หานลั่วอี้บอกเยว่ฉีนำหยกิญญาไปขาย ทั้งยังแนะนำร้านที่ไว้ใจได้ให้ด้วย
วันนี้เยว่ฉีมีแผนจะเดินทางไปขายพืชิญญาในเมืองพร้อมกับเพื่อนบ้านทั้งสอง นางจึงตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเตรียมอาหารรวมไปถึงยาสำหรับหานลั่วซาน
เช่นเดียวกับเมื่อวานก่อนจะออกจากบ้านนางเตรียมน้ำแห่งชีวิตให้หานลั่วอี้หนึ่งขวด ดูจากที่อีกฝ่ายมีทีท่าคล้ายรอคอย ยามขวดหยกปรากฏตรงหน้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า น้ำแห่งชีวิตมีประโยชน์ต่อสามีจริง
เท่านี้ก็ยืนยันคำพูดของผู้าุโได้แล้ว
ผู้าุโิยังบอกกับนางอีกว่าหลังผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนให้เพิ่มปริมาณน้ำแห่งชีวิตในตอนที่เจือจาง จากเดิมหนึ่งหยดต่อหนึ่งถ้วยก็เพิ่มเป็สองหยดต่อหนึ่งถ้วย ทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายหานลั่วอี้ปรับตัวเข้ากับความพิเศษของน้ำแห่งชีวิตอย่างช้า ๆ
เยว่ฉีย้ำกับสามีเื่ลั่วซานอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากประตูบ้าน อีกฝ่ายเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าประตูมองส่งนางขึ้นรถเทียมลาของหมู่บ้านจนลับตาถึงได้ถอนสายตากลับ ปิดประตูลงเข็นรถกลับเข้าบ้าน
ทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของใครบางคน คนคนนั้นแอบมองจนเป้าหมายลับสายตาถึงได้ถอยออกมา
ทำไมพืชิญญาที่เก็บได้เมื่อวานจึงต้องมาขายในวันต่อมา ความจริงแล้วมีสาเหตุอยู่ ด้วยรถเทียมลาจะเดินทางออกจากหมู่บ้านเพียงเที่ยวเดียวต่อวัน ทำให้ไม่สามารถออกมาขายพืชิญญาภายในวันนั้น ๆ ได้ต้องรอวันต่อไป
นอกเสียจากว่าจะมีรถเทียมลา รถเทียมควาย หรือรถเทียมม้าเป็ของตนเองถึงจะสามารถเข้าออกหมู่บ้านได้ตาม้า หากไม่มีก็ต้องรอเที่ยวรถของหมู่บ้าน หรือไม่ก็เดินเท้า
ระหว่างที่ทั้งสามคนนั่งอยู่บนรถเทียมลาก็มีสายตาชาวบ้านหลายคนมองมา บางคนจ้องเยว่ฉีอย่างเปิดเผยก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบเสียงเบา บางคนเหลือบมองเล็กน้อยไม่ให้จับได้
แต่ก็มีบางคนที่ใจกล้ามากหน่อยเอ่ยถามหลัวหรูท่าทางสนิทสนม
“สะใภ้เฟิงวันนี้ก็ออกไปขายพืชิญญาหรือ?” หลัวหรูยิ้มบางตอบ
“เป็เช่นนั้น”
“เก็บพืชิญญาได้เยอะหรือไม่? ให้ข้าดูบ้างได้ไหม” คราวนี้หลัวหรูยิ้มบางไม่เอ่ยคำ เหลือบตามามองเยว่ฉีก่อนจะถอนสายตากลับไปแล้วเอ่ย
คนถูกมองเพียงขมวดคิ้วสงสัยไม่เอ่ยคำใด ผินหน้าออกไปมองด้านนอกให้ลมเย็นสบายยามเช้าพัดผ่านใบหน้า
“ใช่ว่าข้าไม่สามารถอยากให้พวกท่านดู เพียงแต่ว่าพืชิญญาที่เก็บได้เมื่อวานพิเศษอยู่เล็กน้อยจึงไม่อาจนำออกมาให้ดูได้” มนุษย์ส่วนมากล้วนอยากรู้อยากเห็น ยิ่งกับสตรีตรงหน้าแล้วด้วย พอหลัวหรูกล่าวเช่นนี้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนาง จึงรีบเอ่ยขึ้นอีกประโยค
“พิเศษมากอันใด คนกันเองทั้งนั้นคงมิใช่ว่าเ้า้าวางตนขี้เหนียว ไม่้าให้พวกข้าดูกลัวว่าพวกข้าจะไปแย่งอาชีพของครอบครัวเ้า” ฟังมาถึงประโยคนี้ใบหน้าหลัวหรูยังคงประดับรอยยิ้มบาง ๆ ต่างจากเยว่ฉี นางได้แต่ส่ายหน้าให้กับความหน้าหนาของสตรีผู้นั้น คนเขาก็บอกออกจะชัดเจนว่าไม่้าให้ดูนางยังจะแสร้งทำเป็ไม่รู้อีก
“สะใภ้ฉิง ยิ่งเป็คนกันเองก็ยิ่งต้องเกรงใจมิใช่หรือ? หากข้าขอดูของที่ท่านไม่้าให้ดูท่านจะยอมนำออกมาให้ข้าดูทันทีหรือไม่ อีกอย่างข้าหาได้กลัวพวกท่านแย่งอาชีพ หากพวกท่านมีความกล้า มีโชควาสนาล้วนสามารถขึ้นเขาไปลองเสี่ยงดูได้” ตลอดการพูดจาใบหน้าหลัวหรูมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอด
คนที่นางพูดด้วยคือ เผยลู่ หลานสาวของหญิงชราที่กล่าวคำพูดไม่ดีต่อหน้าเยว่ฉี
มาวันนี้การที่นาง้าอยากรู้เื่พืชิญญาทั้งยังไม่ลดละความพยายาม ส่วนหนึ่งคงมาจากความขุ่นข้องหมองใจของหญิงชรา
้าให้เพื่อนบ้านคนอื่นเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อครอบครัวนาง ทว่าหลัวหรูหาได้สนใจ ขอเพียงไม่ทำเื่ผิดศีลธรรมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านไม่มีทางขับไล่ครอบครัวนางออกจากหมู่บ้าน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านนั้น...อย่างที่รู้ ๆ กันบางคนคบหาห่าง ๆ หน่อยย่อมดีกว่า
คนถูกย้อนใบหน้าเจื่อนลงแต่กลับไม่ยอมแพ้ในเมื่อจัดการหลัวหรูไม่ได้ก็หันมาหาเยว่ฉี
“แม่นางคนที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่” ขนาดชื่อยังไม่รู้กลับอยากจะพูดคุยด้วย เยว่ฉีได้ยินเสียงเรียกของนางแต่เลือกจะเมินเฉย จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยเรียกเสียงดังขึ้นหนึ่งระดับ นางจึงค่อย ๆ ผินหน้ากลับมาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
“แม่นางเรียกข้าหรือ?”
“คนที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่จะมีใครได้อีกนอกจากแม่นาง” เผยลู่กัดฟันพูดยิ้ม ๆ เยว่ฉีทำเพียงพยักหน้าเข้าใจ คิดจะหันกลับไปมองวิวด้านนอก
ทว่ายังไม่ทันที่สายตาจะได้ยลโฉมธรรมชาติเสียงแสบหูไม่น่าฟังก็ดังขัดจังหวะขึ้นก่อน
“แม่นางผู้นี้คนเขาพูดด้วยเหตุใดถึงได้ทำตัวไร้มารยาท” เยว่ฉีก็หาใช่คนที่ยอมให้คนอื่นรังแก นางหันไปมองยิ้ม ๆ เป็รอยยิ้มที่ทำให้คนพูดเสียวสันหลัง
แต่เพราะมีคนอยู่มากนางจึงต้องข่มความขลาดกลัวเอาไว้ จ้องหน้ากลับไป
“หากน้ำเสียงที่แม่นางกล่าวและท่าทีที่แสดงออกมาเป็มิตรมากกว่านี้เล็กน้อย ข้าคงจะใช้สิ่งที่เรียกว่ามารยาท แต่ในเมื่อแม่นางยังไม่คิดจะใช้มารยาทมาพูดคุยกับข้า แล้วข้าต้องใช้มารยาทกับแม่นางด้วยหรือ? ถือสิทธิ์อันใด!” น้ำเสียง ท่าทาง แววตา ทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ทว่ากับทำให้อีกฝ่ายขนลุกไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่กล้าสบสายตา
เผยลู่พ่ายแพ้แต่ไม่ยินยอม ความอับอายที่นางได้รับในวันนี้จะต้องเอาคืนให้จงได้!!
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอันใดออกมาอีก...
ไม่สิต้องบอกว่าไม่มีใครกล้าพูดอันใดออกมาเสียมากกว่า เพราะเกรงกลัวบรรยากาศเย็นเยียบรอบกายหญิงสาวตัวน้อย
ยกเว้นก็เพียงครอบครัวเฟิงที่มองเยว่ฉีตอกกลับเผยลู่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เด็กสาวผู้มากด้วยรอยยิ้มเป็กันเอง มาตอนนี้กลับให้ความรู้สึกดั่งเสือร้ายที่ก้าวออกมาจากถ้ำ
เป็ความประหลาดใจที่ชื่นชอบ
หลัวหรูกระตุกยิ้มหลังตั้งสติได้ โน้มหน้าลงไปกระซิบข้างหู
“สตรีผู้นั้นคือหลานสาวของหญิงชราคนเมื่อวาน” ความสงสัยที่ว่าเหตุใดนางถึงเข้ามาหาเื่พลันสลายหายไป
ยายจัดการไม่ได้จึงส่งหลานมาสินะ เด็กน้อยเสียจริง
หลังผ่านความเงียบสงบตลอดทางในที่สุดก็เดินทางมาถึงที่หมาย เมืองโม่ฉียังคงเหมือนเดิมในความทรงจำทว่าความรู้สึกเกี่ยวกับโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปในเวลาเพียงไม่นาน
