิงอวี้ บางครั้งก็เปล่งประกายแสงจ้า แต่บางครั้งก็มีรอยยิ้มสนุกสนาน
เหตุใดเฉิงอวี้จึงตอบไม่ได้ เหตุใดนางจึงแสดงสีหน้าเช่นนั้นในยามนี้...มู่จื่อหลิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร รอให้สตรีผู้นี้เข้ามาใกล้เงียบๆ
เพียงแต่มู่จื่อหลิงมักจะรู้สึกแปลกๆ ในใจอยู่ตลอดเวลา นายหญิงรองที่หญิงผู้นี้กล่าวถึง? คือใคร?
รูม่านตาของมู่จื่อหลิงหดแคบลง นางจมูกเชิดตรงต่อไปอย่างเฝ้าระวัง ค่อยๆ รวบรวมความทรงจำที่ถูกรบกวนในจิตใจของนาง
คือใคร? คนที่สามารถเลี้ยงดูสุนัขที่น่ารังเกียจเช่นนี้ออกมาได้จะเป็ใครกัน?
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็ขมวดคิ้ว
นางจำได้แล้วว่าเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหน
เป็หญิงคนนั้น ถ้าไม่คิดจริงจังนางคงลืมไปแล้วจริงๆ
คาดไม่ถึง คาดไม่ถึงเลย!
แต่ในขณะนี้ เฉิงอวี้เป็ไปตามที่มู่จื่อหลิงคาดไว้ นางเดินเข้ามาหามู่จื่อหลิงนั่งยองๆ ชี้กริชไปยังจุดสำคัญบนคอของมู่จื่อหลิง ขู่ด้วยน้ำเสียงเ็า “บอกข้ามา หน้าเ้าเป็อะไรไป?”
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ มู่จื่อหลิงผู้มีจุดประสงค์ถึงสองอย่าง รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
เมื่อเ้าเข้ามาใกล้ข้า เมื่อนั้นข้าจะฆ่าเ้า!
ไม่รอให้เฉิงอวี้ตระหนักถึงความหมายในรอยยิ้มของนาง
มู่จื่อหลิงผลักนางออก จากนั้นจึงปัดมือที่ถือกริชของเฉิงอวี้ออกด้วยมืออีกข้าง พลิกกลางอากาศ กลิ้งไปบนพื้นราบลงจากหลังม้า
ไม่ว่าอย่างไร เฉิงอวี้ก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีฝีมือ ทันทีที่นางสังเกตเห็นร่างกายของมู่จื่อหลิงเคลื่อนไหวหลังจากถูกเข็มพิษ ประกายแห่งความประหลาดใจก็ฉายแววในดวงตาของนาง ก่อนกลายเป็ความชั่วร้าย
เฉิงอวี้อยากตัดคอของมู่จื่อหลิงด้วยกริชในมือโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว
น่าเสียดายที่เป็เพราะความประหลาดใจนี้ ทำให้เฉิงอวี้มองการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิงล่าช้าไปเล็กน้อย
และเพราะแค่พริบตาเดียวที่ช้าไปนี้ มู่จื่อหลิงจึงสามารถรอดจากกริชของนางได้อย่างราบรื่น
การจู่โจมของมู่จื่อหลิงรวดเร็วราวกับสายฟ้า การเคลื่อนไหวจบสิ้นในรวดเดียว เข้าเป้าอย่างแม่นยำ
‘ปัง’ เสียงเหล็กตกกระทบพื้นดังกึกก้อง
“นางตัวแสบ เ้า เ้ากล้าวางยาพิษ!” ดวงตาเฉิงอวี้เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ นางทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง...
“ก็แค่ฟันต่อฟัน [2]” มู่จื่อหลิงตอบอย่างเ็า “แต่ข้าเรียกคืนเป็สองเท่า”
เมื่อเห็นว่าร่างของเฉิงอวี้กำลังจะล้มลงไปทางม้าเมฆา ไม่รู้ว่ามู่จื่อหลิงเป็อะไร นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเ็า “ม้าเมฆาของข้าเกลียดผู้หญิงสกปรกที่สุด ออกไป!”
ขณะพูดการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิงช่างน่าอัศจรรย์...เร็วยิ่งกว่าร่างของเฉิงอวี้ที่กำลังล้มลงด้วยซ้ำ นางยกเท้า
ใช้ท่วงท่าจากวิชาเท้าไร้เงาฝอซาน [3] เตะเฉิงอวี้ที่กำลังจะตกลงบนร่างของม้าเมฆาลอยออกไป
การเตะครั้งนี้เลวร้ายยิ่งกว่าการเตะหลินเกาฮั่นก่อนหน้านี้ ยิ่งเป็ร่างผอมบางของเฉิงอวี้ยิ่งไม่มีค่าให้กล่าวถึง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เศษปลาบนเขียง (砧板上的鱼肉) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า คนที่ไม่มีพลังที่จะต่อต้านจนต้องยอมให้ผู้อื่นทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
[2] ฟันต่อฟัน (以牙还牙) เป็สำนวน มีความหมายว่า การแก้แค้นหรือรับมือฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้วิธีเดียวกันกับที่ถูกกระทำ คำเต็มคือ 以眼还眼,以牙还牙 แปลว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
[3] วิชาเท้าไร้เงาฝอซาน (佛山无影脚) เป็ท่าที่มุ่งเตะต่ำกว่าเอวเป็หลัก ขณะที่สองมือ กางออกมาเป็ท่ากงเล็บเสือใช้มือโจมตีท่อนบนของคู่ต่อสู้ ขณะที่ใช้เท้าโจมตีท่อนล่างของคู่ต่อสู้ในเวลาเดียวกัน