เป่าหวาสารภาพผิดโดยยอมรับว่านางได้รับคำสั่งจากเหยาเชียนเชียนให้วางยาพิษทำร้ายองค์ชายในครรภ์ของอวี๋เฟย
เมื่อกระทรวงราชทัณฑ์เข้ามาพาตัวเหยาเชียนเชียนไป ยามนั้นนางกำลังเล่านิทานให้อาเหยียนฟังอยู่ เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนกก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเื่ไม่ดีขึ้นแล้ว
“ห้ามผู้ใดแตะต้องท่านแม่ของข้า!”
อาเหยียนกางแขนออกขวางอยู่ข้างหน้า ด้วยหวังว่าการทำเช่นนี้จะสามารถบังตัวเหยาเชียนเชียนไว้ได้
“เสี่ยวซื่อจื่อ พวกเราได้รับคำสั่งมาจากฮ่องเต้ พระองค์อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยนะขอรับ”
เหยาเชียนเชียนถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพลางลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาเหยียนเด็กดี อยู่ที่จวนรอท่านพ่อกลับมานะ แม่ไม่เป็อะไร”
เนื่องจากความพิเศษของตำแหน่งหวังเฟย ดังนั้นนางจึงไม่ถูกสวมกุญแจมือ เหยาเชียนเชียนพยักหน้าอย่างปลงตก และเมื่อเดินตามคนกลุ่มนั้นไปจนถึงหน้าจวน นางก็เห็นเป่ยเหลียนโม่กำลังรออยู่ตรงนั้นพอดี
“เปิ่นหวังจะไปกับเ้า”
เหยาเชียนเชียนยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นก็ลำบากท่านอ๋องแล้ว”
เพราะมีเป่ยเหลียนโม่อยู่ด้วย นางจึงหลีกเลี่ยงการถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนและเดินเท้าเข้าสู่วังหลวงราวกับนักโทษไปได้ ภายในรถม้า เหยาเชียนเชียนครุ่นคิดอยู่นาน นางยังอยากเอ่ยกำชับอะไรสักหน่อย
“อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องอย่าได้โต้เถียงกับเสด็จพ่อเพื่อหม่อมฉันเลยนะเพคะ อาเหยียนยังเด็ก วันนี้ก็ทำเขาเสียขวัญมากพอแล้ว หลังจากพระองค์เสด็จกลับจวนไปแล้วได้โปรดช่วยปลอบโยนเขาด้วยนะเพคะ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดจา เหยาเชียนเชียนจึงเม้มปากเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า “อาเหยียนไม่ชอบทานผัก หากท่านอ๋องสามารถเล่านิทานสักเื่ให้เขาฟังระหว่างทานข้าวทุกมื้อได้ เช่นนั้นเขาก็จะยอมทานผักแต่โดยดี หรือว่าจะทำเป็น้ำแกงก็ได้เหมือนกันเพคะ เขาไม่แขยงน้ำแกงผัก”
“เหตุใดเ้าจึงกล่าวเื่พวกนี้” เป่ยเหลียนโม่ขัดจังหวะนาง “คงไม่ใช่เพราะวันหน้าเ้าจะไม่ดูแลเขาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนฝืนยิ้มอย่างขมขื่น นางแค่คิดด้วยเกรงว่าจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว
“ท่านอ๋องอย่าถือโทษเป่าหวานะเพคะ หม่อมฉันไม่คิดว่านางมีเจตนาร้ายใดๆ นางเป็เพียงหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น จึงไม่สามารถทนต่อการลงโทษได้เพคะ ในเมื่อยอมรับไปแล้ว หม่อมฉันก็ไม่อาจถือโทษนางได้”
เหยาเชียนเชียนเลิกม่านขึ้นทอดมองออกไปยังตลาดอันคึกคักข้างนอกแล้วรู้สึกนึกเสียดายในใจเล็กน้อย อันที่จริงนางยังไม่เคยกินอาหารเลิศรสบนถนนเส้นนี้เลยสักครั้ง
“ท่านอ๋องดีกับหม่อมฉันมาก และหม่อมฉันก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ครั้งนี้ต้องประสบกับหายนะใหญ่หลวงก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ หากมีโอกาส วันหน้าหม่อมฉันก็ยังอยากล่องเรือชมทิวทัศน์ร่วมกับท่านอ๋องอีกสักครั้งเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่จับมือเหยาเชียนเชียนขึ้นมาแล้วกุมมือนางไว้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “เปิ่นหวังจะไม่ปล่อยให้เ้าตาย”
เหยาเชียนเชียนพลันตาแดงก่ำ นางเองก็ไม่อยากตายเช่นกัน ทว่าอวี๋เฟยเสียลูกไปแล้ว และนั่นเป็ถึงบุตรของฮ่องเต้ การลอบทำร้ายองค์ชายและพระสนม ต่อให้นางเป็หวังเฟยแล้วอย่างไร หากหมายจะลงโทษนางจริงๆ เกรงว่านางคงไม่อาจทนรับการลงโทษได้เท่าเป่าหวาเป็แน่
รถม้าค่อยๆ จอดเทียบลงหน้าประตูวัง เป่ยเหลียนโม่ประคองหญิงสาวลงจากรถม้า มือเล็กข้างหนึ่งช่วยเขาจัดระเบียบคอเสื้ออย่างแ่เบา ก่อนเหยาเชียนเชียนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“ท่านอ๋อง ไม่ว่าอีกครู่ผลจะออกมาเป็อย่างไร ท่านอ๋องโปรดอย่าปะทะกับเสด็จพ่อเลยนะเพคะ เพื่ออาเหยียน ตกลงหรือไม่เพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่หลุบตาลงและจูงมือนางเข้าไปในวังหลวงด้วยกัน แต่กลับถูกขวางไว้หน้าประตูตำหนัก ข้าหลวงมองเขาอย่างลำบากใจ
“ท่านอ๋อง ฝ่าาทรงรับสั่งให้พระองค์รออยู่ที่นี่สักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
เหยาเชียนเชียนแตะมือเขาเบาๆ และเดินเข้าไปในตำหนักเพียงลำพัง ฮ่องเต้ลืมตามองนาง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้
“สาวใช้ที่ติดตามรับใช้เ้าสารภาพแล้ว เ้ายังมีสิ่งใดจะอธิบายอีกหรือไม่”
เหยาเชียนเชียนคุกเข่าลงกลางตำหนักด้วยท่าทางนอบน้อม
“หม่อมฉันทราบดีว่าเหตุใดเป่าหวาจึงยอมรับสารภาพ หม่อมฉันยังคงยืนยันคำเดิมเพคะ เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน เสด็จพ่อโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้โยนขนหมาป่าในมือลงไป ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นเดินลงมาจากบัลลังก์และค่อยๆ เดินไปตรงหน้านาง ความน่าเกรงขามของโอรส์นั้นเพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกหวาดหวั่น ทว่าเหยาเชียนเชียนเพียงแค่หลุบตาลงและคุกเข่าเหยียดหลังตรงราวกับไม่ได้ถูกกดดันโดยมวลพลังงานนั้นเลยแม้แต่น้อย
“เ้าจะให้เจิ้นตรวจสอบอันใดอีก อวี๋เฟยและเ้ามีเื่บาดหมางใจกัน และเ้าก็แค้นเคืองนางอยู่ในใจ ดังนั้นจึงฉวยโอกาสจากการเดินทางไปยังสุสานหลวงสั่งให้สาวใช้ลอบทำร้ายนาง เื่นี้มีพยานบุคคลและพยานวัตถุชัดเจนแล้ว เจิ้นยังต้องสืบสาวราวเื่อันใดอีก?”
เหยาเชียนเชียนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยเสียงดังกังวานและมีพลัง
“สิ่งที่เสด็จพ่อสืบสวนย่อมต้องเป็คนร้ายตัวจริงเพคะ หากเสด็จพ่อยินยอมให้อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงเกลียดชังคนผิดไปตลอดชีวิต และทำให้องค์ชายที่ยังไม่ไปเกิดใหม่กลายเป็ิญญาอาฆาตและไม่สงบสุข เช่นนั้นการลงทัณฑ์หม่อมฉันตามที่พระองค์ปรารถนาก็ไม่ใช่เื่ผิดเลยเพคะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้มืดครึ้ม เื่มาถึงขนาดนี้แล้วแต่นางก็ยังไม่ยอมรับผิด หรือนางคิดว่าอาศัยเพียงกำลังของเป่ยเหลียนโม่เพียงคนเดียวจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้? เขารู้ว่าเวลานี้เป่ยเหลียนโม่อยู่นอกตำหนัก แต่แล้วอย่างไรเล่า
“ยามนี้มีพร้อมทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ หากเจิ้นจะลงทัณฑ์เ้าก็สมเหตุสมผลแล้ว เ้าคงไม่ได้คิดว่าโม่เอ๋อร์จะสามารถเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติ และถือหางคนผิดเช่นเ้าได้หรอกกระมัง?”
ในที่สุดเหยาเชียนเชียนก็เงยหน้าขึ้น นางทอดมองไปยังฮ่องเต้ด้วยแววตาวาวโรจน์
“เสด็จพ่อตรัสว่ามีพร้อมทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ และดอกยี่โถขาวนั้นถูกค้นเจอจากตัวเป่าหวา ทว่ามีผู้ใดเห็นกับตาหรือไม่ว่านางเป็คนใส่มันลงไปในชามยาของอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง พยานบุคคลที่เสด็จพ่อกล่าวเป็เพียงคนที่ยอมสารภาพเพราะถูกทรมานจนไม่อาจทนไหวอีกต่อไป อย่าว่าแต่สตรีบอบบางอย่างนางเลย ต่อให้มีกล้ามเนื้อทองแดงหรือกระดูกเหล็กก็ไม่อาจทานทนต่อเครื่องมือทรมานที่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย คำตอบที่เสด็จพ่อทรง้า พวกเขาก็ย่อมต้องไปเค้นมาให้ ผลลัพธ์เป็อย่างไรก็เห็นได้ชัดเจนตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“บังอาจ!”
ฮ่องเต้แผดเสียงดังด้วยความกริ้วโกรธ “เ้ากล้าว่าเจิ้นใส่ความเ้าหรือ?”
เหยาเชียนเชียนโขกศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
ท่าทีเช่นนั้นทำให้ฮ่องเต้กริ้วเสียจนวิงเวียนศีรษะ หลักฐานมากมายวางอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับยังไม่ยอมรับความผิด ทั้งยังมากล่าวเื่อันใดอีก?
เขาสั่งให้คนทรมานสาวใช้ผู้นั้นอย่างสาหัส นั่นเป็เพราะเขามีราชโองการแก่กระทรวงราชทัณฑ์ว่า้าให้นางปริปากใส่ร้ายผู้เป็นายหรือ?
“เ้านี่ช่างไม่สนใจกฎหมายเอาเสียเลย กระทั่งกับเจิ้นก็ยังกล้าใส่ร้ายกันได้ เพราะเ้าเป็หวังเฟย เจิ้นจึงต้องปรึกษากับกระทรวงราชทัณฑ์เพื่อทรมานนางจนยอมรับสารภาพเพื่อใส่ร้ายเ้าหรือ เ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าทั้งหมดเป็ความผิดของเจิ้น เป็เพราะเจิ้น เ้าจึงต้องเรียกร้องความเป็ธรรมด้วยความคับข้องใจ!”
เหยาเชียนเชียนคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้นและกล่าวเสียงเรียบว่า “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาหมายความเช่นนั้นเพคะ”
ความรังเกียจที่ฮ่องเต้มีต่อนาง นางััได้ั้แ่ยามที่ได้พบฮ่องเต้เป็ครั้งแรก ในคราแรกนางหวาดกลัวมาก เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็ถึงฮ่องเต้ จะรอดหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของอีกฝ่ายเพียงผู้เดียว
แต่หลังจากลองมาครุ่นคิดดูแล้ว คนที่สามารถขึ้นเป็กษัตริย์ได้จะต้องไม่ทำตามอำเภอใจเช่นนั้น โดยปกตินางก็ไม่ค่อยได้พบเขาบ่อย ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงสักหน่อยก็พอแล้ว
แต่ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าครั้งนี้นางจะต้องตกอยู่ในกำมือเขาอยู่ดี อีกทั้งยังไม่ใช่คดีธรรมดา ทว่าเป็ถึงคดีลอบทำร้ายพระสนมและองค์ชายซึ่งมีโทษปะาอย่างไม่ต้องสงสัย
หากให้พูดแบบหยาบๆ คือเหยาเชียนเชียนก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคนที่เป็ฮ่องเต้จะยังคงไร้ยางอายเช่นนี้ได้อีก
“เสด็จพ่อ” เป่ยเหลียนโม่ผลักข้าหลวงออกแล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าลงหน้าโต๊ะทรงอักษรแล้วโขกศีรษะ “เื่นี้ยังมีข้อสงสัยอีกมาก เสด็จพ่อโปรดสืบหาความจริงให้กระจ่าง หากเสด็จพ่อทรงโปรดให้ลูกรับผิดชอบเื่นี้ ลูกจะมอบคำอธิบายแด่เสด็จพ่อและอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ดื่มชาที่เย็นชืดไปครึ่งจอกก่อนจะค่อยๆ ใจเย็นลง เมื่อฟังคำของเป่ยเหลียนโม่จบแล้วก็หัวเราะอย่างเ็า
“จะเสียเวลาทำเช่นนั้นไปไย เ้าควรจะรู้จักหลบเลี่ยงข้อสงสัยจึงจะถูก อีกอย่างคือเื่นี้ได้ข้อสรุปแล้ว เพียงแค่ส่งตัวนางให้กระทรวงราชทัณฑ์...”
“ลูกยินดีใช้ชีวิตของลูกเป็ประกัน เื่นี้ไม่ใช่ฝีมือของหวังเฟยพ่ะย่ะค่ะ” เป่ยเหลียนโม่โขกศีรษะ “เสด็จพ่อโปรดทรงอนุญาตให้ลูกตรวจสอบเื่นี้ด้วยเถิด”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกราวกับว่าศีรษะนั้นกระแทกลงมาบนหัวใจของนาง ทำให้นางเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเป่ยเหลียนโม่จะทำเพื่อนางได้ถึงขนาดนี้
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น เขาประทับอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรพลางมองไปยังพวกเขาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างเป็ระเบียบ เป่ยเหลียนโม่คือบุตรชายที่เขารักที่สุด ทว่ายามนี้กลับยอมกระทั่งสละชีวิตของตนเพื่อสตรีนางหนึ่ง
เขากริ้วเสียจนหัวเราะออกมา ก่อนจะตบโต๊ะทรงอักษรอย่างแรง “ตกลง เจิ้นจะให้เ้าไปตรวจสอบเื่นี้ เจิ้นอยากจะรู้นักว่าเ้าจะสืบพบสิ่งใดอีก หากเ้ากล้าใช้สถานะอ๋องในทางบังคับหรือชักจูง เจิ้นจะลงทัณฑ์เ้าไปพร้อมกับนางด้วย!”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” เป่ยเหลียนโม่น้อมคำนับ ก่อนจะได้ยินฮ่องเต้กล่าวอีกว่า “ไม่ต้องรีบขอบคุณ เื่นี้แพร่ไปถึงหูทั้งฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรทราบโดยทั่วกันแล้ว เหยาเชียนเชียนจำเป็ต้องถูกลงทัณฑ์ชั่วคราว”
ฮ่องเต้ทอดมองคนเบื้องล่างด้วยสายตาเ็า “นางโต้แย้งเจิ้นต่อหน้าราชสำนัก ประกอบกับยามนี้เื่นี้มีหลักฐานชัดเจนแล้ว เจิ้นจะปลดนางเป็สามัญชนและเนรเทศออกจากนครหลวง หากเ้าสืบไม่พบความจริง เหยาเชียนเชียนจะไม่ได้ก้าวเข้ามาในนครหลวงแห่งนี้อีกเลยตลอดชีวิต”
ปลด...
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นยืนทันที เื่นี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างชัดเจน เหตุใดจึงต้องปลดนางออกจากตำแหน่งหวังเฟย!
“เสด็จพ่อ” ทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยโต้แย้ง กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นบนฝ่ามือเสียก่อน เหยาเชียนเชียนเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ให้เขาและส่ายหน้าเบาๆ
ผลลัพธ์นี้ก็นับว่าไม่แย่นัก หากยิ่งโต้แย้งอีกก็เกรงว่าจะมีแต่ยั่วยุให้ฮ่องเต้กริ้วโกรธมากขึ้น และจะทำให้สองพ่อลูกโกรธเคืองกันอีกด้วย
“ขอบพระทัยฝ่าา” เหยาเชียนเชียนโขกศีรษะด้วยความเคารพ จากนั้นก็จูงมือเป่ยเหลียนโม่ที่มีสีหน้าเรียบนิ่งออกจากตำหนักทองคำ
เมื่อเห็นเงาร่างของทั้งคู่จากไปไกลแล้ว ฮ่องเต้จึงกระแทกจอกน้ำชาลงบนโต๊ะทรงอักษรอย่างแรง
“มีความรักลึกซึ้งเช่นนี้ ในอนาคตเ้าจะสามารถทำการใหญ่ให้สำเร็จได้อย่างไร”
เมื่อยามที่เป่ยเหลียนโม่มาวอนขอให้เขาพระราชทานสมรสให้ เขายังคิดว่าเป็เพียงการขัดแย้งกับเป่ยเซวียนเฉิงเท่านั้น สตรีผู้ซึ่งเป็บุตรของอนุคนหนึ่ง ให้เกียรติยกย่องนางเป็หวังเฟยก็ถือเป็พระคุณอันยิ่งใหญ่คับฟ้าแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่านางจะกล้าก่อเื่เหล่านี้
แม้ว่าจะยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเื่ของอวี๋เฟย แต่หากสามารถใช้โอกาสนี้ถอดยศของนางได้ก็ถือว่าเป็โอกาสที่ดีโอกาสหนึ่ง อีกทั้งยังเที่ยงตรงยุติธรรมและสมเหตุสมผล
“เจิ้นยกบุตรสาวอัครมหาเสนาบดีคนหนึ่งให้เป็เช่อเฟยแต่เขากลับปฏิเสธ! คอยเฝ้าแต่สตรีที่เป็เพียงลูกอนุไร้ผลประโยชน์ใดๆ ผู้นั้น การมอบตำแหน่งชายาเอกให้นาง สำหรับโม่เอ๋อร์แล้วจะมีประโยชน์อันใด นางหลอกลวงเขาแล้วยังมองไม่ชัดเจนอยู่อีก!”
เหล่าข้าหลวงต่างพากันเงียบกริบ ฮ่องเต้ทรงลำเอียงรักชิงผิงอ๋อง นี่เป็สิ่งที่ทุกคนล้วนมองออก เพียงแต่ความรักนี้ก็แฝงไว้ด้วยการควบคุมที่มากกว่าบุตรคนอื่นๆ อยู่มาก สองพ่อลูกคู่นี้คล้ายกับกำลังเล่นหมากล้อมอยู่ก็ไม่ปาน และไม่รู้ว่าสุดท้ายผู้ใดจะเป็ฝ่ายชนะ
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยหม่อมฉันไว้เพคะ” เหยาเชียนเชียนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “ขอแจ้งต่อท่านอ๋องตามตรง ในคราแรกหม่อมฉันคิดว่าตัวเองต้องตายแล้วเป็แน่ หม่อมฉันจึงไม่เคยกอดความหวังใดๆ ไว้เลย”
ดังนั้นนางจึงยั่วโทสะฮ่องเต้ไปไม่น้อย ยามนี้เมื่อเหยาเชียนเชียนจะมาคิดถึงการแสดงออกของนางในยามนั้นแล้วนึกกลัวขึ้นมาภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
สำหรับฮ่องเต้ ถ้อยคำเ่าั้เรียกได้ว่าเป็การล่วงเกินอย่างแน่นอน ในคราแรกนางไม่กลัวสิ่งใดด้วยคิดว่าตนใกล้จะตาย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกเป่ยเหลียนโม่ดึงชีวิตกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง ช่างเป็เคราะห์ดีโดยแท้
“เปิ่นหวังได้ยินเสียงตวาดของเสด็จพ่อจากข้างนอกตำหนัก” นางก็ทำให้เขาโกรธเสียจนเวียนหัวเหมือนกัน “เหตุใดเ้าถึงต้องแข็งกร้าวต่อเสด็จพ่อเช่นนั้น เ้าอยากตายจริงๆ หรืออย่างไร?”
เหยาเชียนเชียนเม้มปาก นางรู้ตัวว่ามีความผิดจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เขาอย่างประจบประแจง ก่อนจะทั้งบีบทั้งทุบขาให้ชิงผิงอ๋อง และกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “หม่อมฉันไม่ได้อยากตายนะเพคะ แค่รู้สึกว่าฝ่าาไม่มีทางปล่อยหม่อมฉัน หากต้องร้องขอชีวิตกับฝ่าาอย่างเศร้าโศก เช่นนั้นมิสู้ทำให้สง่างามสักหน่อยดีกว่าเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ยื่นมือไปหยิกใบหน้าของนางและดึงมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง
“เ้าช่างสง่างามยิ่งนัก แต่เ้าก็ทำเปิ่นหวังใแทบแย่”
เป่ยเหลียนโม่ประคองใบหน้าเล็กเอาไว้ เมื่อกล่าวคำดีๆ เสร็จสิ้นแล้วจึงลูบไล้ใบหน้าเล็กอีกสองสามครั้งและยอมปล่อยนาง ก่อนที่เหยาเชียนเชียนจะกล่าวต่อว่า “ต้องขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ได้ เพียงแต่ว่าต่อไปนี้หม่อมฉันไม่สามารถดูแลอาเหยียนได้แล้ว โปรดท่านอ๋องดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะเพคะ”
ชิงผิงอ๋องจ้องมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น
“ไม่เป็ไร แค่ไม่ต้องเข้านครหลวงเท่านั้น ผู้ใดบอกว่าเปิ่นหวังและหวังเฟยจะพบกันไม่ได้เล่า?”
