หลังจากถูกหนานจี๋หานอบรมไปรอบหนึ่ง หนานกู่เยว่ก็นั่งหน้ามุ่ยอารมณ์เดือดปุดๆ อยู่ที่ข้างทะเลสาบในอุทยานบุปผาหลวง ในมือถือดอกไม้ไว้ดอกหนึ่ง แล้วก็เด็ดกลีบดอกไม้ระบายอารมณ์โกรธ ปากก็บ่นงึมงำไม่หยุด "เ้าคนถ่อยชั้นต่ำ ไร้ยางอาย"
ตอนที่ฉีเฉินเดินไปถึงได้ยินเข้าพอดี ก็หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า "ข้าเพียงแค่ชื่นชมในตัวองค์หญิง กลับถูกองค์หญิงกล่าวผรุสวาทถึงเพียงนี้ ข้าไม่เข้าใจความคิดของสตรีเลยจริงๆ"
หนานกู่เยว่เงยหน้าขึ้นมาทันที ก็เห็นฉีเฉินมองตนเองด้วยรอยยิ้มลึกซึ้ง เขาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว อาภรณ์แพรต่วนที่สวมบนร่างกายของเขาให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์
หนานกู่เยว่คิดถึงเื่ที่ตนเองเพิ่งถูกพี่ชายคนโตดุด่ามา ก็พาลคิดไปว่าตัวก่อหายนะคงเห็นตนเองเป็เื่สนุกจึงได้มีทีท่าเบิกบานใจเช่นนี้ เพียงชั่วพริบตาอารมณ์ของนางจึงยิ่งดิ่งลงเหว ปาดอกไม้ในมือที่ยังเด็ดกลีบไม่หมดทิ้งไป แล้วลุกขึ้นยืนทันที แต่ใครจะรู้ว่า ด้วยความที่นั่งนานเกินไปอาการเหน็บชาเกาะกินไปทั้งขา ที่หัวเข่าเจ็บจี๊ดราวกับถูกเข็มเล็กๆ ทิ่มแทง ยิ่งลุกพรวดพราดขึ้นมาเช่นนี้ร่างกายก็เลยรับไม่ไหว เสียหลักล้มลงไปในทะเลสาบ
ฉีเฉินหูตาไวคว้าแขนของหนานกู่เยว่ไว้ทัน แต่ช่วยไม่ได้ แรงถ่วงมีมากจนเกินไป ทำให้ตนเองถูกลากไปด้วย ทั้งคู่จึงตกลงไปในทะเลสาบของอุทยานบุปผาหลวงด้วยกัน
แต่หนานกู่เยว่กลัวน้ำ นางตะเกียกตะกายอยู่ในทะเลสาบอยู่นาน สุดท้ายก็จบลงด้วยการไปเกาะฉีเฉินไว้แน่นหนึบราวกับหนวดปลาหมึก หวาดกลัวจนไม่กล้าลืมตาขึ้นมา ฉีเฉินออกแรงฮึดว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง มองสตรีที่เกาะตนเองไว้อย่างช่วยไม่ได้
เขาถอนใจออกมาเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวว่า "ท่าทางดวงชะตาแปดอักษรของข้ากับองค์หญิงคงจะไม่สมพงษ์กัน มาตอนนี้ก็เปียกไปทั้งตัวอีกแล้ว"
หลังจากฉีเฉินอุ้มหนานกู่เยว่ขึ้นฝั่งไปแล้ว หนานกู่เยว่ดวงตาเบิกกว้างมองดูฉีเฉินอย่างบริสุทธิ์ใจ ฉีเฉินยังจำที่จวินหวงบอกได้ว่าจะต้องไม่ทำตัวเหลาะแหละเกินไป ในตอนนั้นเขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองออกมาคลุมให้หนานกู่เยว่ หนานกู่เยว่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฉินด้วยความซาบซึ้งใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
บ่าวไพร่ที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามาประคองทั้งสองพระองค์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉีเฉินเปลี่ยนชุดแล้วก็นั่งดื่มชาร้อนอยู่ในห้องพักชั่วคราว มุมปากยกยิ้มขึ้นมา ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบเข็มเงินที่เหลือออกมาดู
เมื่อครู่เขามองเห็นความอ่อนโยนในแววตาของหนานกู่เยว่อย่างชัดเจน เป็เพราะเข็มเงินที่เฟิงไป๋อวี้ให้เขาไว้ทีเดียวเชียว มิเช่นนั้นเขาจะได้ใกล้ชิดกับหนานกู่เยว่ได้อย่างไร
ในตอนกลางคืนหลังจากกลับมาถึงจวนอ๋อง ฉีเฉินก็ตรงดิ่งไปยังเรือนข้าง จวินหวงยังไม่หลับราวกับว่าคอยเขาอยู่
"แผนการของน้องเฟิงช่างประเสริฐยิ่งนัก" ฉีเฉินกล่าว ชมเปราะว่าการคาดการณ์ของจวินหวงแม่นยำราวกับเทพ ไม่มีแตกแถวออกไปเลยแม้แต่น้อย
จวินหวงเพียงแค่หัวเราะ "คิดว่าหนานกู่เยว่ยังคงอยู่เป่ยฉีอีกสักพักหนึ่ง ใน่เวลานี้ฝ่าพระบาทจะต้องมัดใจหนานกู่เยว่ให้ได้ งานนี้ถึงจะสำเร็จ พรุ่งนี้ฝ่าพระบาทอาจจะนัดนางออกมา ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเป่ยฉีงดงาม บรรยากาศน่ารื่นรมย์เป็ใจอย่างยิ่ง"
เพียงครู่เดียวฉีเฉินก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง เดินเข้ามาตบไหล่ของจวินหวง "เปิ่นหวางโชคดีจริงๆ ที่มีน้องเฟิงเป็กุนซือ"
จวินหวงก้มหน้าลงไม่มีวาจาใดๆ อีก สักพักฉีเฉินก็เดินออกไป จวินหวงส่งเขาออกไปด้วยสายตา ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็มีลมกระโชกเข้ามาระลอกหนึ่ง จวินหวงมุ่นคิ้วรีบขยับกายจะหันมา จนใจที่ผู้มามีทักษะยุทธ์สูงส่ง จวินหวงจึงถูกเขารวบตัวเอาไว้เสียก่อน ขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ
"เ้าเป็ใคร? ไม่ได้ดูหรือว่าที่นี่เป็ที่ไหน? หากไม่ปล่อยข้า ข้าจะะโเรียกผู้คนแล้วนะ" จวินหวงเข่นเขี้ยวกล่าวออกมา
ผู้ที่อยู่ด้านหลังนิ่งเฉยไม่โต้ตอบ อุ้มจวินหวงทะยานเหาะออกไป เพียงชั่วครู่ก็พ้นมาจากตำหนักอ๋อง เมื่อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ถึงค่อยกระซิบบอกนางเบาๆ "ข้าเอง" พูดจบก็ปล่อยตัวจวินหวงลง
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมาทันที แล้วก็เป็หนานสวินจริงๆ พวกเขาไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว เมื่อเห็นหนานสวินในตอนนี้ กระแสร้อนผ่าวผุดขึ้นหัวของจวินหวง นางพุ่งถลาตรงเข้าไปในอ้อมแขนของหนานสวิน จนเขาใตะลึงลาน
หัวใจของหนานสวินเต้นแรงกระชั้นถี่ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง จึงเพียงแค่ยื่นมือออกไปวางลงที่ไหล่ของจวินหวงเท่านั้น หลังจากผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง เขาค่อยกระแอมออกมาเบาๆ แล้วถามขึ้น "เ้าเป็อะไรไป?"
จวินหวงหายใจลึกๆ ก่อนปล่อยมือออกจากหนานสวิน นางเดินก้าวถอยไปครึ่งก้าวรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย "ขออภัยด้วย เมื่อครู่... เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทแล้ว" จวินหวงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ การได้พบกับใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกของตนเองไม่ใช่เื่ง่าย นางก็ไม่คิดว่าตนเองจะถึงกับทำเื่เช่นนี้ออกไปได้
เพื่อค่อยๆ คลายบรรยากาศอึดอัด หนานสวินจึงกล่าวถ้อยคำหยอกเย้า "ไม่คิดว่าเ้าในฐานะสตรี ก็รู้จักวิธีที่ทำให้หญิงสาวพึงพอใจด้วย"
จวินหวงฟังแล้วก็หน้าร้อนผ่าว ก้มศีรษะลงกล่าวว่า "เมื่อครั้งยังเยาว์ข้าเห็นเสด็จพ่อปฏิบัติกับเสด็จแม่เช่นนี้ ข้าก็แค่ยืมมาใช้ก็เท่านั้น"
แววตาของนางหดหู่ลงเล็กน้อย นึกถึงบิดามารดาที่สิ้นไปของตนกับแคว้นซีเชว่ที่ล่มสลาย หนานสวินไม่อาจทนดูจวินหวงโศกเศร้าได้ แต่คนอย่างเขาจะรู้ว่าวิธีปลอบโยนผู้อื่นได้อย่างไร?
เวลาผ่านไปนาน หนานสวินถึงเริ่มเอ่ยปากพูด "อย่าโศกเศร้าไปเลย จวินหวงเ้าจงจำไว้ คนเราสุดท้ายแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับการพรากจาก หากเ้าโศกเศร้า ญาติมิตรที่จากโลกนี้ไปแล้วของเ้าเ่าั้ก็จะพลอยโศกเศร้าไปด้วย อย่าลืมว่าเ้ายังต้องตามหาน้องชายของเ้าอยู่"
จวินหวงเงยหน้าขึ้นมองหนานสวินแล้วพยักหน้ารับ กัดฟันอดกลั้นหยดน้ำใสๆ ที่อยู่ในดวงตาเอาไว้ ในใจตั้งมั่นสาบานอยู่เงียบๆ
'มันผู้ใดที่ทำลายล้างวงศ์ตระกูลของข้า สักวันหนึ่งข้า จวินหวง จะต้องให้มันผู้นั้นชดใช้ เืต้องล้างด้วยเื ข้าจะไม่มีวันให้พวกเ้าได้อยู่เป็สุขแน่นอน'
หนานสวินรู้สึกะเืใจ ตบบ่าของจวินหวงเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจวินหวงจึงถามขึ้น "ไยท่านจึงไม่ถามว่าเพราะเหตุใดข้าถึงคิดวิธีให้ฉีเฉินได้หัวใจของหนานกู่เยว่"
หนานสวินก้มศีรษะลงครุ่นคิด ก่อนจะตอบว่า "ข้ารู้ว่าทุกสิ่งที่เ้าทำล้วนมีเหตุผล แล้วไยข้าต้องถามให้มากความด้วยเล่า?"
...
วันต่อมาฉีเฉินก็ให้คนส่งเทียบเชิญไปจริงๆ และหนานกู่เยว่ก็ตอบตกลงแล้ว นางะโโลดเต้นวนรอบหนานจี๋หานอยู่หลายรอบ พวงแก้มแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ความตื่นเต้นดีใจเขียนสลักอยู่บนใบหน้า
อย่างไรเสียหนานจี๋หานก็เป็พี่ชายคนโต ความคิดอ่านย่อมละเอียดรอบคอบ หัวคิ้วของเขาขมวดย่นถามขึ้นด้วยความกังวล "เยว่เอ๋อร์ เ้าจะไปจริงๆ หรือ?"
หนานกู่เยว่ได้ยินดังนั้นก็หยุดมองหน้าหนานจี๋หาน มุ่ยปากยื่นออกมาแล้วกล่าวว่า "พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของหนานกู่เยว่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หนานจี๋หานเห็นแล้วก็ไม่อยากจะทำลายหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุขของนาง สุดท้ายก็ส่ายหน้า "เดี๋ยวเ้าออกไปข้างนอกก็ต้องระวังตัวหน่อย อย่าได้าเ็กลับมาล่ะ"
หนานกู่เยว่จ้องหนานจี๋หานอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่เอ่ยวาจาสักคำก็ะโโลดเต้นออกไป
พอกลับมาถึงห้องก็ให้คนมาช่วยตนเองเลือกชุดที่สวยที่สุด จากนั้นก็มองตนเองที่สะท้อนอยู่บนคันฉ่องทองแดง หลุบสายตาลงคิดถึงวันที่ตนเองพบกับฉีเฉินครั้งแรก ฉีเฉินอมยิ้มพิศมองตนเองอย่างเปิดเผย สายตาไม่มีหลบเลี่ยงเลยสักนิด จากนั้นในอุทยานบุปผาหลวง คนที่เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งตัวเพราะนางผู้นั้นก็ยังไม่วายหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่นาง รอยยิ้มของเขาช่างน่ามองยิ่งนัก
ยิ่งคิดเกี่ยวกับเขา พวงแก้มของนางก็ยิ่งเห่อร้อนแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องแต้มชาดลงไปเลย สาวใช้จึงกล่าวกระเซ้า "องค์หญิง พระองค์ดูราวกับจะออกไปพบกับบุรุษในดวงใจเลยนะเพคะ"
"พูดมาก" หนานกู่เยว่กล่าวต่อว่า แต่ในหัวใจกลับรู้สึกหวานล้ำ
...
แต่จวนเฉินอ๋องในเวลานี้กลับตกอยู่ในความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ไม่รู้ว่าเว่ยหลานอิ๋งไปได้ยินเื่ของฉีเฉินกับหนานกู่เยว่มาจากไหน ก็วิ่งไปหาฉีเฉินเพื่อสอบถามทันที
หากกล่าวว่าโหรวเอ๋อร์่ชิงความโปรดปรานจากฉีเฉินไปจากนาง เช่นนั้นหนานกู่เยว่ก็กำลังจะแย่งชิงตำแหน่งในจวนอ๋องไปจากนาง อย่างไรเสียโหรวเอ๋อร์ก็เป็เพียงอนุรับใช้ที่ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไร ไม่มีอำนาจจะมาคุกคามนางได้อยู่แล้ว แต่หนานกู่เยว่เป็ถึงองค์หญิงแคว้นหนานมู่ หากทั้งสองคนแต่งงานกันจริงๆ ตำแหน่งชายารัชทายาทก็ต้องเป็ของหนานกู่เยว่แล้ว
"ฉีเฉิน เ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อให้เ้าได้ตำแหน่งรัชทายาทข้าต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปเท่าไร? มาตอนนี้เ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้ เ้ามันคนเืเย็นไร้หัวใจเกินไปแล้ว" เว่ยหลานอิ๋งชี้หน้าต่อว่าฉีเฉินน้ำตาก็ไหลพราก
ฉีเฉินมองเว่ยหลานอิ๋งด้วยสายตาเ็า เขารู้สึกว่าสตรีที่ลดตัวลงนั่งกับพื้นอาละวาดด่าทอราวกับคนบ้าเช่นนี้ ไม่สมควรจะได้รับความรักความเห็นใจเลยสักนิด ดวงตาของเขาจึงไม่มีความอ่อนโยนเฉกเช่นในอดีต
โหรวเอ๋อร์มองอยู่ด้านข้าง ดวงตาไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ มากมายนัก อย่างไรเสียนางก็ติดตามฉีอวิ๋นมาหลายปี ชีวิตในราชวงศ์ก็เป็เช่นนี้เอง หากคิดจะให้บุรุษคนหนึ่งเป็ของตนเองไปตลอดชีวิตก็คงถูกคนทั้งโลกหัวเราะเย้ยหยัน ผ่านไปอีกสักสองสามร้อยปีก็อาจจะทิ้งชื่อไว้ว่าเป็เพียงสตรีที่งมงายในความรัก
ในฐานะสตรีด้วยกัน นางรู้สึกเพียงว่าเว่ยหลานอิ๋งน่าสงสาร แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองคนมิใช่สหายกัน
ขณะนั้นจวินหวงก็มาถึง นางเห็นเว่ยหลานอิ๋งนั่งอยู่ที่พื้นร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง ก็คิ้วขมวดเดินเข้าไปหมายประคองให้เว่ยหลานอิ๋งลุกขึ้น "ฟูเหริน ท่านลุกขึ้นเถิด พื้นมันเย็น อย่าทำร้ายร่างกายตนเองเช่นนี้"
แต่เว่ยหลานอิ๋งไม่รับน้ำใจ กลับผลักจวินหวงออกไป จวินหวงไม่คิดมาก่อนว่าเว่ยหลานอิ๋งจะไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ แรงผลักทำให้นางล้มลงที่พื้น จากนั้นเว่ยหลานอิ๋งก็ชี้หน้าตะคอกใส่นาง "เป็เพราะเ้า หากไม่ใช่เ้า มีหรือฝ่าพระบาทจะทำเยี่ยงนี้กับข้า? ตอนนี้เ้าจะเสแสร้งแกล้งทำเป็คนดีไปเพื่ออะไร?"
ฉีเฉินทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว "พอได้แล้วเว่ยหลานอิ๋ง หากไม่อยากให้เปิ่นหวางหย่ากับเ้า ก็จงออกไปให้พ้นหน้าเปิ่นหวางเสียเดี๋ยวนี้"
โหรวเอ๋อร์ตรงเข้าไปประคองจวินหวงให้ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน "คุณชายเป็อะไรหรือไม่?"
จวินหวงส่ายหน้า ผลักมือของโหรวเอ๋อร์ออกอย่างไม่ให้เป็ที่สังเกต แล้วถอยออกมาก้าวหนึ่ง สายตาเยียบเย็นมองดูทุกสิ่ง
ฉีเฉินหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง มองไปที่จวินหวง จวินหวงพยักหน้าให้ ฉีเฉินจึงไม่รั้งอยู่ต่ออีกและเดินออกไปทันที เว่ยหลานอิ๋งเห็นฉีเฉินเดินออกไปก็คิดจะตามไปด้วย แต่จวินหวงก้าวเข้าไปดึงแขนของเว่ยหลานอิ๋งไว้
เว่ยหลานอิ๋งหันมาถลึงตาใส่จวินหวง และกล่าวอย่างขุ่นเคือง "เฟิงไป๋อวี้ ทางที่ดีเ้าปล่อยมือจากข้าเสีย"
"ฟูเหริน ผู้น้อยเข้าใจมาโดยตลอดว่าฟูเหรินเป็สตรีเฉลียวฉลาด แต่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฟูเหรินกลับทำเื่ให้พระบาทกริ้วครั้งแล้วครั้งเล่า การจะรักใครสักคน มิบังควรทำเช่นที่ฟูเหรินทำอยู่ตอนนี้ หากฟูเหรินกระทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่จะผลักฝ่าพระบาทให้ไกลออกไปเท่านั้น" เมื่อกล่าวจบ นางก็ปล่อยมือจากแขนของเว่ยหลานอิ๋ง คิดว่าตนเองก็ได้กล่าววาจาทั้งหมดออกไปอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
เว่ยหลานอิ๋งตะลึงอยู่กับที่ ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ แต่น้ำตาที่ค่อยๆ เอ่อคลอในดวงตาของนางไม่อาจโกหกคนได้ จวินหวงลอบถอนใจเงียบๆ แล้วค่อยๆ เดินจากไป โหรวเอ๋อร์ค่อยๆ ถอยออกมาจากห้อง แต่เมื่อออกมาข้างนอกแล้วกลับเรียกจวินหวงไว้
นางเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าของจวินหวงแล้วกล่าวว่า "เคยได้ยินพวกบ่าวคุยกันว่า เว่ยหลานอิ๋งดูิ่คุณชายยิ่งกว่าอะไร แต่วันนี้คุณชายกลับช่วยเหลือนาง คุณชายคิดว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ?"
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็กลอกตาขาวมองบน ต่อหน้าโหรวเอ๋อร์นางไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์อะไรอยู่แล้ว มีเพียงแค่รู้สึกสลดใจ นางจ้องโหรวเอ๋อร์ราวกับจะมองให้ทะลุไปเสียอย่างนั้น
แต่จวินหวงก็มิได้กล่าวสิ่งใด กลับมองบรรยากาศรอบนอกชายคา บนกิ่งไม้มีนกตัวหนึ่งร้องเสียงจิ๊บๆ เสียงของมันฟังรื่นหูจนต้องหยุดฟัง สีเขียวขจีที่รายล้อมอยู่เต็มสวนทำให้คนจิตใจสงบลงได้
เวลาทิ้งผ่านไปนานเนิ่น ในขณะที่โหรวเอ๋อร์นึกว่าจวินหวงคงจะไม่พูดอะไรแล้ว นางจึงค่อยเอ่ยปาก
"ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่คู่ควรหรือไม่คู่ควร ไม่มีสิ่งใดที่น่าเสียดายหรือไม่น่าเสียดาย ไยแม่นางโหรวเอ๋อร์จึงต้องใช้ทัศนคติของตนเองมาผูกมัดผู้น้อยด้วยเล่า? เราต่างเป็คนแปลกหน้าที่เดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน ไม่จำเป็ต้องมาโต้แย้งกันด้วยเื่เช่นนี้ก็ได้ ผู้น้อยยังมีธุระต้องขอตัวก่อน เชิญแม่นางโหรวเอ๋อร์ตามสบายเถิด"
พูดจบนางก็เดินจากไปไม่เหลียวกลับมามองอีก