แคว้นเทียนกู่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของมหาราชวังอันใหญ่โต ภายใต้การปกครองของหวงต้ากวงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ย้อนกลับไปนับร้อยปี แคว้นเทียนกู่ได้สิ้นอำนาจลง ประชาชนเรือนแสนจึงขาดผู้นำ เหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลายไร้ที่พึ่ง แลหันมา่ชิงอำนาจกันเองเพื่อการเป็ใหญ่ ความวุ่นวายปั่นป่วนกินเวลานานไปนานหลายฤดู ทว่าการ่ชิงอำนาจยังไม่สิ้นสุด แลผู้คนล้มตายยอดอยากเป็จำนวนมาก
ยามนั้น หวงฝ่ากวาน ผู้มีศักดิ์เป็ทวดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีอำนาจเบ็ดเสร็จในหลายแคว้นเล็งเห็นความทุกข์ยากของผู้คน จึงได้สั่งให้องค์ชายสามนามว่า หวงเฟยชวี่ มาปกครองแคว้นเทียนกู่ และสถาปนาให้รับตำแหน่งเป็ผู้ปกครองแคว้น
นับจากนั้นมาสืบมาเป็ร้อยปียศตำแหน่งของตระกูลหวงได้ถูกลดทอนอำนาจลงจากรุ่นสู่รุ่น เป็เพียงพ่อค้าประจำแคว้นเทียนกู่เท่านั้น หาใช่ผู้ปกครองแคว้นเฉกเช่นร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งทางการได้แต่งตั้งขุนนางเข้ามาดูแลแคว้นเทียนกู่แทน
ภายในจวนของตระกูลหวงมีป้ายบรรพชนที่สลักนามของ หวงเฟยชวี่ ไว้บนสุด ทุกคนในบ้านต่างรู้ว่าบรรพบุรุษได้สืบเชื้อสายมาจากฮ่องเต้องค์ก่อน ๆ จึงทำการดูแลและจัดงานรำลึกถึงบรรพชนในทุก ๆ ปีไม่เคยขาด ก่อนเสียงจุดประทัดในวันขึ้นปีใหม่จะดังขึ้นพร้อมกันเกือบทุกหลัง แล้วตามด้วยเด็กเล็กร้องไห้งอแงเพราะกลัวเสียงของประทัดนั้น
หวงไป๋หลานนายหญิงตระกูลหวงกำลังจัดข้าวของต่าง ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับบ่าวไพร่ในจวนพากันสวมชุดสีแดงเพื่อเป็สิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่
“ทั้งหมดเรียบร้อยดีแล้วฤาไม่” น้ำคำหวานเอ่ยขึ้น ก่อนที่หญิงรับใช้จะค้อมตัวลงเล็กน้อย
“เรียบร้อยดีแล้วเ้าค่ะนายหญิง” หญิงกลางคนพยักหน้า พลางหันกลับมายังป้ายบรรพชนที่ตั้งเด่นหราอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้มประสานมองตรงไปยังสามี ก่อนเขาจะเข้ามาทำความเคารพบรรพบุรุษเพื่อแสดงความกตัญญู
โคมไฟสีแดงนับร้อยเรียงรายไปตามทางเดินของถนนในตลาด เสียงเรียกขานของบรรดาเหล่าแม่ค้าพาให้บรรยากาศใน่เทศกาลขึ้นปีใหม่คึกคักกว่าที่เคย
ในขณะที่ชาวเมืองกำลังยิ้มแย้มมีความสุขอยู่นั้น แม่ค้าคนหนึ่งได้ส่งเสียงโวยวายโดดเด่นออกมา จนผู้คนพาแตกตื่นกันมองไปยังนางเป็จุดเดียวกัน เห็นแม่ค้าผู้นั้นกำลังเอาไม้ไล่ตีหัวขโมย ที่บังอาจฉกไก่ต้มไปทั้งตัว แม้เท้าของนางมีอาการาเ็แต่ก็รวบรวมกำลังที่มี วิ่งไล่ฟาดฟันหัวขโมยผู้นั้นไปอย่างไม่ลดละ
“หัวขโมย ช่วยข้าด้วย ช่วยจับนังหัวขโมยที” หญิงกลางคนวิ่งไล่ไปพร้อมกับะโดังลั่น หากแต่ไม่มีใครช่วยได้ นางติดตามหัวขโมยปริศนาได้สักระยะ แต่ด้วยอาการาเ็ที่เท้า จึงทำให้ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ อีกทั้งหัวขโมยว่องไวรวดเร็วปานสายฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไป หญิงกลางคนหลับตาลงแล้วยืนหอบครู่หนึ่ง
“หากข้าจับตัวเ้าได้เมื่อใด จักฉีกเนื้อเ้าออกเป็ชิ้น ๆ นังหัวขโมยชั้นต่ำ” หญิงกลางคนอาฆาตด้วยความโกรธ หลังจากพูดจบ จึงถอดใจแล้วกลับไปร้านด้วยอาการกะเผลกไม่สู้ดีนัก ท่ามกลางเสียงประทัดยังคงจุดเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกความสุขของผู้คนในเมืองได้เป็อย่างดี
ถัดจากตัวเมืองอันกว้างใหญ่ออกไปได้ไม่ไกลนัก หัวขโมยก็วิ่งลัดเลาะกลับมายังศาลเ้าร้างแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาเร้นห่างจากผู้คน หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดปี ถกผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับดอกเหมย นางมีดวงตากลมโตแลขนตาเป็แพยาว เรียวปากจิ้มลิ้มอมชมพู อีกทั้งผิวกายขาวละเอียดผุดผ่อง แม้อาภรณ์ที่สวมใส่จะขาดวิ่นด้วยเพราะเป็ชุดที่นางขโมยมาเมื่อหลายปีก่อน
หลันฮวาค่อย ๆ ล้มตัวลงนั่งหอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้กับศาลเ้านั้น พลางจับไก่ต้มที่ได้ขโมยมาขึ้นมอง แล้วจับคอมันตั้งขึ้น
“วันนี้ผู้คนในเมืองต่างมีความสุข คงมีเพียงข้ากับเ้าเท่านั้นกระมัง ที่มิได้รู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เท่าใดนัก แต่เอาล่ะ วันนี้ข้าก็ขอบใจเ้า ที่เสียสละชีวิตเพื่อให้ข้าได้ลิ้มรสหวาน ๆ” หญิงสาวใช้มือจิ้มไปหัวของไก่ต้มตัวนั้น แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข สายลมกลางหุบเขาพัดโชยมาให้หลันฮวาพอมีแรงลุกขึ้นเดินกลับไปยังศาลเ้า
หลังจากเข้ามาในศาลเ้าซึ่งใช้เป็ที่หลบภัย หลันฮวาหันมองดูให้แน่ใจ เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดตามมาจึงรีบปิดประตูศาลเ้าในทันที นางเดินกลับเข้ามานั่งลงบนกองฟางพร้อมกับไก่ต้ม
“นาน ๆ จักได้กินอาหารเลิศรสเช่นนี้ ขอข้ากินให้จุใจทีเถิด” นางยกไก่ขึ้นมาอย่างไม่รีรอ แล้วกัดกินด้วยความหิวโหย ร่างบางนั่งแทะไก่ทั้งตัวด้วยความเอร็ดอร่อย
ภายในศาลเ้าที่เก่าจนไม่รู้ว่าจะพังลงมาเมื่อใด นางใช้เป็ที่หลบฝนและผู้คนมานานหลายปี หลายครั้งนางนึกโกรธชะตาของตัวเอง ที่กลายเป็หัวขโมยให้ผู้อื่นสาปแช่ง แต่ด้วยความอดอยาก หากไม่ทำเช่นนี้มีฤาจะรอดชีวิตมาได้
หญิงสาวยังคงมีความสุขอยู่กับรสชาติของไก่ต้ม นางใช้ฟันฉีกแล้วเคี้ยวกลืนในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งของหลายอย่างที่กองอยู่ด้านในนั้น ล้วนเป็สิ่งที่นางขโมยมาทั้งสิ้น ด้วยความอยู่รอดและขาดการอบรมจึงทำให้หลันฮวามีนิสัยโกหกแลปลิ้นปล้อนจนไม่น่าคบหา
