หลังจากไขคดีของหวังเจิงเสร็จ บรรดาสตรีและบุรุษหนุ่มก็พากันออกจากวัง เหอกวงเ้ากรมพิธีการก็สั่งให้ลูกน้องกับขันทีทำความสะอาดตำหนักเหวินฮวา
เพียงครู่เดียว คนก็เดินทางออกไปได้พอสมควรแล้ว ใบหน้าสง่างามของเสิ่นจือเหยียนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส “เตี้ยนเซี่ยสามารถไขคดีคนตายได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม ทั้งยังจับคนร้ายตัวจริงออกมาได้ ศาลต้าหลี่ในรัชกาลนี้มีคดีความมากมายดั่งทะเล ยังไม่สามารถไขคดีออกมาได้ไวขนาดนี้ เตี้ยนเซี่ยเป็คนที่แต่ก่อนไม่เคยมี ต่อไปก็ไม่มีทางมี เป็ยอดฝีมือในการไขคดี จือเหยียนขอคารวะ”
ในใจของมู่หรงฉือรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์มาก แต่บนใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ทั้งยังกลอกตามองบนด้วย
มู่หรงฉางหัวเราะโฮะๆ “เสิ่นเซ่าชิง ความสามารถในการประจบของเ้านี่ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ”
เขาอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง แต่ว่ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ “องค์หญิง ที่กระหม่อมพูดมานั้นเป็คำพูดจากใจจริง”
“เ้าเป็คนฉลาดที่สิบปีศาลต้าหลี่จะเจอสักครั้ง ตอนนี้มายอมแพ้ให้กับเสด็จพี่เช่นนี้จะเป็ทำลายชื่อเสียงของเ้าหรือไม่?” นางหยอกเย้า แววตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความรู้สึกมองไปทางมู่หรงอวี้ หวังว่าเขาจะมองมายังตนสักครั้ง ครู่เดียวก็ยังดี แค่นี้นางก็พอใจแล้ว
“จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร? เตี้ยนเซี่ยเฉลียวฉลาดไม่อาจมีใครเทียบ กระหม่อมเดิมเคยร่ำเรียนกับเตี้ยนเซี่ย เื่ทักษะนี้กระหม่อมจะบังอาจไปเทียบกับเตี้ยนเซี่ยได้อย่างไร?” เสิ่นจือเหยียนพูดยิ้มๆ
มู่หรงฉางหัวเราะ แล้วหันไปมองทางมู่หรงอวี้เล็กน้อย
มู่หรงอวี้มองไปยังก้อนเมฆบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ คิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ แววตาเหม่อไปไกล ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
สายลมรุนแรงพัดเข้ามาอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ยิ่งพัดลมก็ยิ่งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดจนเสื้อคลุมสีดำปักลายของเขาพลิ้วไหวไปมาดังพรึ่บพับ
มู่หรงฉือยกยิ้มเย็นอย่างอดไม่ได้ คนแถวนี้วางมาดอีกแล้ว
“ใช่แล้ว จือเหยียน เ้าบอกว่าจะมาดูการแข่งขันมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเพิ่งจะมาเอาตอนจบเล่า?”
“ศาลต้าหลี่มีเื่ด่วนต้องจัดการ แต่กระหม่อมก็มาได้ถูกเวลาไม่ใช่หรือ?” เสิ่นจือเหยียนยิ้มท่ามกลางสายลมแรง
“ดูจากอากาศแล้วฝนคงใกล้จะตก” มู่หรงฉางพูดอย่างอารมณ์ดี “เสด็จพี่ เสิ่นเซ่าชิง ท่านอ๋อง ไปทานอาหารที่ตำหนักจิ่งหงของเปิ่นกงเถิด เปิ่นกงสั่งให้ข้าหลวงเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว”
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่รู้ความคิดของน้องสาว? ดังนั้นจึงตอบว่า “น้ำใจของน้องสาว เปิ่นกงย่อมต้องรับเอาไว้ ท่านอ๋อง จือเหยียนไปทานข้าวด้วยกันเถิด”
เสิ่นจือเหยียนถนัดเื่การชันสูตรศพ เก่งเื่การดูคำพูดและสีหน้าคน สายตาก็แม่นยำมาก
เห็นองค์หญิงจาวฮวามองไปทางอวี้หวางอยู่ตลอด แววตายังแฝงไปด้วยความรู้สึกเขินอาย อ่อนโยน ก็รู้ว่าคนที่นางชอบจริงๆ ก็คืออวี้หวาง เขาเองก็คาดเดาได้ว่าเตี้ยนเซี่ยเองก็มีความคิดจะสนับสนุนองค์หญิงจาวฮวากับอวี้หวาง ดังนั้นจึงยิ้มตาหยีแล้วพูด “ขอบพระทัยองค์หญิง เช่นนั้นกระหม่อมไม่เกรงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้ดึงสายตากลับมา แววตาเหลือบไปมองมู่หรงฉือเล็กน้อย เ็าจนน่าใ “น้ำใจขององค์หญิง เปิ่นหวางขอรับด้วยใจ”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินไปด้านหน้า
สายลมแรงพัดเส้นผมสีดำด้านหลังของเขาให้พลิ้วไหว แขนเสื้อสะบัดไปตามลมราวกับมีเื่ราวภายในใจ
แผ่นหลังอันผ่าเผยแผ่ไอเย็นออกมา ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกขนลุกในใจ
มู่หรงฉางมองดูเขาเดินไป มองเขาขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวแล้วจากไป หัวคิ้วก็กดต่ำลง ริมฝีปากสีชมพูกยกสูงขึ้น พร้อมกับไฟโทสะที่ลุกโหมขึ้นในใจ
“เตี้ยนเซี่ย เช่นนั้นพวกเรายังต้องไปหรือไม่...” เสิ่นจือเหยียนถามเสียงเบา
“หุบปาก” มู่หรงฉือพูดเสียงเบาแล้วกลอกตาใส่ จากนั้นก็พูด “น้องสาว ฝนใกล้จะตกแล้ว ไว้ข้าค่อยไปรบกวนที่ตำหนักจิ่งหงวันหลัง อวี้หวาง...บางทีอาจจะมีฎีกาที่ต้องจัดการมากมาย งานบ้านงานเมืองรอให้เขาไปจัดการ เป็วันอื่นก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นน้องขอตัวกลับก่อนเพคะ” มู่หรงฉางรีบวิ่งไปด้านหน้าพลางสะอื้น
มู่หรงฉือเข้าใจแล้ว ถึงแม้ความเ็า การปฏิเสธของมู่หรงอวี้จะทำให้นางโกรธมาก แต่ที่สลักเข้ากระดูกที่สุดก็ยังคงเป็ความเสียใจ
เสิ่นจือเหยียนแสร้งทำเป็ถอนหายใจ “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี[1]”
มู่หรงฉือถลึงตาใส่เขา ก่อนจะนั่งเกี้ยวกลับตำหนักบูรพา
เขาเดินอยู่ด้านข้างพลางถาม “เตี้ยนเซี่ย ถังฉางเทียนควรถูกปะาตัดหัวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น หรงเฟยเล่า? ฝ่าาจะ...”
นางหลับตาพักผ่อน “เปิ่นกงเองก็ไม่รู้”
หรงเฟยเป็บุตรสาวของหรงกั๋วกงสกุลหรง ส่วนอำนาจของสกุลหรงในราชสำนักไม่อาจดูถูกได้ เสด็จพ่อจะเป็กังวลหรือไม่ก็ยากจะพูด
แต่ว่า ไม่ว่าหรงเฟยจะเป็หรือตาย วังหลังก็ไม่อาจมีหรงเฟยผู้นี้ได้อีกต่อไปแล้ว
...
ฝนตกหนักครั้งนี้มาไวไปไว พอพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาไอชื้นก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
การตายของฟ่านเสี้ยวเหวินกับหวังเจิงทำให้การคัดเลือกราชบุตรเขยกลายเป็เื่ฝังใจ จนถึงขั้นมีครอบครัวบางส่วนขอให้บุตรของตนถอนตัวออกจากการทดสอบนี้
หากกลายเป็ราชบุตรเขย ได้มีความสุขกับเกียรติยศเงินทอง นั่นย่อมเป็เื่ที่ดีมากอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับชีวิตแล้ว แน่นอนว่าชีวิตสำคัญกว่า ตายไปแล้วจะยังสามารถมีความสุขกับเกียรติยศเงินทองได้อย่างไร?
ทว่าการทดสอบรอบสุดท้ายในวันถัดมา ยี่สิบคนที่ผ่านการทดสอบกลับมากันอย่างครบถ้วน
การทดสอบในรอบสุดท้ายยังคงจัดการขึ้นที่ตำหนักเหวินฮวา เหล่าสตรีในครอบครัวขุนนางใหญ่ต่างมาดูการแข่งขันสำคัญครั้งนี้
ยังคงเป็สามคนต่อหนึ่งกลุ่ม สี่คนที่เป็ผู้ชนะก็จะนำผลการตัดสินไปรวมกับการทดสอบวิชาการและส่งให้ฮ่องเต้กับมู่หรงอวี้เลือกคนออกมาสามคน สุดท้ายองค์หญิงจาวฮวากับฝ่าาจะเลือกราชบุตรเขยที่พอใจที่สุดจากสามคนนี้ออกมา
มู่หรงฉือคิดว่ามู่หรงอวี้ไม่มีทางมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาตอนที่การทดสอบดำเนินมาได้ครึ่งทาง
มู่หรงฉางมาดูการทดสอบด้วยความรู้สึกดีใจมาก ความรู้สึกเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน แต่กลับมาไม่เจอเขา ภายในชั่วพริบตาก็เปลี่ยนมาเป็ห่อเหี่ยวในทันที บุรุษพวกนั้นตีกันไปตีกันมาก็เป็กระบวนท่าพวกนั้น นางยิ่งดูก็ยิ่งเบื่อ ร่างกายค่อยๆ ไหลลง หัวก้มลงก่อนจะหลับสัปหงกไป
ทันใดนั้นก็ได้ยินหยวนซิ่วพูดขึ้นที่ข้างหูว่า ‘อวี้หวาง’ มาแล้ว นางพลันเหมือนถูกฉีดยาเข้าหัวใจ รีบกระเด้งตัวขึ้นมา แล้วทำท่าทางอันน่าหลงใหลทันที มือซ้ายยกมือขึ้นลูบผมโดยไม่รู้ตัว เพื่อดูว่าผมยุ่งหรือไม่ ทั้งยังถามหยวนซิ่วที่อยู่ด้านหลัง “เปิ่นกงดูเป็อย่างไรบ้าง? ผมยุ่งหรือไม่? เสื้อผ้าเล่า?”
ดวงตากลับจ้องไปยังบุรุษที่ก้าวเดินมาอย่างมั่นคง ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทางสูงส่งงดงามออกมา
หยวนซิ่วพูดเสียงเบา “องค์หญิงงดงามมากเพคะ”
มู่หรงฉางมองไปทางเขาด้วยความหลงใหล ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะที่ไหน เขาก็มีท่าทางน่าหลงใหลขนาดนั้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ประหลาดที่ทำให้คนหลงใหลวิงเวียน ทำให้นางมองได้ไม่เบื่อ
มู่หรงอวี้ก้าวเดินขึ้นมาบนบันไดหยกท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง
นางหันไปจ้องเขาอย่างไม่อาจละสายตา
มู่หรงฉือรับรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอันร้อนแรงของน้องสาว ก่อนจะยักไหล่อย่างรับไม่ได้ ขนแขนลุกชันไปหมด
ดังนั้นในระหว่างการแข่งขันต่อไป นางจึงกลายเป็เป้าธนูที่ถูกยิงจนพรุนไปหมด ถูกสายตาของน้องสาวแทงเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า จนนางถึงกับอยากจะเปลี่ยนที่นั่งกับน้องสาว แต่ว่านางเองก็รู้ มู่หรงอวี้จะต้องฆ่านางแน่ๆ
สุดท้าย สี่คนที่ชนะก็คือกงจวิ้นหาว หรงชิงถิง หยางเผิงเฟยกับกู้ส่าวเชียน
มีคนมั่นใจ มีคนเป็กังวล ราชบุตรเขยมีเพียงตำแหน่งเดียว คนอื่นๆ ก็ต้องผิดหวังไป
เหอกวงเ้ากรมพิธีการมารายงานผลการทดสอบครั้งสุดท้ายกับมู่หรงอวี้และมู่หรงฉือด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะถูกจับผิดอะไร
มู่หรงอวี้รับสมุดรายชื่อผู้ชนะมา ก่อนจะนั่งเกี้ยวจากไป
มู่หรงฉางที่กำลังคิดว่าจะเชิญเขาไปที่ตำหนักจิ่งหงอย่างไร เห็นเขามาแล้วก็จากไปทันที นางรีบสาวเท้าตามไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลง ใบหน้างดงามราวกับหยกเต็มไปด้วยความเ็ป
“น้องสาว คิดให้ได้เถิด” มู่หรงฉือพูดโน้มน้าว
“ไม่ น้องไม่มีทางยอมแพ้กลางคัน!” มู่หรงฉางยกแขนขวาขึ้น ค่อยๆ กำมือเข้าหากันช้าๆ “ของที่เปิ่นกงอยากได้ เปิ่นกงไม่เคยไม่ได้”
มู่หรงฉือมองความเชื่อมั่นอันแน่วแน่กับแววตาลุกวาวในดวงตาคู่สวยของนางแล้วก็อดใไม่ได้
สีหน้าดุดันของน้องสาวเช่นนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่นางไม่สามารถแยกแยะได้ก็คือ ความรู้สึกที่น้องสาวมีให้กับมู่หรงอวี้นั้น เป็เพราะไม่ได้มาจึงอยากเอาชนะ หรือเป็เพราะเกิดความรู้สึกรักอย่างแท้จริงต่อมู่หรงอวี้ไปแล้วจึงขาดเขาไปไม่ได้ แบบไหนเยอะกว่ากัน? น้องสาวจะทำอย่างไร?
...
ในคืนนั้น หรงเฟยปลิดชีวิตตนเองที่ตำหนัก มู่หรงฉือไปดูมาแล้ว เป็การฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่มีจุดใดน่าสงสัย
ส่วนถังฉางเทียนที่สังหารหวังเจิงจนตายกับเสี่ยวหยงจื่อที่เป็ขันที ก็ถูกตัดสินปะา
วันนี้เองที่มู่หรงฉือได้รับข้อความจากขันที จึงเดินทางไปยังตำหนักชิงหยวน
ระหว่างทาง นางเห็นมู่หรงอวี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักชิงหยวนเช่นเดียวกัน เขาเองก็ได้รับข้อความจากขันทีเช่นกัน
ฉินรั่วถอยไปอยู่ด้านหลังทันที พร้อมเว้นระยะห่างจากเ้านายหนึ่งจั้ง
มู่หรงฉือโบกมือไปด้านหลังสามครั้ง ก็ยังไม่เห็นฉินรั่วรีบเข้ามา
นางไม่อยากจะเดินทางไปพร้อมกับมู่หรงอวี้หรอกนะเข้าใจหรือไม่?
“ราชบุตรเขยเองก็เลือกหามาได้แล้ว คิดว่าตอนนี้ฝ่าากับองค์หญิงคงกำลังกลัดกลุ้มกันอยู่” มู่หรงอวี้พูดเสียงเบา
“ท่านอ๋องคิดว่าคุณชายสกุลใดเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ที่สุด เหมาะสมกับจาวฮวามากที่สุด?” นางถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก คิดเพียงว่าอีกเดี๋ยวจาวฮวาเห็นเขา ยังไม่รู้ว่าจะปวดใจเพียงใด
“กงจวิ้นหาว หรงชิงถิงนับว่าเป็บุรุษที่ยอดเยี่ยม สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้”
“เกรงว่าในใจของจาวฮวา ไม่ว่าใครก็เทียบคนในใจของนางไม่ได้แม้เพียงครึ่ง”
เพิ่งจะพูดจบนางก็รู้สึกเสียใจภายหลังเสียแล้ว มาพูดเื่นี้ต่อหน้าเขาทำไม? ไม่มีเื่แล้วยังจะหาเื่ให้เขาโมโหทำไม?
เป็อย่างที่คิด มู่หรงอวี้หันมามองนาง สายตาเ็าราวกับน้ำแข็งทิ่มแทงคน “เตี้ยนเซี่ยสนใจเื่การแต่งงานขององค์หญิงยิ่งนัก ไม่ว่าเื่ใดก็คิดแทนองค์หญิงไปเสียหมด”
มู่หรงฉือยิ้มแห้ง “จาวฮวาเป็น้องสาวของเปิ่นกง เืย่อมต้องข้นกว่าน้ำ”
เขาพูดเสียงเย็น “เปิ่นหวางขอแนะนำเ้าสักอย่าง เตี้ยนเซี่ยช่วยตนเองจะมีความสุขมากกว่า”
นางคิดถึงวันที่ทดสอบการต่อสู้ วันนั้นนางช่วยจาวฮวาโดยตกลงว่าจะไปทานอาหารที่ตำหนักจิ่งหงแล้วก็รู้สึกผิดในใจขึ้นมา “ขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ”
เป็ถึงท่านอ๋องผู้ว่าราชการแทน มีความสามารถในการรบจนทำให้ทหารต่างแคว้นที่ได้ยินชื่อของเขาต่างพากันครั่นคร้าม แต่เหตุใดถึงได้เป็คนใจแคบเช่นนี้? เื่เล็กๆ ที่ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วยังจะเก็บมาใส่ใจ
“เปิ่นหวางเหมือนจะได้ยินว่ามีคนกำลังต่อว่าเปิ่นหวางอยู่” มู่หรงอวี้มองตรงไปด้านหน้า
“มีหรือ?” หัวใจของนางกระตุกแรง ด้านหลังพลันมีเหงื่อซึม “ด่าอะไรท่านอ๋องหรือ?”
“ว่าเปิ่นหวางใจคอคับแคบ”
“ใครจะกล้าตำหนิท่านอ๋องกัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?”
“ย่อมต้องมีคนที่ใจกล้าตำหนิเปิ่นหวางต่อหน้าได้อยู่” เขาพูดอย่างมีความนัยแล้วหันมามองนาง
มู่หรงฉือลูบจมูกแล้วเบือนสายตาออกไป หมายถึงนางไม่ใช่หรือ?
ด่าเขาในใจก็ถูกเขา ‘ได้ยิน’ เสียแล้ว ความสามารถในการรับรู้ของเขาจะร้ายกาจเกินไปแล้วหรือไม่?
นางบ่นไปอีกสองสามประโยค ก่อนจะพบว่าได้เลี้ยวมายังถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยว นางกลับไม่ได้สังเกตเส้นทางด้านหน้าแล้วเดินมายังสถานที่ที่ไร้ผู้คนกับเขาเสียเฉยๆ
นางรีบหยุดฝีเท้าลง “เดินมาผิดทางแล้วหรือไม่”
มู่หรงอวี้ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง มือใหญ่กุมข้อมือของนาง “เดินจากทางเส้นนี้จะไวกว่ามาก เป็ทางลัด”
เชิงอรรถ
[1] บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี มีความหมายว่าหลงรักเขาข้างเดียว ทอดสะพานให้ก็แล้ว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้