ความขุ่นข้องใจบนใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานช่างปรากฎให้เห็นชัดเจนเหลือเกิน
“เธอต้องปลงหน่อยนะ อัจฉริยะเขาไม่ค่อยเหมือนพวกเรา...”
เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานอุตส่าห์คิดว่าจี้เจียงหยวนอีคิวสูง แต่ฟังดูเขาพูดเข้าสิ!
“นักศึกษาจี้ ฉันจะกลับไปอ่านหนังสือแล้ว เธอเดินเล่นในสนามตามสบายเถอะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานจากไปอย่างไม่อ้อมค้อม สีหน้าของจี้เจียงหยวนกลายเป็เกิดความสนใจขึ้นมา น่าบันเทิงดีทีเดียว นี่คือกำลังโกรธที่จัดให้เธออยู่ในประเภท ‘คนธรรมดา’ ? เฮ้อ สหายเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จักแยกแยะเลยจริงๆ เป็อัจฉริยะแล้วมีอะไรดี เป็มนุษย์ธรรมดาจะมีความสุขขนาดไหนกันนะ?
อัจฉริยะจะล้มเหลวไม่ได้
อัจฉริยะไม่ว่างมีความรัก!
ถ้าความกระทบกระเทือนใจที่หนิงเสวี่ยมอบให้ในคืนนี้ทำให้สหายเซี่ยเสี่ยวหลานมุ่งมั่นเดินหน้าเข้าสู่วิถีอัจฉริยะ เช่นนั้นก็น่าเบื่อแย่น่ะสิ
จี้เจียงหยวนถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยากพลางเดินกลับหอพัก
เขานึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะเอาอย่างหนิงเสวี่ย สละชื่อเสียงจอมปลอมทุกอย่าง และสู้สุดใจขาดดิ้นกับหนิงเสวี่ยอย่างตัวต่อตัวในด้านเฉพาะทาง
วันต่อมา ช่างเหนือความคาดหมายของจี้เจียงหยวนยิ่งนัก เขากลับได้ยินข่าวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ตัวแทนของสาขาสถาปัตยกรรม เข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่นกับตัวแทนคนอื่นอย่างเปิดเผย... จี้เจียงหยวนอึ้งอยู่นานก่อนจะหัวเราะดังลั่น
ถ้อยคำมากมายของหนิงเสวี่ยก่อให้เกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม?
ใช่ หนิงเสวี่ยเป็คนจิตใจแน่วแน่มาก
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็ดูล่อลวงยากใช่ย่อย ไม่น่าเปลี่ยนแปลงความคิดง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของผู้อื่น
ความรู้สึกซึ่งสลักไว้อย่างลึกซึ้งที่สุดหลังจี้เจียงหยวนกลับประเทศมาก็คือนักเรียนในจีนมีปณิธานอันแรงกล้ากว่าในอเมริกา อาจเป็เพราะความขาดแคลนทางวัตถุ จึงทำให้นักเรียนจีนมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนได้มากกว่า ส่วนนักเรียนอเมริกันวัยสิบกว่าปีกำลังสนุกสนานกับชีวิตในรั้วโรงเรียนอย่างแน่นอน มีเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่จะวางแผนอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจน ทว่านักเรียนจีนอายุเท่ากันกลับรู้ว่าการสอบเกาเข่าสามารถพลิกผันชีวิตได้ รู้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากการมีภูมิลำเนาชนบท และนับจากนี้เป็ต้นไปพวกเขาก็จะถือ ‘ชามข้าวเหล็ก’
----------------------------------------
ถูกอัจฉริยะหมั่นไส้เข้า มันช่างสะกิดใจของเซี่ยเสี่ยวหลานเหลือเกิน
แต่ความรู้สึกนี้ไม่ถึงขั้นทำให้เธอ ‘ตรัสรู้’ ภายในชั่วข้ามคืน
เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่อัจฉริยะ ดังนั้นเธอและหนิงเสวี่ยได้เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน
ผู้ได้รับพรจาก์อย่างหนิงเสวี่ยคนนี้ไม่จำเป็ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง มุ่งมั่นตั้งใจศึกษาในขอบเขตความรู้เฉพาะทางเพื่อพัฒนาตนก็เพียงพอแล้ว
แต่สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่ได้ เธอไม่มีปู่ชื่อ ‘หนิงเยี่ยนฝาน’ และเงินทองคือสิ่งที่ให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยแก่เธอเหนือกว่าความรู้ทางสถาปัตยกรรม หรือกระทั่งเื่กระจุกกระจิกที่หนิงเสวี่ยคิดว่าเป็แค่ชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้น—เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจปฏิเสธได้ การที่หนิงเสวี่ยคิดว่ามันคือเกียรติยศเทียม นั่นก็เป็เพราะหนิงเสวี่ยมีชื่อเสียงของจริงซึ่งจับต้องได้มากกว่าอยู่แล้ว ปฏิบัติตนอย่างอิสระเสรีได้ ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับความรู้สึกของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนรอบกายจะเชิดชูความเป็อิสระของหนิงเสวี่ยโดยอัตโนมัติด้วยซ้ำ
แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานเล่า?
เธอจำเป็ต้องใช้ ‘กิตติศัพท์จอมปลอม’ มาพิสูจน์ตนเอง ช่วยเธอให้พ้นจากข่าวลืออันแสนยุ่งเหยิงนั้น
เธอเองก็อยากใช้ชีวิตตามใจปรารถนาในมหาวิทยาลัยหัวชิงบ้าง ไม่ต้องสนใจความคิดเห็นของคนอื่น อยากกินอะไร อยากแต่งตัวอย่างไร ไม่ต้องลดมาตรฐานของตนลง!
ทว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
นี่คือเป้าหมายของเธอ เมื่อถึงเวลาที่เธอพิสูจน์ตนสำเร็จ ถึงจะเป็เวลาที่เธอมีอิสระมากขึ้น เธอต้องพิสูจน์ตนเองว่าเธอเป็คนเก่งคนหนึ่งก่อน โดยไม่ใช่การใช้ ‘คะแนนสอบเกาเข่า’ ประกาศ สิ่งนี้ไม่สามารถเป็ใบผ่านทางตลอดชีพได้
แม้หนิงเสวี่ยถอนตัวออกจากการคัดเลือก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับเข้าร่วมด้วยความกระตือรือร้น
เธอปรึกษาอาจารย์ในสาขาอย่างแข็งขัน อาจารย์ในสาขาย่อมเอ็นดูเธอมากเป็ธรรมดา อาจารย์ให้เธอไปร่วมกล่าวสุนทรพจน์ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกขัดเขินแม้แต่น้อย เธอยืนยันบทสุนทรพจน์กับอาจารย์ในสาขาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อสู้อย่างเต็มที่กับตัวแทนจากสาขาอื่นมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทำให้เธอได้รับตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่น’ นี้จริงๆ !
มีเกียรติบัตร มีถ้วยรางวัล แต่ไม่มีเงินรางวัล
ณ เวลานี้ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ในหนึ่งสัปดาห์นี้ของเซี่ยเสี่ยวหลาน นอกจากเข้าเรียน ก็วุ่นอยู่กับเื่นี้เื่เดียว
“เลี้ยงข้าว ต้องเลี้ยงข้าว!”
“ที่โรงอาหารหนึ่งมื้อ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานมองเหล่าเพื่อนร่วมหอด้วยแววตาเหยียดหยาม ไม่มีเงินรางวัล หมายความว่าจะให้เธอควักเงินเลี้ยงด้วยตัวเองไม่ใช่หรือไร
ซูจิ้งะโดัง “เซี่ยเสี่ยวหลาน เดี๋ยวนี้เธอขี้เหนียวขึ้นทุกวันแล้วนะ!”
“อย่างฉันนี่เรียกว่าไม่แปลกแยกจากคนหมู่มากหรอก!”
“เช่นนั้นฉันเลี้ยงแทนเสี่ยวหลานแล้วกัน เงินอุดหนุนที่ฉันขอมาถึงแล้ว”
พี่ใหญ่หยางหย่งหงเอ่ยปากเสนอตัวด้วยรอยยิ้มกว้าง
เธอร่าเริงเบิกบานทั้งวัน น้อยนักที่จะเห็นเธอตอนหดหู่อมทุกข์ เงินอุดหนุนนักศึกษาของหัวชิงจำแนกออกเป็หลายระดับ ต่ำที่สุดคือ 5 หยวน สูงที่สุดคือ 22 หยวน หยางหย่งหงมีฐานะทางบ้านลำบาก การขอทุนอุดหนุนระดับหนึ่งจึงสำเร็จ ทุกเดือนเธอได้รับเงิน 20 หยวน เงินอุดหนุนงวดแรกถูกจ่ายให้หยางหย่งหงเรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าเลี้ยงอาหารเพื่อนนักศึกษาร่วมห้องพักหนึ่งมื้อยังพอรับไหว
เงินอุดหนุนที่จ่ายทุกเดือนประเภทนี้เป็สิ่งที่นักศึกษาทุกคนสามารถขอได้
ทว่าจะอนุมัติเฉพาะกรณีที่ฐานะทางการเงินของครอบครัวลำบากเกินกว่าที่จะรับผิดชอบค่าครองชีพของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
คนปักกิ่งอย่างซูจิ้งและลหฺวี่เยี่ยน ครอบครัวไม่ได้ลำบากยากแค้นนี่นา พวกเธอย่อมตระหนักที่จะไม่สมัครด้วยตนเองแน่นอน
ในหมู่สมาชิกห้อง 307 มีเพียงหยางหย่งหงและหวงเวยเวยที่สมัคร หลังตรวจสอบสถานะครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ก็สำเร็จในการขอทั้งคู่
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ทะเบียนบ้านชนบท ถ้าเธอเข้ามหาวิทยาลัยมาและแสร้งทำตัวยากจน ก็สามารถสมัครขอเงินอุดหนุนได้เหมือนกัน... ทว่าการทำเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าช่างน่ารังเกียจเหลือทน เธอไม่ขัดสนเงินส่วนนี้เสียหน่อย อีกทั้งนี่ไม่ใช่ทุนการศึกษา มันคือเงินที่รัฐอุดหนุนให้นักศึกษาผู้มีฐานะยากจน การรับผลประโยชน์จากตรงนี้ไม่ทำให้ร่ำรวย แต่จะกระทบต่อการสมัครของนักศึกษาคนอื่น
“พี่ใหญ่ ฉันไม่เคยได้ยินว่าสามารถเลี้ยงแทนคนอื่นได้ด้วยนะ แผนร้ายของซูจิ้งบรรลุแล้ว ฉันยินยอมที่จะเลี้ยง”
หยางหย่งหงจริงใจเกินไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้แค่เลือกะโลง ‘หลุมพราง’ เอง
จะเลี้ยงอะไรดีเล่า?
สุดสัปดาห์ใบเฟิ่งของเซียงซานกำลังแดงพอดี ซูจิ้งเสนอห้อง 307 ให้จัดท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงสักครั้ง
เธอทำแผนการเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงขึ้นมาหนึ่งชุดอีกด้วย ในนั้นเขียนไว้ว่า ‘ยานพาหนะสำหรับเดินทางคือจักรยาน ออกเดินทางเวลา 7 นาฬิกา จัดการมื้อเช้าในโรงอาหารตามอัธยาศัย ส่วนมื้อกลางวันรับผิดชอบโดยผู้สนับสนุนใจดีอย่างนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน (มาตรฐานต้องไม่ต่ำกว่าซาลาเปาสองลูกต่อคน และเป็ไส้หมู) บ่าย 4 นาฬิกาเดินทางกลับจากเซียงซาน... ’
“เพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง ทุกคนต้องพกอุปกรณ์วาดภาพไปด้วย จุดประสงค์ของการท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้คือการร่างภาพเขาเซียงซานหนึ่งชิ้นให้สำเร็จ!”
ข้อเสนอของเซี่ยเสี่ยวหลานได้รับการยอมรับอย่างเป็เอกฉันท์
งานร่างภาพคือการบ้านที่ทุกคนต้องส่งภายในวันจันทร์นี้ หากทำเสร็จที่เซียงซานได้ย่อมดีที่สุดอย่างแน่นอน
“น้องหกจ๊ะ รางวัลผู้สำเร็จการฝึกทหารดีเด่นที่เธอได้รับนี่ไม่เสียเปล่าเลย ระดับความคิดสูงขึ้นอีกขั้นแล้ว”
ซูจิ้งโยกศีรษะไปมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหยิบหนังสือบนโต๊ะและดึงจดหมายหนึ่งฉบับออกมา “วันนี้ฉันเห็นที่แผนกต้อนรับ เลยเอากลับมาให้เธอ ใครเขียนจดหมายนี่รึ?”
สิ่งที่ซูจิ้งนำมาให้ก็คือจดหมายจากโจวเฉิงนั่นเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานแย่งมาซ่อนไว้ด้านหลัง “นี่ยังต้องถามอีกหรือ เธอกินไก่พะโล้ของใครล่ะ?”
จะประกาศสถานะของโจวเฉิงดีหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานเคยครุ่นคิดเช่นกัน
ถ้าเธอไม่ได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่นนี่ พูดแล้วก็คงจบไป ตอนนี้เธอพยายามสุดความสามารถจนได้รับรางวัล จะพูดออกมาก็ดูพิกล แม้เธอจะรู้ดีว่าโจวเฉิงไม่ได้ช่วยอะไรอย่างแน่นอน
ทว่าคนอื่นเขาไม่รู้นี่นา
นี่ก็คือเหตุผลที่เซี่ยเสี่ยวหลานต้องชิง ‘กิตติศัพท์จอมปลอม’ เหล่านี้ เธอต้องใช้การยอมรับในแต่ละครั้งตีเกราะเหล็กคงกระพันหนึ่งชุดให้ตัวเอง!
ที่มาของไก่พะโล้เป็คดีที่ยังไม่คลี่คลายของห้อง 307 มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เกรงกลัว ‘การทรมานเพื่อดึงคำสารภาพ’ ทั้งหลาย เธอยืนหยัดจะไม่เปิดเผยสถานะของแฟนหนุ่ม จดหมายที่โจวเฉิงส่งให้เซี่ยเสี่ยวหลานลงนามไว้ว่า ‘Z’ ห้อง 307 จึงเรียกเขาว่า ‘นาย Z’ ผู้ลึกลับชวนฝัน
โจวเฉิงบอกในจดหมายว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ต้องรีบร้อนคืนเงินสองหมื่นหยวนนั้นให้เขา เขาตัดสินใจจะยุติธุรกิจบุหรี่ที่ทำร่วมกับคังเหว่ย ตอนนี้ในมือของเขายังเหลือเงินก้อนใหญ่หนึ่งก้อน และได้สอบถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าเขาต้องซื้อบ้านเก็บไว้ทั้งหมดใช่หรือไม่
นาย Z ผู้ชวนฝัน?
เป็นาย Z ที่อวดร่ำรวยชัดๆ !
สำหรับการซื้อบ้าน เธอจะต้องซื้ออสังหาริมทรัพย์สักแห่งในปักกิ่งให้เร็วที่สุด ดูท่าทางแล้วเธอจำเป็ต้องไปพบผู้จัดการใหญ่อู่อีกครั้ง เพื่อคุยเื่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสนับสนุนการสร้างประเทศชาติ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้