“ท่านพี่”
เขาเรียกเสียงเบาราวกับขนนกที่ค่อยๆ ปลิวลงมาสู่พื้นราวกับสะกิดหัวใจของซือคงจวินเย่เบาๆ
ซือคงจวินเย่เดินเข้าไปข้างกายเขาและนั่งลงเคียงกัน อาภรณ์ผ้าแพรสีเงินยวงของเขาและอาภรณ์สีขาวของน้องชายทำให้เกิดความสว่างไสว เขายกมือขึ้นััเส้นผมสีเงินราวม่านน้ำตกของน้องชาย น้ำเสียงอ่อนโยน “อาเซิ่ง กำลังเบื่อหน่ายใช่หรือไม่ จะให้พี่ไปเดินเล่นเป็เพื่อนเ้าหรือไม่”
นิ้วเรียวยาวของซือคงเซิ่งเจี๋ยดีดขึ้นปิดตำราเดินหมาก เขาพูดเนิบๆ “คนข้างนอกยิ่งน่าเบื่อ ไม่สู้นั่งตากลมอยู่ที่นี่!”
ซือคงจวินเย่มองริมฝีปากบางที่เม้มเป็เส้นตรงของน้องชาย นี่คือท่าทางไม่เบิกบานใจ เขาหลุบตาลงและเอ่ยขึ้น “วันนี้ชุมนุมเดินหมากเทียนหยวนมีนัดเดินหมากนัดหนึ่ง เ้าจะไปดูสักหน่อยหรือไม่ รู้ว่าเ้าไม่ชอบไปในสถานที่ที่มีคนมาก ดังนั้นพี่สั่งให้พวกเขาย้ายกระดานหมากมาที่นี่ การเดินหมากเพิ่งจะเริ่มขึ้น...”
พูดแล้วเขาก็หันไปโบกมือให้คนด้านหลัง มีคนหลายคนขนย้ายกระดานหมากกระดานหนึ่งเข้ามาวางบนโต๊ะน้ำชาอย่างรวดเร็ว เมื่อกระดานหมากวางลงไปแล้วมีคนสองคนนำหมากดำและขาววางบนกระดาน
ซือคงเซิ่งเจี๋ยกวาดตามองหมากบนกระดานด้วยท่าทีเกียจคร้าน สีหน้าเรียบเฉยมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด ทว่าซือคงจวินเย่รู้ว่าน้องชายยังคงบังเกิดความสนใจต่อหมากกระดานนี้ เพราะน้องชายไม่เคยกวาดสายตามองสิ่งที่ไม่สนใจเกินสามวินาที
ดังนั้นเขาจึงอธิบายต่อ “ผู้ที่เดินหมากดำนั้นเป็นักเดินหมากระดับเจ็ดท่านหนึ่ง ชื่อ หานซื่อหลง เป็รองหัวหน้าชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน ผู้ที่เดินหมากขาวเป็นักเดินหมากมือสมัครเล่นคนหนึ่ง ชื่อ เฟิงเฉี่ยน เป็นางกำนัลคนหนึ่ง”
เขาจงใจหยุดพูดครู่หนึ่ง ด้วยคิดว่าน้องชายอาจจะประหลาดใจกับนางกำนัลที่เป็นักเดินหมากมือสมัครเล่นคนนี้ แต่น้องชายกลับไม่แสดงท่าที
เขาพูดอีกว่า “ได้ยินว่านางกำนัลคนนี้เอาชนะหานซื่อหลงได้สามกระดาน สองกระดานก่อนหน้านี้ล้วนใช้ค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยม กระดานที่สามใช้ค่ายกลเจดีย์คู่...
แววตานิ่งลึกของซือคงเซิ่งเจี๋ยเริ่มมีความเคลื่อนไหวในที่สุด ดวงตาเรียวยาวรูปหงส์นั้นหรี่ลงน้อยๆ “เท่าที่ข้ารู้มาผู้ที่สามารถใช้ค่ายกลเจดีย์สามเหลี่ยมและค่ายกลเจดีย์คู่ในแคว้นเป่ยเยียนมีเพียงสองคน!”
“สองคนหรือ” ซือคงจวินเย่แปลกใจ “แต่เท่าที่ข้ารู้ มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือ ฟางเสีย นักเดินหมากระดับเก้าที่ถูกเ้าเอาชนะราบคาบเมื่อสามปีก่อน!”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะเบาๆ เขาพูดเนิบๆ “ไม่ ยังมีอีกคนหนึ่ง”
“ยังมีอีกหนึ่งหรือ เป็ใครกัน” ซือคงจวินเย่ถาม
ซือคงเซิ่งเจี๋ยสะบัดแขนเสื้อเปลี่ยนอิริยาบถเป็ท่วงทีที่สบายขึ้น เขาพูดเรียบๆ “ศิษย์พี่ของข้าเอง”
“เ้าหมายถึง...” คิ้วกระบี่ของซือคงจวินเย่ขมวดมุ่น แววตาหม่นวูบ
“ถูกต้อง ผู้ที่ข้า้าท้าประลองที่แท้จริงคือเขา!” ซือคงเซิ่งเจี๋ยพูดด้วยท่าทีเอาการเอางานอย่างหาได้ยาก วินาทีถัดมาเขาก็กลับไปเป็มนุษย์หิมะเช่นเคย “ฟางเสียเป็แค่นักเดินหมากที่พ่ายแพ้ มีความจำเป็อันใดที่ข้าต้องเดินทางเป็พันลี้ไปประลองด้วย”
ซือคงจวินเย่ขมวดคิ้วแน่น “เ้าคิดจะบีบให้เขาเดินหมากกับเ้าหรือ”
“บนโลกนี้นอกจากอาจารย์แล้ว มีเพียงเขาที่คู่ควรเป็คู่ต่อสู้ของข้า!” แววตาเจิดจ้าของซือคงเซิ่งเจี๋ยหม่นแสงลง ความรู้สึกเ็ปจางๆ ในแววตาของเขาถูกปกปิดด้วยดวงตางดงามเป็หนึ่งในไม่มีสอง “แต่จนใจที่เราทั้งสองเข้าเป็ศิษย์ของอาจารย์เพื่อร่ำเรียนการเดินหมาก อาจารย์มีเงื่อนไขให้พวกเราแต่ละคนสวมหน้ากาก ไม่ให้พวกเรารู้โฉมหน้าและฐานะของอีกฝ่าย หาไม่แล้วจะขับออกจากสำนักทันที! ดังนั้นจนถึงบัดนี้ข้ายังไม่เคยเห็นโฉมหน้าและไม่รู้ฐานะของศิษย์พี่ รู้เพียงว่าเขาเป็คนแคว้นเป่ยเยียน”
ซือคงจวินเย่ลูบเส้นผมของเขาเบาๆ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอเพียงเ้า้า พี่จะช่วยให้เ้าสมปรารถนาแน่นอน!”
ชุมนุมเดินหมากเทียนหยวน บนกระดานหมากใหญ่หมากขาวยังคงไม่เคลื่อนไหว ผู้คนที่เข้ามาชมการเดินหมากเริ่มจะรอไม่ไหวบ้างแล้ว
“เหตุใดหมากขาวยังไม่เดินอีก”
“แม่นางเฟิงคงไม่ได้นอนหลับไปแล้วหรอกนะ”
“ข้ารอจนเมื่อยแล้ว!”
มู่ชิงหว่านกลับยินดี
ฮ่าๆ เฟิงเฉี่ยน ในที่สุดเ้าก็จนตรอกแล้ว
เ้าก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ!
ภายในห้องพิเศษ หวง เฟิงเฉี่ยนยังคงอยู่อิริยาบถเดิม ไม่เคลื่อนไหว ยังคงใคร่ครวญ...
องค์ไท่จื่อน้อยกำหมัดเล็กๆ แน่น กลางฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ ลั่วเฟิงเอนกายมากระซิบข้างหูเขาเบาๆ “ไท่จื่อ ดูเหมือนฮองเฮาใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว...”
องค์ไท่จื่อน้อยร้อนรน “เสด็จแม่ไม่มีทางแพ้หรอก!”
ลั่วเฟิงแบมือเล็กๆ “แต่นางคิดมานานขนาดนี้แล้ว...”
แววตาขององค์ไท่จื่อน้อยหม่นแสงลง ศีรษะเล็กๆ ของเขาก็ก้มต่ำไปด้วย “หากเสด็จแม่แพ้ เสด็จแม่ต้องไปจากวังหลวง ข้าจะไม่ได้พบหน้าเสด็จแม่อีก...”
ลั่วเฟิงรู้สึกทุกข์ใจไปด้วย เขาปลอบโยนว่า “องค์ไท่จื่อ ท่านอย่าเป็ทุกข์ไปเลย พวกเรามาช่วยกันคิดหาวิธีดีกว่า!”
องค์ไท่จื่อน้อยพยักหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเมื่อคิดออกแล้ว
ขาเล็กๆ นั้นเหยียดออก เขาะโลงมาจากเก้าอี้ที่นั่งจับจูงมือของลั่วเฟิง ทั้งสองคนออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
ลั่วหยิ่งเห็นเช่นนั้นจึงรีบตามไป เขาไม่ได้เข้าไปถามแต่ตามไปดูห่างๆ
“ไท่จื่อ พวกเราจะไปไหนกันพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเฟิงที่ติดตามไท่จื่ออยู่ด้านหลังถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
องค์ไท่จื่อน้อยยิ้มจนดวงตาโค้งลง ทว่าไม่ได้ตอบ เขาเดินมุ่งหน้าต่อไป
เดินผ่านห้องส่วนตัวอีกหลายห้อง และเดินอ้อมระเบียงทางเดินคดเคี้ยวมาอีก คนทั้งสองมาถึงประตูห้องพิเศษ เสวียน หน้าประตูมีชายหนุ่มของชุมนุมเดินหมากสองคนเฝ้าอยู่ คนเฝ้าประตูยื่นมือออกมาขวางพวกเขา
“คุณชายน้อยทั้งสองท่าน ท่านาุโหานเดินหมากอยู่ด้านใน คนนอกห้ามเข้า!”
องค์ไท่จื่อน้อยไม่ได้ใส่ใจเขาแต่กลับยื่นหน้าเข้าไปเมียงมองแล้วะโเข้าไปในด้านใน “ไท่ฟู่ ข้าและลั่วเฟิงมาให้กำลังใจท่าน ท่านรีบเปิดประตูสิ!”
ลั่วหยิ่งที่ตามมาด้านหลังถึงกับเกือบล้มลงเพราะขาพันกัน บรรพบุรุษตัวน้อยของข้า เขายังคิดอยู่ว่าเด็กน้อยสองคนวิ่งมาทางนี้ทำอันใด ที่แท้มาเพื่อปฏิบัติภารกิจกู้ชาตินี่เอง เขาตั้งใจมาก่อกวนคู่ต่อสู้!
สุดยอด! องค์ไท่จื่อน้อยสุดยอดจริงๆ!
ทรงสืบทอดนิสัยหน้าหนาและจอมเกเรมาจากฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่มีตกหล่น
อีกทั้งยังมีทีท่าว่าจะล้ำหน้ากว่าเสียด้วย!
หานไท่ฟู่ที่อยู่ในห้องพิเศษได้ยินเสียงของไท่จื่อน้อย เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนหน้าเขียว “เ้าเด็กน้อยสองคนนี้มาทำอันใดที่นี่ นี่มิใช่มาก่อความวุ่นวายหรอกหรือ”
ขณะที่กำลังจะสั่งให้หลานสาวจับเด็กน้อยสองคนนั้นโยนออกไป พลันได้ยินเสียงไท่จื่อน้อยะโอยู่ด้านนอกอีกว่า “ไท่ฟู่ ท่านรีบออกมาเถิด! พวกเรารู้แล้วว่าผู้ที่เดินหมากมิใช่ท่าน แต่ท่านวางใจ พวกเราไม่บอกผู้อื่นหรอก!”
หานไท่ฟู่ใจนหลั่งเหงื่อเย็นท่วมตัว รีบวิ่งออกไปจากห้องพิเศษลากเด็กน้อยสองคนนั้นเข้ามา เขาถลึงตาใส่พวกเขาแลเพูดเสียงเบา “พวกเ้าผีน้อยสองคน คิดจะให้คนทั้งหมดได้ยินหรือไร”
ดวงตาของไท่จื่อน้อยกวาดตามองคนทั้งหมดที่อยู่ด้านในด้วยสายตาประเมิน มือทั้งคู่ประสานกัน เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ด้วยตัวเอง ขาเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยเนื้อนั้นแกว่งไปมา “พวกท่านตั้งหลายคนรังแกแม่ข้า...รังแกแม่นางเฟิงเพียงคนเดียว พวกท่านไม่รู้จักละอายแก่ใจบ้างหรือ”
พูดแล้วก็ยกนิ้วมืออวบๆ เกาบนใบหน้าเบาๆ แล้วแลบลิ้นปลิ้นตา ทำหน้าผีใส่ทุกคนอย่างน่าเอ็นดู
ทว่าใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับเชิดขึ้นด้วยความภาคภูมิ “แต่แม่นางเฟิงบอกแล้วว่าไม่ว่าพวกท่านคนใดเดินหมาก หมากกระดานนี้นางชนะแน่นอนแล้ว!”
“น้องชาย เ้าไม่รู้เื่การเดินหมากกระมัง หรือเ้ามองไม่ออกว่าพี่หญิงเฟิงของเ้ากำลังจะจนตรอก หมดหนทางแล้ว”
“น้องชาย ความมั่นใจเป็ข้อดี แต่หากมั่นใจแบบไม่ลืมหูลืมตานั้นกลายเป็ข้อเสีย”
“ฮ่าๆๆ...”
“น้องชาย เ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่เดินหมากกับแม่นางเฟิงเป็ใคร”
องค์ไท่จื่อน้อยไม่โมโหและไม่อาละวาด เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ารู้สิ!”